Wednesday, December 24, 2014

สังคมนิยมประชาธิปไตย ทางออกหรือทางเลือก ?




สังคมนิยมประชาธิปไตย ทางออกหรือทางเลือก ?

         สังคมนิยมประชาธิปไตย คือรูปแบบการปกครองที่ทางการเมืองเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ ที่สามารถคิดค้นด้านการมีส่วนร่วมในหลายรูปแบบ ในส่วนที่เรียนรู้ปฏิบัติตาม หรือลอกเลียนแบบตามกันมาคือให้มีการเลือกตั้งโดยใช้ระบบเลือกตัวแทนเข้ามาบริหารประเทศ ส่วนรายละเอียดนั้นก็จะแตกต่างกันไป ในเงื่อนไขของการพัฒนาที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศให้มากที่สุด หลายประเทศคิดถึงระบบการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลจัดการตนเอง

          ส่วนทางด้านเศรษฐกิจนั้น ใช้รูปแบบสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมในจินตนาการตั้งอยู่บนความคิดที่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยุติธรรม ทุกคนร่วมกันทำงานเพื่อสร้างผลผลิตส่วนรวมและได้รับ สวัสดิการ พยายามกระจายรายได้โดยรัฐให้ประชาชนให้ทั่วถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีรัฐสวัสดิการที่ควรมีอยู่พอสมควร ระบบสังคมนิยมไม่จำเป็นที่จะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผเด็จการหรือระบอบใดระบอบหนึ่งแต่สามารถอยู่ได้ทุกระบอบเพราะเป็นเพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่ระบอบการปกครอง

          ความหมาย ธัมมิกสังคมนิยม ( พุทธทาสภิกขุ ) 

          " ...โลกจะต้องมีระบบการปกครองที่ไม่เห็นแก่ตัวคน และให้ประกอบไปด้วยธรรมะ ระบอบการปกครองในโลกที่ไม่เห็นแก่ตัวคนตัวบุคคลคือมือใครยาวสาวได้สาวเอานี้ จะเปิดโอกาสให้ระบบการปกครองนั้นประกอบอยู่ด้วยพระธรรมหรือพระเจ้าแล้วแต่จะเรียก ไม่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ก็เรียกไว้ก่อนว่า ระบบธัมมิกสังคมนิยม

Tuesday, December 23, 2014

PASSION ( ความลุ่มหลง )

PASSION ( ความลุ่มหลง ) 

PASSION

Winners put passion into their profession,
They turn their talent into valuable works;
Establishing sound systems

Losers turn their work into a hobby,
Faltering their job and position as does a gambler;
Their minds and lives gradually get out of kilter

Liberators put passion into purity,
What they think, speak and do is based on sincerity;
People love and trust them easily

ขอเป็นแค่นอตเล็กๆ ตัวหนึ่ง


ขอเป็นแค่นอตเล็กๆ ตัวหนึ่ง

          ถ้าเป็นเหล็กกล้ายาวๆ แท่งหนึ่ง สามารถทำสะพานได้ ถ้าเป็นเหล็กเส้น ก็สามารถผสมกับปูนซีเมนต์ กลายเป็นพลังที่แข็งแกร่ง เหล็กกล้าก็ดี เหล็กเส้นก็ดี บางครั้งในจุดที่เป็นข้อต่อยังต้องอาศัยนอตเล็กๆ ตัวหนึ่ง จึงจะเชื่อมส่วนทั้งหมดเข้าด้วยกัน แม้ว่าจะเป็นนอตเล็กๆ ตัวหนึ่งแต่มันสามารถบังคับสั่งการผู้มีกำลังใหญ่โตกว่าได้ มันสามารถสร้างความมั่นคงให้กับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ได้ เราจะมองข้ามประสิทธิภาพของตัวนอตเล็กๆ ไปไม่ได้

          คนเราต่างก็อยากเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เหมือนเหล็กกล้า เหมือนเสาคานที่แบกรับภาระสำคัญ แต่ว่าจะขาดบุคคลเล็กๆ เช่นนอตไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นคนคนหนึ่งได้เป็นบุคคลสำคัญได้ย่อมเป็นเรื่องดี ไม่เช่นนั้นก็เป็นคนเล็กๆ คนหนึ่งหรือเป็นแค่นอตเล็กๆ ตัวหนึ่ง เขาก็เป็นคนสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน

          มหาสมุทรเป็นการรวมตัวของน้ำแต่ละหยดจากแม่น้ำลำคลองจึงได้ใหญ่โตเป็นมหาสมุทร เป็นเพราะก้อนหินดินทรายทับถมรวมตัวกันจึงกลายเป็นภูเขาสูงใหญ่ ดังนั้น บุคคลผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งก็ไม่อาจมองข้ามบุคคลเล็กๆ เช่น นอตตัวหนึ่งได้เช่นกัน

หนิวเซียเผชิญโจร


หนิวเซียเผชิญโจร

          ในอดีตมีปัญญาชนคนหนึ่งชื่อหนิวเซีย วันหนึ่งขณะที่เขาขับรถม้าเข้าไปในเขตป่าเขา ก็ได้ยินเสียงเป่าปากและทันใดนั้นโจรกลุ่มหนึ่งก็กรูกันออกมาจากข้างทาง ทุกคนชูดาบที่ขาวคม ตรงเข้าแย่งชิงเอาม้าและทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของเขาไป แม้แต่เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่มันก็ถอดเอาไปด้วย

          โจรเดินไปได้ไม่กี่ก้าวมันเหลียวมามอง ก็เห็นหนิวเซียนั่งอยู่ที่ข้างทางไม่เพียงแต่สีหน้าจะไม่ปรากฎรอยหวาดกลัวเท่านั้น ดูท่าทางก็ไม่เห็นเดือดร้อนและคล้ายกับจะพอใจเอาเสียด้วย พวกโจรเห้นเช่นนั้นก็แปลกใจจึงถามมว่า 

          " เฮ้ย พวกข้าแย่งชิงทรัพย์สินของแก เงื้อดาบอยู่ตรงหน้าแก แต่ดูท่าทางไม่เห็นแกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? "

          หนิวเซียตอบอย่างสุภาพว่า " รถม้ามีไว้สำหรับคนใช้เป็นพาหนะ เสื้อผ้ามีไว้สำหรับปกปิดร่างกาย เมื่อพวกท่านมาเอาไปจึงไม่เห็นจะเกี่ยวพันอะไรกับตัวข้า คนที่ประเสริฐนั้นย่อมจะไม่นำเอาของนอกกายเหล่านั้นมาทำลายจิตใจของตน "

          พวกโจรฟังแล้วต่างก็มองหน้ากัน แล้วก็หัวเราะกล่าวว่า " พวกเราถึงแม้จะไม่เคยเรียนหนังสือหนังหา แต่ก็เคยได้ยินเขาพูดกันว่าคนไม่ติดอยู่กับทรัพย์สินนั้นเป็นผู้ประเสริฐ และคนที่ประเสริฐเช่นแกนี้ เมื่อพบกับเจ้าหน้าที่ก็จะต้องกล่าวโทษพวกเราผู้ที่ไม่ใช่คนประเสริฐแน่ๆ ฉะนั้นทางที่ดีควรฆ่าแกเสียก่อน " พูดจบก็เอาดาบฟันหนิวเซียตาย

