หลากรสหลายชาติ
วันหนึ่ง ฝนตกหนัก พ่อค้าแม่ขายที่ตั้งแผงขายของอยู่หน้าวัดขายของแทบไม่ได้ จนกระทั่งบ่าย พ่อค้าขายซาลาเปาเห็นซาลาเปาเต็มซึ้งเหลือเยอะแยะแบบนี้ ขายยังไงก็ขายไม่หมด จึงจัดแจงกินซาลาเปาเสียเอง คนขายข้าวโพด เห็นข้าวโพดต้มเต็มกะลังมัง ขายยังไงก็ขายไม่หมด ก็จัดแจงกินข้าวโพดเสียเอง คนขายลูกชิ้นปิ้ง เห็นลูกชิ้นปิ้งเหลือเต็มตู้ ขายยังไงก็ไม่หมด ก็จัดแจงกินลูกชิ้นปิ้งเสียเอง คนขายไอศกรีมเห็นไอศกรีมเหลือเต็มถัง ขายยังไงก็ขายไม่หมด ก็จัดแจงกินไอศกรีมเสียเอง
พ่อค้าทั้งสี่ กินแต่ของที่ตัวเองขาย กินไปไม่เท่าไหร่ก็เบื่อ กินต่อไม่ไหว
เณรน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากวัด เขาซื้อของจากพ่อค้าทั้งสี่แล้วมานั่งกินที่ศาลาใกล้ๆ กินซาลาเปาเสร็จก็กินข้าวโพดต้ม กินข้าวโพดต้มเสร็จ กินลูกชิ้นต่อ กินลูกชื้นเสร็จก็ตบท้ายด้วยไอศกรีม อิ่มอร่อยหลากรสหลายชาติ พ่อค้าทั้งสี่ต่างมองจนน้ำลายสอ
ครู่ต่อมา เณรน้อยเดินกลับเข้าวัด พ่อค้าทั้งสี่จัดแจงแลกของที่ขาย เอามากินกันอย่างเอร็ดอร่อย
แง่คิด
ยิ่งแบ่งปัน ยิ่งมีมาก
ชีวิตควรมีหลากรสหลายชาติ การลิ้มรสชาติเดียวเป็นเวลานานๆ มันทำให้เอียนอ้วก แต่ถ้ารู้จักลิ้มลองรสชาติอันหลากหลาย ชีวิตก็จะเบิกบานมีความสุข
มีคำพูดคำหนึ่งกล่าวว่า " มีสุขร่วมเสพย์ มีทุกข์ร่วมต้าน " เวลามีความสุข เราแบ่งปันความสุขกับคนอื่น ความสุขกลับมิได้ลดน้อยลง แต่กลับมีมากขึ้นเป็นทบเท่าทวีคูณ อย่างเช่นจัดงานทำบุญบ้าน เลี้ยงพระแขกเหรื่อ เฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ ในชีวิต ถ้าไม่มีญาติมิตรมาร่วมแบ่งปันความสุข มีเราอยู่คนเดียว งานก็จะกร่อยไร้ความหมายพิลึก หรือในกรณีที่เราได้ขนุนมาลูกหนึ่ง หากกินคนเดียว คงต้องกินจนเข้าโรงพยาบาลแน่ๆ แต่ถ้าแบ่งปันเพื่อนฝูง แจกจ่ายเพื่อนบ้าน กินไปคุยไป แสนที่จะมีความสุข นอกจากนีั้ เวลาคนอื่นมีของกินอย่างอื่นเยอะๆ เขาก็เอามาแบ่งปันเราเหมือนกัน ทำให้ได้กินของหลายๆ อย่าง กินได้ยั่งยืนนาน ดีกว่าแช่ตู้เย็นเสียอีก
ส่วน " มีทุกข์ร่วมต้าน " นั้น มักจะเป็นความหวังของเราเอง คนอื่นเขาไม่ค่อยจะกระตือรือร้นนัก นอกเสียจากคนที่จริงใจต่อเราจริงๆ
มันเป็นธรรมดาที่ใครๆ ก็อยากจะให้คนอื่นมาช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของตนเอง ในขณะที่เวลามีความสุข กลับไม่อยากให้ใครเข้ามามีเอี่ยว แถมกลัวคนอื่นจะรู้หนทางดีๆ ที่ทำให้ชีวิตมีความสุข กลัวคนอื่นจะมาแย่งของดีกับตน กลัวคนอื่นจะได้ดีเกินหน้า ความอิจฉา ความกลัว ทำให้ต้องคิดแผนกโลบายปกปิดบิดเบือน เสียเวลา เสียพลังงานมากมาย
อันที่จริง เราควรแยกแยะให้ชัดเจนว่า ในชีวิตของเรา มีเรื่องอะไรบ้างที่ควรเก็บไว้เป็นความลับ รู้คนเดียว สัมผัสคนเดียว อะไรบ้างที่ไม่จำเป็นต้องเก็บลับ แต่ควรจะเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ทุกคนจะได้มีความสุขเหมือนๆ กับเรา อย่างเช่น เรามีเคล็ดวิชาต่างๆ มากมาย แทนที่จะเก็บไว้รู้คนเดียว ก็บอกเพื่อนๆ เสีย พวกเขาจะได้เรียนเก่ง ทำอาหารเก่ง รู้จักรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่นนี้ สังคมของเราก็จะมีบรรยากาศดีเยี่ยม
ในโลกยุคข้อมูลข่าวสารนี้ เราจะต้องเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น ใครมีข้อดีอะไรก็เก็บรับไว้ เรามีจุดอ่อนข้อบกพร่องอะไร ก็แก้ไขเสีย
การแบ่งปัน การร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ทั้งยังเป็นศาสตร์และศิลป์ที่งดงาม ผู้ที่ไม่รู้จักศาสตร์และศิลป์แขนงนี้ ก็จะมีชีวิตอยู่อย่างเปลี่ยวเหงาเศร้าสร้อย
By สุภาพร ปิยพสุนทรา
No comments:
Post a Comment