บันทึกใน " ไหวหนานจื่อ "

Thursday, December 18, 2014

RELIABILITY ( ความเชื่อถือได้ )

RELIABILITY ( ความเชื่อถือได้ )

RELIABILITY

Winners try to establish reliability,
Keeping promises with due responsibility;
They are trustworthy

Losers try to avoid responsibility,
And blame the innocent for the mistake they have made shamelessly,
They live and work unreliably

Liberators balance liberty and responsibility,
They commit to the balanced system only,
And avoid all unfair activities;
They are not only trustworthy, but also completely honest

ึความสำคัญของการสร้างเหตุปัจจัยที่ดี


ความสำคัญของการสร้างเหตุปัจจัยที่ดี

          สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้หาใช่ทรัพย์สินเงินทอง หรือการมีรถสวยบ้านหรูไม่ แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือ สร้างเหตุปัจจัยที่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์นั้นก็เนื่องด้วยมีบุญวาสนาซึ่งกันและกันจึงจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ ระหว่างมนุษย์กับเรื่องราวต่างๆ ก็เนื่องด้วยเหตุปัจจัยอันดี มนุษย์จึงทำกิจการนั้นๆ ได้สำเร็จ และไม่ว่าจะเป็นมนุษย์กับสังคม หรือกับสิ่งต่างๆ หรือเรื่องราวต่างๆ จะต่อเธอ ต่อฉัน หรือต่อเขาทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่สืบเนื่องมาจากมีบุญวาสนาซึ่งกันและกัน เรื่องราวเหล่านั้นจึงจะสำเร็จลุล่วงได้ดี

          สร้างเหตุปัจจัยที่ดี คำนี้ช่างมีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก สร้างเหตุปัจจัยเปรียบเสมือนการหว่านเมล็ดพืช ถ้าไม่หว่านเมล็ดไฉนเลยจะได้มาซึ่งผล สร้างเหตุปัจจัยอันดีอาจจะเปรียบดังการฝากเงินในธนาคาร ฝากมากเท่าไหร่ก็จะมีเงินเก็บมากเท่านั้น แล้วจะห่วงไปไยว่ากิจการจะไม่สำเร็จผล ความสำเร็จในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลด้วยกันทั้งสิ้นเพราะฉะนั้นหากผู้ใดอยากที่จะประสบความสำเร็จในการงานก็ควรที่จะรู้จักสร้างเหตุปัจจัยที่ดี

          ในโลกนี้บางคนร่ำรวยล้นฟ้า แต่ไม่รู้จักสร้างเหตุปัจจัยที่ดีกับผู้อื่น ก็มักจะต้องเดียวดายหรือถูกมองว่าเป็นคนแปลกประหลาด ส่วนบางคนนั้นจนติดดินกลับเป็นที่ยอมรับหรือได้รับไมตรีจิตจากผู้อื่น นี่ต้องดูว่าคนคนนั้นในชีวิตประจำวันผูกบุญสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นมากน้อยเพียงใด

เข้าร่วมเป่าให้ครบคน


เข้าร่วมเป่าให้ครบคน

          กษัตริย์ซวนแห่งรัฐฉีทรงโปรดฟังการเป่าแคนจีนหมู่ ด้วยเหตุนี้ในการบรรเลงแต่ละครั้งวงจึงใหญ่มาก ประกอบด้วยคเป่าแคนถึง 300 คน มีชายคนหนึ่งชื่อหนานกวอ เป็นคนที่เป่าแคนไม่เป็นแต่เขาก็ร่วมอยู่ในวงคนเป่าแคนเพื่อให้ครบจำนวนคน และก็ได้พระราชทานเงินเดือนอย่างงามจากกษัตริย์ซวน ต่อมาเมื่อกษัตริย์ซวนแห่งรัฐสิ้นพระชนม์ กษัตริย์หมิ่นขึ้นเสวยราชย์ พระองค์ทรงโปรดฟังการเป่าแคนเดี่ยว ซึ่งคนเป่าแคนจะต้องผลัดเปลี่ยนกันเข้าเป่าถวายทีละคน ชายที่ชื่อหนานกวอ กลัวว่าเรื่องของตนจะเปิดเผยออกมาจึงได้หลบหนีไป

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

EVALUATION ( การประเมิน )

EVALUATION ( การประเมิน ) 

EVALUATION

Winners evaluate everything,
Their way of living, relationships, work and behavior;
They then manage and develop thing using logic and rationality

Losers operate without evaluating anything,
They live with as fantasy of assumptions and desire;
The same mistakes are often repeated;
Their lives are often stuck in the same problematic situations

Liberators evaluate their states of mind,
Classify attachment and detachment,
And choose only what efficiently lead to salvation;
They evolve quickly 

ความมหัศจรรย์ของการเสียเปรียบ


ความมหัศจรรย์ของการเสียเปรียบ

         ถึงแม้ว่าจะมีคำพูดที่ว่า " การเสียเปรียบแท้จริงคือการได้เปรียบ " แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบการได้เปรียบ และไม่ชอบการเสียเปรียบ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครยอมเสียเปรียบ มีแต่คนที่คอยจะเอาเปรียบผู้อื่น จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า คนประเภทนี้มักจะไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้อื่น ด้วยเหตุนี้ ปรัชญาของการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นนั้นคือการรู้จักเสียเปรียบ เพราะการรู้จักเสียเปรียบนี้เป็นวิธีการสร้างความสมานฉันท์อันแท้จริง

          ในอดีตเรามักจะได้ยินเรื่องของขบวนการลวงโลก หรือพวกสิบแปดมงกุฎ แต่ถ้าเรามองให้ลึกซึ้งกว่านี้ เราก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้วเกิดจากความโลภของผู้ถูกหลอกเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะเราติดในความโลภจึงเป็นจุดอ่อนที่จะทำให้ขบวนการเหล่านี้หลอกให้เราตายใจ โดยให้ความหวังว่าจะได้รวยทางลัด แต่สุดท้ายก็ถูกหลอกจนหมดตัวเสียเอง แต่ถ้าเรามาดูผู้ที่รู้จักเสียสละ เขาเหล่านั้นต่างหากคือผู้ชนะอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างในประวัติศาสตร์จีน มีคนคนหนึ่งชื่อว่า " ต้าอวี๋ " ได้เสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อจะไปแก้ไขปัญหาน้ำท่วมให้กับประชาชน ผ่านความยากลำบากต่างๆ นานา แม้ว่าได้เดินผ่านหน้าบ้านตนถึงสามครั้งก็ไม่เคยคิดจะไปเสวยสุขอยู่ที่บ้าน และในที่สุดประชาชนต่างศรัทธาและยกให้ท่านเป็นกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรม อีกเรื่องในประวัติศาสตร์จีนคือเรื่อง " สหายแท้คู่โลกกว่านเแา " มีขุนนางจีนคนหนึ่งชื่อว่าเปาซูหยา เปาซูหยามีสหายรักคนหนึ่งชื่อว่ากว่านจัง คนทั้งหลายมักจะมองว่ากว่านจังมักจะเอาเปรียบเปาซูหยาอยู่เสมอ แต่เปาซูหยาไม่เคยคิดร้ายต่อกว่านจัง และมักจะแก้ต่างให้กว่านจังอยู่เสมอ มิหนำซ้ำยังเสนอชื่อกว่านจังให้เป็นมหาอำมาตย์ จากเหตุการณ์นี้ถ้ามองแบบธรรมดาอาจจะคิดว่าเปาซูหยาโง่และเสียเปรียบ แต่แท้จริงแล้วเปาซูหยาไม่เพียงแต่จะได้มิตรภาพ ยังส่งเสริมให้ชาติได้มีบุคคลากรที่ดี ซึ่งต่อมากว่านจังคือบุคคลสำคัญคนหนึ่งของจีนในเรื่องของการพัฒนาประเทศชาติ

นกเจียวเหลียวกับต้นเส้อกาน


นกเจียวเหลียวกับต้นเส้อกาน

         เล่ากันว่าทางใต้มีนกชนิดหนึ่งชื่อนกเจียวเหลียว ( ประเภทนกกระจิบ ) รังของมันทำด้วยขนนก ถักร้อยด้วยเส้นผม แต่ทำไว้บนดอกอ้อ พอเกิดพายุพัดต้นอ้อก็หัก รังนกที่อยู่บนดอกอ้อจึงร่วงลงมา ไข่ที่อยู่ในรังก็แตก ลูกนกที่อยู่ในรังก็ตกลงมาตาย การเป็นเช่นนี้ จะกล่าวว่ารังนกทำไม่ดีไม่แน่นหนาหาได้ไม่ สาเหตุก็เนื่องจากไปทำไว้บนดอกอ้อที่อ่อนเแปราะจึงประสบสภาพเช่นนั้น

         ส่วนทางตะวันตก มีต้นหญ้าชนิดหนึ่งชื่อหญ้าเส้อกาน ซึ่งมีต้นสูงแค่ 4 นิ้ว แต่มันงอกงามอยู่บนยอดเขาที่มีหุบเขาลึกถึง 70 วา จึงดูมันสูงมากเวลามองขึ้นไปก็คอตั้งบ่า ความจริงหญ้าชนิดนี้ต้นไม่สูงเลย แต่ที่ดูสูงก็เพราะไปขึ้นอยู่ที่ยอดเขา

บันทึกใน " สุนจื่อ " 

Monday, December 15, 2014

UTILISATION ( การใช้สอย )

UTILISATION ( การใช้สอย )

UTILISATION

Winners tend to use their resources sensibly,
After using their resources they are taken care to and stored properly;
And if anything needs to be fixed it is repaired quickly for future use

Losers tend to abuse their resources with no good result,
And are careless about looking after their properly;
Through laziness they do not fix anything that is broken,
And most of their resources become useless jink

Liberators use the value of everything,
And in turn increase their value
The value of their properties are magnified

12 คำถามของชีวิตมนุษย์


12 คำถามของชีวิตมนุษย์

          มนุษย์ควรที่จะมีการพิจารณาตนเองอยู่สม่ำเสมอ จึงจะมีการพัฒนาทั้งในด้านการงานและด้านคุณธรรม 12 คำถามในชีวิตมนุษย์ดังต่อไปนี้ เป็นคำถามที่เราทั้งหลายควรจะนำมาพิจารณาอยู่เสมอ ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลายเคยถามตัวเองแบบนี้บ้างหรือไม่

          1. ฉันเกิดมาบนโลกนี้ เคยทำประโยชน์อะไรให้กับโลกใบนี้บ้าง ?

          2. ฉันได้ตอบแทนพระคุณบุพการีและอาจารย์ หรือผู้มีบุญคุณอย่างเต็มกำลังความสามารถบ้างหรือไม่ ?

          3. ฉันได้รับประโยชน์และโอกาสอันดีจากโลกใบนี้ ฉันได้ตอบแทนกลับให้โลกมากเท่าไหร่ ?

          4. ฉันเคยติดหนี้บุญคุณต่อครูบาอาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหายและสังคมบ้างหรือไม่ ?

          5. โลกมนุษย์นี้ให้เหตุปัจจัยต่างๆ ทำให้ฉันได้มีที่อยู่ที่กิน ที่พักพิงและได้รับการศึกษา และได้รับความสุขต่างๆ ฉันได้ให้สิ่งเหล่านี้กับผู้อื่นหรือไม่ ?

          6. ฉันเคยเข้าใจตัวเองว่าเกิดมาอย่างไร และตายแล้วไปไหนบ้างหรือไม่ ?

          7. ฉันเคยตรวจดูจิตใจของตนหรือไม่ว่าในแต่ละวันเป็นสวรรค์เป็นนรกกี่ครั้ง ?

          8. ฉันสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่าสภาวะจิตในแต่ละวันที่วนเวียนไปด้วยเรื่องของความโลภ ความโกรธ ความหลง ความลังเลอิจฉาเป็นอย่างไร ?

          9. ภาษิตจีนกล่าวว่า ต้องพิจารณาจิตใจของตนวันละสามครั้งแต่ละครั้งนั้นได้พิจารณาเห็นอะไรบ้าง ?

          10. ฉันมีชีวิตอย่างเป็นสุขบนโลกนี้ได้อย่างไร ?

          11. ฉันควรจะขจัดกิเลสและอวิชชาอย่างไร ? และค้นหาซึ่งจิตเดิมแท้อย่างไร ?

          12. ฉันจะจัดแจงซึ่งเหตุปัจจัยของชาตินี้อย่างไร ?

          คำถามทั้ง 12 คำถามนี้ เป็นคำถามระหว่างตนเองกับผู้อื่น ตนเองกับสังคม และรวมไปถึงเรื่องของประเทศชาติ

Sunday, December 14, 2014

ใส่เสื้อหนังเอาขนไว้ข้างใน


ใส่เสื้อหนังเอาขนไว้ข้างใน

         วันหนึ่งกษัตริย์เหวินโหว ของรัฐเว่ย ( เป็นผู้สถาปนารัฐเว่ยเสวยราชย์เมื่อ 445 - 396 ปี ก่อน ค.ศ. ) ทรงเสด็จออกประพาส ระหว่างทางพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชายผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์แต่เอาขนกลับเข้าไว้ข้างในเอาหนังไว้ข้างนอก ( สมัยโบราณตามปกตินิยมเอาขนสัตว์ไว้ข้างนอก ) กำลังหาบฟืนเดินมาพระองค์จึงตรัสถามว่า " ทำไมเจ้าจึงสวมเสื้อเอาขนไว้ข้างใน ? "

          ชายผู้นั้นกราบทูลว่า " เพราะข้าพระองค์รักและถนอมขนสัตว์พะย่ะค่ะ "

          กษัตริย์เหวินโหวจึงตรัสว่า " การที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าคิดบ้างไหมว่า เมื่อหนังเสียหายแล้วขนก็จะต้องหมดไปด้วย ? "

บันทึกใน " ซินซู "

Thursday, December 11, 2014

COLLECTIONS ( การสะสม )

COLLECTIONS ( การสะสม )

COLLECTIONS

Winners collect things that appreciate in value,
Such as good friendship, investment, land, art and fine things;
Their collections are admired for their intrinsic value

Losers collect things that lose their value,
Such as paramours, bad friends and perishable goods,
Their collections depreciate all the time even they do many things

Liberators collect things associated with trust and evolution;
Such as truth, goodness, instrument of development, holistic activities;
Their collection seems mysterious but always priceless;

อนิจจังอันล้ำค่า


อนิจจังอันล้ำค่า

          มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศาสนา เพราะชีวิตมนุษย์นั้นมีปัญหาในเรื่องของการเกิดตาย ซึ่งจะนำไปสู่ความเชื่อในเรื่องของศาสนา และศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ก็ล้วนแล้วแต่สอนและเน้นในเรื่องนี้ด้วยกันทั้งนั้น อนิจจังเป็นสัจธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา คนทั่วไปมักจะไม่เข้าใจในความหมายที่แท้จริงของอนิจจัง จึงเป็นเหตุให้เกิดความสับสนและยากที่จะทำใจให้ยอมรับได้ ทำให้รู้สึกหวาดกลัวต่อคำคำนี้

          แท้จริงแล้ว อนิจจังเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีอนิจจังหรือความไม่เที่ยงนี้จึงมีซึ่งความหวัง เพราะความไม่เที่ยงนี้จึงจะมีซึ่งอนาคต มีคำพูดที่ว่า " อนิจจังคือความทุกข์ที่ว่างเปล่า และคือความสุขที่มีอยู่ "ถ้าหากว่าทุกเรื่องในโลกนี้ได้ถูกกำหนดตายตัวไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้กระทั่งการเกิดและตายความแก่เป็นอย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น เด็กก็เป็นเด็กตลอดกาล ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร ? เพราะฉะนั้นอนิจจังจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก

          และแน่นอนว่า อนิจจังความไม่เที่ยงนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีและไม่ดี แต่การที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหรือไม่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆ เหตุเพราะความไม่เที่ยงนี้จึงทำให้มนุษย์รักชีวิตของตนเองแะรักในสิ่งที่ตนเป็นเจ้าของ ทะนุถนอมสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตน รวมทั้งความสัมพันธ์ในทุกๆ ด้าน

ตั๊กแตนตำข้าวขวางรถ


ตั๊กแตนตำข้าวขวางรถ

         เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งกษัตริย์จวงกงแห่งรัฐฉีเสด็จโดยรถม้าเข้าไปในเขตเขาเพื่อล่าสัตว์ ระหว่างทางพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นแมลงสีเขียวตัวหนึ่งยกขาหน้าของมันขวางอยู่บนทางที่รถจะผ่าน มันมีท่าทางแสดงความไม่พอใจและเตรียมจะต่อสู้กับกงล้อของรถม้าอย่างเอาจริงเอาจัง

         กษัตริย์จวงกงทรงประหลาดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ตรัสถามนายสารถีว่า " นั่นเป็นตัวอะไร " 

         นายสารถีกราบทูลว่า " สัตว์ชนิดนี้เรียกว่าตั๊กแตนตำข้าว มันเป็นสัตว์ที่เอาแต่รุกไม่รู้จักถอย ไม่ประมาณกำลังของตนเองและดูถูกศัตรูพะยะค่ะ "

         กษัตริย์จวงกงทรงถอนใจรับสั่งว่า " ถ้าหากมันเป็นคนก็จะเป็นอัศวินที่ใต้หล้านี้ไม่มีใครจะเอาชนะได้ ! " ตรัสแล้วพระองค์ก็รับสั่งให้นายสารถีขับรถอ้อมไปเพื่อไม่ให้ล้อรถทับตั๊กแตนตำข้าวตายหรือทำให้มันบาดเจ็บ

         เมื่อบรรดานักรบของรัฐฉีได้ทราบเรื่องดังกล่าวนี้ พวกเขายิ่งจงรักภักดีต่อกษัตริย์จวงกง ในเวลาทำสงครามก็สู้รบอย่างกล้าหาญกว่าเดิมโดยไม่คำนึงถึงชีวิต

บันทึกใน  " จ้านกว๋อเช่อ "

Wednesday, December 10, 2014

OBSESSION ( ความหลงใหล )

OBSESSION ( ความหลงใหล )

OBSESSION

Winners are firmly focused on positive outcomes,
And created a climate of cooperation to achieve continuous success

Losers are self-obsession,
And their principles are ephemeral

Liberators appreciate evolutionary achievement,
Taking that as the real task of life

การอนุโมทนาที่งดงาม


การอนุโมทนาที่งดงาม

          ในสังคมมีผู้คนมากมายได้สร้างกุศลด้วยความเมตตากรุณา ช่วยเหลืออนุเคราะห์ผู้ยากไร้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุ และมีผู้คนมากมายที่ขยันหมั่นเพียรในการก่อร่างสร้างตัว ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุ การกล่าวอนุโมทนานั้นเป้นสิ่งที่ดีงามและเป็นกิริยาอันงดงาม

          การทำความดีและการพูดจาดีนั้น ถึงแม้ตัวเราไม่สามารถทำได้ดีอย่างเพียบพร้อม แต่ทว่าการที่เห็นผู้อื่นทำความดี พูดในสิ่งที่ดี แล้วเราพลอยยินดีอนุโมทนากับเขา ดังที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า " บุญกุศลแห่งการอนุโมทนาสาธุต่อผู้ที่ทำความดีนั้น มิได้แตกต่างกับการทำความดีด้วยตนเอง " เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการพลอยยินดีกับผู้อื่นเป็นสิ่งที่สำคัญในการผูกมิตรไมตรี

          สิ่งที่น่าเสียดายคือ ในสังคมปัจจุบันคนที่นิยมยินดีกับผู้อื่นมีจำนวนน้อยมาก คนส่วนใหญ่มักดีใจที่เห็นผู้อื่นประสบภัยและไม่ยินดียินร้ายต่อความทุกข์ของผู้อื่น บ้างกล่าววาจาเสียดสี ยกตัวอย่างเช่น " คนบางคนเห็นผู้อื่นเขาบริจาคเงินทองช่วยเหลือคนพิการ หรือสงเคราะห์เด็กกำพร้าและคนชราก็จะเหน็บแนมการกระทำของเขาว่า แค่นี้น่ะหรือ ? ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหลอก " และบางคนเมื่อเห็นผู้อื่นที่ไม่ใช่คนร่ำรวยมีฐานะ แต่เขาก็ทำบุญตามฐานะที่จะอำนวย ก็ไปตำหนิเขาว่า " ไม่เจียมตัว " เพราะฉะนั้นถ้าสังคมนี้ไม่มีการพลอยยินดีในการทำความดีของผู้อื่น หากแต่มีการตำหนิติเตียนตามอำเภอใจ หรือจงใจเหยียบย่ำผู้อื่น สังคมเช่นนี้ก็จะมีคนดีและเรื่องราวดีๆ ได้อย่างไร ?

เอาทองไถ่ศพ


เอาทองไถ่ศพ

         ครั้งหนึ่ง ในขณะที่น้ำไหลท่วมสองฝั่งแม่น้ำเหว่ย มีเศรษฐีคนหนึ่งตกน้ำตายขณะที่ลงเรือข้ามฟากและมีชายผู้หนึ่งเก็บเอาศพไปไว้ที่บ้านของตน

         เมื่อญาติของเศรษฐีทราบเรื่องก็ส่งคนมาขอไถ่ศพ แต่คนที่เก็บศพเรียกร้องค่าไถ่เป็นทองคำจำนวนมาก ญาติของเศรษฐีจึงไปหาเติ้งซีเล่าเรื่องให้ฟัง เติ้งซีตอบว่า " ไม่ต้องตกใจ เขาจะไม่นำศพไปขายให้แก่คนอื่นแน่ๆ "

         เวลาผ่านไปไม่กี่วัน ศพที่เก็บไว้ก็ขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วทั้งบ้านชายที่เก็บศพไว้ในบ้านเริ่มกระวนกระวายใจ เขาจึงไปหาเติ้งซีปรารภถึงเรื่องนี้ เติ้งซีตอบว่า แกจงนอนใจเถอะ นอกจากบ้านเศรษฐีคนนี้แล้ว จะไม่มีใครมาขอซื้อศพคนตายนี้แน่ๆ

บันทึกใน " หลี่สื้อชุนชิว "

Tuesday, December 09, 2014

ENJOYMENT ( ความสนุกสนาน )

ENJOYMENT ( ความสนุกสนาน )

ENJOYMENT

Winners enjoy doing creative work,
They think of ways of improve;
They live a well rounded lifestyle

Losers enjoy doing nothing,
But going out to amuse themselves,
Their lives are consuming time for no purpose

Liberators enjoy liberation and evolution,
Through meditation and spiritual development;
So that they highly achieve

การฝึกปฏิบัติธรรมระหว่างดำเนินชีวิต


การฝึกปฏิบัติธรรมระหว่างดำเนินชีวิต

         การฝึกปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในชีวิต

         เสื้อผ้าขาดต้องแก้ไข เครื่องเรือนชำรุดต้องซ่อมแซม ผมเผ้ายุ่งเหยิงต้องจัดแต่ง เล็บยาวแล้วต้องตัดแต่ง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ประจำวัน บุกคลิกหน้าตาทั้งหมดต้องมีการจัดแต่งแก้ไขซ่อมแซมเช่นกัน การกระทำของคนที่ผิดพลาดเกินเลยไป ยิ่งจำเป็นต้องฝึกฝนแก้ไข

         การฝึกปฏิบัติธรรมคือการฝึกฝนปฏิบัติให้ถูกต้อง การฝึกปฏิบัติไม่จำเป็นต้องเข้าไปฝึกตามดูใจตนเองในป่าในเขา และก็ไม่จำเป็นต้องปิดกห้องอยู่คนเดียวคอยตามดูลมหายใจ ตามดูสติของตน การฝึกปฏิบัติก็ไม่ใช่เพียงแค่การสวดมนต์ ท่องบ่นบริกรรมคาถาเจริญสมาธิ ถ้าสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน แต่ภายในจิตใจเต็มไปด้วยกิเลส ความโลภโกรธหลง ความเห็นแก่ตัว ยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้รับเอาธรรมะเข้ามาซ่อมแซมจิตใจ อย่างนี้จะฝึกปฏิบัติธรรมไปทำไม

         การฝึกปฏิบัติธรรมจำเป็นแน่นอน การฝึกจิตยิ่งสำคัญกว่า การปฏิบัติตรงแต่ใจไม่ตรง มีภายนอกไม่มีภายใน อย่างนี้เรียกว่าฝึกกายไม่ได้ฝึกใจ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุได้ เราสามารถฝึกปฏิบัติธรรมกับฝึกจิตไปพร้อมๆ กันได้ ให้ภายในและภายนอกเป้นหนึ่งเดียว ใจอยู่ภายในรูปอยู่ภายนอก เมื่อทำได้เช่นนี้ทุกเรื่องย่อมมีทางออก ย่อมฝึกสำเร็จ

ฆ่าหมูสอนลูก


ฆ่าหมูสอนลูก

          วันหนึ่งภรรยาของเจิงจื่อเตรียมตัวไปตลาด ลูกชายของหล่อนรบเร้าและร้องไห้จะขอตามไปด้วยให้ได้ ภรรยาของเจิงจื่อจะพูดอย่างไรเด็กก็ไม่ยอมฟัง เมื่อไม่มีวิธีอื่น หล่อนจึงกล่าวกับลูกว่า

          " เชื่อแม่เถอะ อย่าตามไปเลยนะ เมื่อแม่กลับมาแล้วจะฆ่าหมูให้ลูกกิน "

          เนื่องด้วยเด็กอยากกินเนื้อหมู เมื่อได้ฟังแม่พูดเช่นนั้น ก็หยุดร้องไห้เลิกรบเร้าตามไปตลาด

          เมื่อภรรยาของเจิงจื่อกลับมาจากตลาดก็เห็นสามีของหล่อนกำลังเอาเชือกมามัดขาหมู ที่ข้างๆ มีมีดฆ่าหมูเตรียมไว้พร้อม หล่อนตกใจมาก รีบตรงเข้าไปยับยั้งเขา พูดว่า 

          " ท่านยังสติดีอยู่หรือเปล่า ? ที่ข้าพเจ้าพูดไปนั้นเป็นเพียงตั้งใจจะหลอกเด็กเท่านั้นเอง "

          เจิงจื่อกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า

          " ทำไมเธอจึงหลอกเด็ก ? เด็กยังไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไร เขาจะถือเอาการพูดและการกระทำของพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เวลานี้เราโกหกเด็กก็ไม่เชื่อคำพูดผู้เป็นแม่ เมื่อเป็นเช่นนี้การอบรมสั่งสอนลูกของพ่อแม่ยังจะมีความหมายอะไรเล่า ? "

          พอพูดจบ เจิงจื่อเอามีดแทงคอหมูทันที


บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

Monday, December 08, 2014

PLEASURE ( ความยินดี )

PLEASURE ( ความยินดี ) 

PLEASURE

Winners value highly accomplishment,
Admiring successful people;
And using them as a role model,
They live a refined life

Losers condemn ' high ' achieves,
Being jealous of their success;
Giving themselves no opportunity to successd

Liberators see fulfillment beyond success,
They do not condemn nor be obsessed by any successful or failed person;
But inspire everyone to further advance from where there are;
They truly drive growth of the world along with the evolution of life,
That is why people much respect then

เปรียบเขาเปรียบเรา


เปรียบเขาเปรียบเรา

         เปรียบเขาเปรียบเรา ยิ่งเปรียบยิ่งทุกข์

         เราไม่ควรเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะไม่มีใครสมบูรณ์เต็มร้อย ทุกคนมีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป คนตาบอดหัวเราะเยาะคนเป็นใบ้ คนเป็นใบ้หัวเราะเยาะคนขาเป๋ แล้วคนขาเป๋ทำไมต้องไปหัวเราะเยาะคนตาบอดด้วย ถ้าเกิดไฟไหม้ห้องขึ้นมา สามคนร่วมมือกัน ทุกคนจะปลอดภัยมิใช่หรือ 

         มีคนคนหนึ่งถีบจักรยานไป เห็นคนอื่นขี่มอเตอร์ไซค์ เกิดความโกรธรู้สึกน้อยหน้าเขาต้องไปหาซื้อมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ใหญ่กว่ามาขี่ แต่ว่าคนอื่นเปลี่ยนไปซื้อรถยนต์ รถเก๋งสี่ล้อย่อมดีกว่าสองล้อ เขาก็ไม่ยอมน้อยหน้า ไปซื้อรถเก๋งนำเข้าจากต่างประเทศมาเลย แต่ไม่นานคนอื่นเปลี่ยนไปซื้อรถเก๋งโรสลอยซ์ คราวนี้จึงสำนึกได้ว่า การเปรียบเทียบกันไปเปรียบเทียบกันมามีแต่เพิ่มความละโมบไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เกิดประโยชน์แก่ตนสักนิด

         มีบางคนอยู่บ้านมุงหลังคา เห็นคนอื่นสร้างบ้านอิฐก็สร้างบ้านอิฐตามเขา เห็นคนอื่นสร้างตึกสูงก็สร้างตึกสูงตามเขา สร้างบ้านไว้มากมายอยู่ไม่หมด วันๆ ยังต้องมานั่งปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาด ในที่สุดจึงตกเป็นทาสของบ้าน

Sunday, December 07, 2014

บ้านสามชั้น


บ้านสามชั้น

         เมื่อก่อนนี้ มีเศรษฐีที่โง่เขลาไร้ความรู้คนหนึ่งเมื่อเห็นเศรษฐีอื่นมีบ้านสามชั้น ดูภูมิฐานดี เขาก็รู้สึกอิจฉาอยากจะมีบ้านเช่นนั้นบ้าง เขาคิดในใจว่าเราก็เป็นคนมีเงินทองไม่น้อยกว่าคนอื่น ทำไมจึงไม่สร้างบ้านให้เหมือนเขาบ้าง คิดแล้วเขาก็ไปว่าจ้างช่างที่เคยสร้างบ้านให้เศรษฐีผู้นั้นมาสร้างบ้านของตน

         พอนายช่างลงมือปรับพื้น ก่ออิฐ เพื่อสร้างบ้านชั้นแรก เศรษฐีเห็นเข้าก็รู้สึกแปลกใจ จึงถามพวกช่างว่า

         นี่พวกแกกำลังสร้างบ้านชนิดไหนกันแน่ ? 

         นายช่างตอบว่า " ก็ปลูกบ้านสามชั้นตามที่ท่านต้องการนั่นแหละขอรับ "

         เศรษฐีได้ฟังแล้วพูดว่า " เมื่อปลูกบ้านของข้าก็ต้องทำตามที่ข้าต้องการเวลานี้ข้าไม่ต้องการบ้านชั้นที่หนึ่งชั้นที่สอง ข้าต้องการเพียงชั้นที่สาม แกสร้างชั้นที่สามให้ข้าก็แล้วกัน ! "

บันทึกใน " ไป๋ยี่จิง "

Wednesday, December 03, 2014

LIFE-TIME AMBITIONS ( เป้าหมายชีวิต )

LIFE-TIME AMBITIONS ( เป้าหมายชีวิต )

LIFE-TIME AMBITIONS

Winners live their lives for learning and development,
Working to establish something memorable in this world;
Before departing this life proudly

Losers live their lives just for survival,
Working to survive each day;
And depart this life in grief and sorrow;
When finally realizing that no one can live forever 

Liberators live this life to evolve beyond life itself,
Finally free from even the constraints of their own lives,
Even before death

รอยเท้าที่ก้าวไป


รอยเท้าที่ก้าวไป

         รอยเท้าที่ก้าวไป คำพูดประโยคนี้กำลังเป็นกระแสนิยมโดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลเลือกตั้ง มักจะมีผู้ลงรับเลือกตั้งใช้ประโยคนี้เป็นการเน้นย้ำว่าตนเองเป็นคนที่ทำงานตั้งอยู่บนหลักความจริง มุ่งมั่นตั้งใจ

         รอยเท้าที่ก้าวไป ความจริงหมายถึง คนเราทุกคนล้วนเคยประทับรอยลงในประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจลบเลือนได้ คำว่ารอยเท้าที่ก้าวไปเป็นการให้กำลังใจคนว่า ความสำเร็จของเราย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของปวงชนในสังคม รอยเท้าที่ก้าวไป เป็นการบันทึกคุณความดีของคนคนหนึ่งที่ต่อสู้บากบั่น ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนาม ก้าวตรงไปข้างหน้า ทิ้งร่องรอยไว้ให้คนข้างหลังได้เห็น ดังนั้น คำว่ารอยเท้าที่ก้าวไปจึงไม่ใช่แค่คำพูดเลื่อนลอย พูดแล้วก็ผ่านเลยไปแต่ต้องเป็นที่ผ่านการยอมรับจากปวงชน

        เคยมีคำกล่าวว่า ถนนหนทาง มนุษย์เป็นผู้เดินออกมา ชีวิตคนจึงต้องอาศัยรอยเท้าที่ก้าวไปนั้น ถนนหนทางถึงจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ เวลาที่คนเดินจะต้องละก้าวที่อยู่ข้างหลังจึงจะสืบเท้าก้าวไปข้างหน้าได้ ถ้าคุณมัวแต่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ยอมยกเท้าก้าวเดินหน้าไป แล้วคุณจะมีอนาคตได้อย่างไร คุณต้องละทิ้งก้าวที่อยู่ข้างหลังอย่างต่อเนื่องจึงจะก้าวเดินไปสู่อนาคตได้

เถียงเรื่องกินนกกระสา


เถียงเรื่องกินนกกระสา

         พรานสองคนเห็นนกกระสาฝูงใหญ่กำลังบินบนท้องฟ้า จึงต่างโก่งคันธนูของตนเตรียมจะยิง ทันใดนั้นนายพรานคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า

          " นกกระสาฝูงนี้แต่ละตัวอ้วนๆ ทั้งนั้นได้มาแล้วเอามาแกงกินคงอร่อย " นายพรานอีกคนหนึ่งพูดว่า " ย่างกินดีกว่า เนื้อที่ย่างจะทั้งหอมทั้งอร่อย "

         สองคนจึงโต้เถียงกันชนิดใครก็ไม่ยอมใครจึงต้องไปหาคนมาช่วยตัดสิน ในที่สุดจึงตกลงกันว่านกที่ยิงได้นั้นครึ่งหนึ่งนำไปแกงอีกครึ่งหนึ่งนำไปย่าง เมื่อตกลงกันได้แล้ว พรานสองคนนั้นก็พากันไปยิงนกกระสา แต่ปรากฏว่านกบินลับตาไปหมดแล้ว

บันทึกใน " อิ้งเสียลู่ "

Monday, December 01, 2014

KNOWLEDGE ( ความรู้ )

KNOWLEDGE ( ความรู้ ) 

KNOWLEDGE


Winners value knowledge very highly,
Emphasizing practical learning rather collecting academic qualifications.
Therefore they attain useful and practical know - how

Losers rather hunt for an academic status,
Than the search for the root of knowledge,
They are content usually with superficial facts;
That is of little help in finding success

Liberators are not obsessed with knowledge or ignorance,
They appreciate wisdom more than both;
When they gain knowledge they always refine it to wisdom,
When they do not have knowledge about something,
They formulate wisdom by direct learning from truth;
They are wisdom generators

ว่างและไม่ว่าง


ว่างและไม่ว่าง

          คุณมีชีวิตที่ว่างหรือไม่ว่าง

          ว่างและไม่ว่าง คือสองรูปแบบชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนบางคนชอบไม่ว่าง ยิ่งไม่ว่างยิ่งสนุก ยิ่งยุ่งยิ่งสดใส มองความไม่ว่างเป็นแรงขับเคลื่อนเป็นอาหารเสริม เห็นว่าการมีเวลาว่างคือความเกียจคร้าน อยู่อย่างไร้สาระ ไม่ต่างอะไรกับความตาย แต่ก็มีบางคนเห็นว่าว่างคือการปล่อยวาง บริสุทธิ์ สะอาด อิสรเสรี คือการฝึกความเพียร เห็นว่าความไม่ว่างคือการชอบออกสังคม คือการยึดมั่นถือมั่น คือทาสของงาน แต่ก็มีบางคนที่ว่างท่ามกลางไม่ว่าง เช่น กรรมกรเรียกร้องให้มีวันหยุดสองวันในหนึ่งสัปดาห์ หรือเรียกร้องทำงานวันละแปดชั่วโมง หรือบางคนในท่ามกลางงานที่ยุ่งเหยิง ขอหยุดดื่มชาสักแก้ว อ่านหนังสือพิมพ์สักหน่อย หรือหาเหตุออกไปทำธุระข้างนอกเพื่อหาโอกาสพักบ้าง แต่ก็มีบางคนที่ว่างจนเกิดทุกข์ ว่างจนเกิดวิตกจริต จึงต้องควักกระเป๋าจ่ายสตางค์ขอร้องคนให้แบ่งงานให้ตนเองทำบ้าง ทั้งนี้เพื่ออยากใช้ความไม่ว่างเป็นเครื่องช่วยฆ่าเวลา

          ไม่ว่างคือความปีติ ไม่ว่างคือการตั้งจิต ไม่ว่างคือความก้าวหน้า ไม่ว่างคือความสงบสุข เราสามารถเข้าถึงคุณค่าชีวิตและความหมายของการทำงานจากความไม่ว่างนี้ และความไม่ว่างยังทำให้เราได้รับความรู้มากมาย รู้จักเพื่อนฝูงมากมาย ได้ผูกบุญวาสนากับคนหลายหลาก ทว่าความไม่ว่างมีหลายระดับต่างกัน บางคนไม่ว่างเพื่อสมาชิกคนในคราอบครัว บางคนไม่ว่างเพื่อประโยชน์สุขของสังคม บางคนยุ่งอยู่กับการช่วยคลี่คลายปัญหาให้ผู้อื่น บางคนยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือผู้อ่อนแอเจือจานผู้ยากไร้

สาวอิงรัฐหลู่เสียใจเรื่องรัฐเว่ย


สาวอิงรัฐหลู่เสียใจเรื่องรัฐเว่ย

         สาวอิงเป็นลูกสาวคนเฝ้าประตูในรัฐหลู่ คืนหนึ่งในฤดูร้อนบรรดาหญิงสาวต่างพากันมาก่อไฟที่ลานบ้าน แล้วกรอด้ายร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นหญิงสาวที่ชื่ออิง ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ

         พวกเพื่อนๆ เห็นแล้วแปลกใจมาก ถามว่า " มีเรื่องอะไรทำให้เธอเสียใจหรือ ? เล่าให้พวกเราฟังหน่อยซิ

         สาวอิงพูดเสียงกลั้วสะอื้นว่า " ฉันได้ฟังมาว่า เจ้าชายของรัฐเว่ยเป็นคนที่มีความประพฤติไม่ดีมาก ด้วยเหตุนี้ฉันจึงร้องไห้ "

         เพื่อนหญิงเหล่านั้นฟังแล้วก็หัวเราะพูดปลอบใจว่า " รัฐเว่ยไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับรัฐหลู่ของเราเลย ถึงเจ้าชายของรัฐเว่ยจะมีความประพฤติไม่ดีขนาดไหน นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าพวกนายและบรรดาพวกผู้ดีมีทรัพย์ เธอเป็นหญิงในครอบครัวที่ยากจน ทำไมจึงต้องไปกังวลในเรื่องอย่างนี้ด้วยเล่า ? "

         สาวอิงตอบว่า " ฉันคิดไม่เหมือนพวกเธอคิด เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาซือหม่าหวนจุยของรัฐซ่ง ทำผิดพระราชอาญาของกษัตริย์ซ่ง หลบหนีมายังรัฐหลู่ของเราและมาค้างคืนอยู่ที่นี่ ม้าของเขาเข้าไปในสวนผักบ้านฉันทั้งกินทั้งเหยียบย่ำ ทำให้ผักซึ่งกำลังงามที่ปลูกไว้ถูกกินไปไม่น้อย ปีนั้นทำให้รายได้ของเราต้องขาดไปตั้งครึ่ง

          เมื่อปีกลาย กษัตริย์โกวเจี้ยน ( ขึ้นเสวยราชย์เมื่อ 497 - 465 ปีก่อน ค.ศ. ) แห่งรัฐเยียะยกพยุหยาตราทัพด้วยขบวนอันน่าเกรงขามไปตีรัฐหวูเจ้าครองนครรัฐต่างๆ ล้วนหวาดกลัวต้องประจบเอาใจ รัฐหลู่ของเราก็ต้องคัดเลือกสาวงามส่งไปเป็นนางกำนัล พี่สาวของฉันถูกเอาตัวไป ต่อมาพี่ชายของฉันเดินทางไปเยี่ยมพี่สาวผู็โชคร้ายที่รัฐเยียะ ก็ถูกโจรฆ่าตายระหว่างทาง หัวที่ถูกตัดก็หาไม่พบ "

         สาวอิงเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวต่อไปว่า " ความจริงกองทหารของรัฐเยียะยกไปตีรัฐหวู แต่ผู้รับเคราะห์กรรมกลับเป็นพี่สาวฉัน ผู้ที่ตายน่าอนาถก็เป็นพี่ชายฉัน จากนี้จะเห็นได้ว่า ถึงแม้จะไม่ใช่คนรัฐเดียวกัน เจ้านายกับชาวบ้านมีฐานะที่สูงต่ำต่างกัน แต่ภัยพิบัติกับความสุขนั้นย่อมมีความสัมพันธ์กัน เวลานี้เขจ้านายของรัฐเว่ยมีความประพฤติไม่ดีและชอบการรบพุ่งทำสงคราม ฉันยังมีพี่ชายอยู่อีกคนหนึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรเคราะห์กรรมความวิบัติจะมาถึงตัวเขา เรื่องเป็นเช่นนี้จะไม่ทำให้ฉันวิตกกังวลได้อย่างไรเล่า ? "

บันทึกใน " หานซือไว่จาน "

ไม่ยึดติดกับรูปแบบ


ไม่ยึดติดกับรูปแบบ

         สมัยราชวงศ์ถาง มีข้าหลงคนหนึ่งชื่อ เซี่ยเจี่ยน ท่านเคยถามพระเว่ยหลางมหาครูบาว่า " ขณะนี้ พวกขุนนางในเมืองหลวงที่เข้าร่วมปฏิบัติธรรมแบบฌานล้วนพูดว่า ถ้าต้องการรู้แจ้งเห็นจริง ต้องนั่งสมาธิเข้าฌาน ขอเรียนถามอาจารย์ ท่านมีความเห็นประการใด ? "

         การปฏิบัติธรรมแบบฌานก็เพื่อให้จิตบริสุทธิ์พบภาวะเดิมแท้ การเกิดปัญญาญาณอันสว่างไสว รู้แจ้งเห็นจริงนั้น มิได้อยู่ที่การนั่งสมาธิ ถ้าจิตมิรู้แจ้ง จะนั่งอย่างไรก็ไม่มีทางรู้แจ้ง เปรียบได้กับวัวเทียมรถ ถ้ารถไม่เดิน เราจะตีวัวหรือตีรถ ? ตีรถไม่มีประโยชน์แน่ ต้องตีวัว การปฏิบัติธรรมแบบฌานนั้น ถ้าเอาแต่นั่งสมาธิภาวนาย่อมไม่ได้ผล จึงต้องอาศัยจิตด้วย พระเว่ยหลางมหาครูบาจึงตอบว่า " ธรรมนั้นรู้แจ้งด้วยจิต มิได้อยู่ที่การนั่งสมาธิ

          การปฏิบัติธรรมแบบฌาน ก็เพื่อช่วยให้ตัวเองเข้าถึงภาวะเดิมแท้ที่เรียกว่าจิตแจ่มพบภาวะเดิมแท้ ( ธรรมชาติแห่งพุทธะ ) ขอเพียงจิตแจ่ม ก็จะรู้แจ้งทุกสิ่ง ขอเพียงพบภาวะเดิมแท้ ก็จะเข้าใจทุกสิ่ง เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจคำว่าจิตแจ่มพบภาวะเดิมแท้ให้ดี จึงจะเข้าสู่โลกแห่งฌานได้ ทำให้ฌานแทรกซึมอยู่ในทุกท่วงท่าอิริยาบถของเราไม่ว่าจะเดิน นิ่ง นั่ง หรือ นอน

Sunday, November 30, 2014

POSITIONING ( การวางตัว )

POSITIONING ( การวางตัว )

POSITIONING


Winners position themselves at the mid range, 
They can easily handle changes,
Coming from the middle, they can maneuver left and rights;
Their successes are more achievable with their wide reach

Losers position  themselves at one side,
Coping with only events that come to their corner,
And loose many opportunities in many other locations

Liberators position themselves beyond specific locations,'
They are at one with the whole world,
Adapting nature to serve them and 
Adapting themselves to serve nature;
They gain many simple value and power,
That most people have overlooked.

พญามารและเทพบุตร


พญามารและเทพบุตร

          มีจิตกรชาวตะวันตกคนหนึ่ง อยากจะวาดรูปพระเยซูคริสต์ จึงยินดีจ่ายค่าตัวในราคาสูงเพื่อให้ได้นายแบบที่มีบุคลิกสง่างามน่าเลื่อมใสลักษณะคล้ายพระเยซูคริสต์ จากความพยายามเสาะแสวงหา ในที่สุดก็วาดรูปจนสำเร็จสมประสงค์

          หลายปีผ่านไป มีคนบอกว่า แม้ว่าภาพระเยซูคริสต์จะดูศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้ามีภาพมารมาเปรียบเทียบ จะยิ่งสื่อให้เห็นระหว่างความดีและความชั่ว จิตรกรท่านนี้จึงเที่ยวเสาะหาคนเลวที่มีใบหน้าขี้ริ้วขี้เหร่มาเป็นแบบ ต่อมาได้ทราบว่ามีนักโทษในคุกคนหนึ่งใจบาปหยาบช้า ทำชั่วได้สารพัดอย่าง หน้าตาดุดันเหมือนพญามารไม่ปาน หลังจากที่จิตรกรได้ปรึกษากับผู้คุมเรือนจำ จึงได้รับอนุญาตให้ใช้ตัวนักโทษคนนี้เป็นแบบในช่วงที่วาดภาพ จิตรกรรู้สึกว่านายแบบคนนี้หน้าตาคุ้นมาก หลังจากได้พูดคุยสนทนากัน จึงได้รู้ว่าที่แท้นายแบบคนนี้กับคนที่เคยเป็นแบบให้เขาวาดรูปพระเยซูคริสต์คือคนเดียวกัน เพราะหลังจากที่เป็นแบบให้เขาในคราวนั้น ทำให้ได้รับเงินค่าตอบแทนสูงมากจึงใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย มีชีวิตเหลวเแหลก ในที่สุดก็ตกอับติดคุกติดตะราง เมื่อจิตรกรได้ฟังแล้วนอกจากจะรู้สึกเสียดายอนาคตแทนเขาแล้ว ในส่วนลึกยังรู้สึกสะท้อนใจว่า ไม่ว่าเทพบุตรหรือพญามาร ผู้สวมบทที่แท้จริงคือมนุษย์เรานี่เอง

          ในพระพุทธศาสนาก็มีนิทานคล้ายกันนี้เล่าว่า คราวหนึ่งท่านพระสารีบุตรได้ไปเยี่ยมเพื่อที่จากกันนาน พบว่าเพื่อนท่านมีหน้าตาเหี้ยมเกรียมจึงถามถึงสาเหตุที่มา เพื่อนบอกว่าระยะนี้กำลังแกะสลักรูปยักษ์ตนหนึ่งอยู่ พระสารีบุตรจึงบอกกับเพื่อนว่า เพราะแกะสลักยักษ์มาร มองเห็นแต่หน้ายักษ์หน้ามารที่ดุดัน หน้าตาตนเองจึงพลอยอัปลักษณ์ไปด้วย ถ้าเปลี่ยนไปแกะสลักพระพุทธรูปในจิตใจจะมีแต่ความเมตตากรุณา ทำให้กายใจสุขุมเยือกเย็นตามไปด้วยอย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ ? เมื่อเพื่อนท่านได้ยินดังนั้นจึงเปลี่ยนไปแกะสลักพระพุทธรูปตามที่ว่า หลายปีผ่านไป จิตใจเปลี่ยน หน้าตาก็เปลี่ยน กลายเป็นคนที่มีใบหน้าอิ่มเอิบ มีเมตตากรุณาน่าชิดใกล้

Friday, November 28, 2014

สัตว์กายสิทธิ์จอมปลอม


สัตว์กายสิทธิ์จอมปลอม

          ครั้งหนึ่งอากาศร้อนจัดและแห้งแล้งมาก น้ำในบึงแห้งขอด พวกงูที่อยู่ในบึงจึงปรึกษาหารือกันในเรื่องย้ายที่อยู่ งูเล็กๆ ตัวหนึ่งกล่าวกับบรรดางูตัวใหญ่ทั้งหลายว่า " ถ้าพวกท่านงูใหญ่พากันเลื้อยไปข้างหน้าปล่อยให้พวกข้าพเจ้างูเล็กๆ เลื้อยตามหลังแล้ว พอคนเห็นเราเข้าก็จะถูกตีตาย ทางที่ดีควรให้พวกงูตัวเล็กๆ ขึ้นขี่หลังงูตัวใหญ่ไป เวลาคนเห็นเข้าก็จะรู้สึกแปลกประหลาดและคิดว่าพวกเราเป็นสัตว์กาวยสิทธิ์ พวกเขาก็จะได้กลัวเกรงพวกเรา "

          และแล้ว บรรดางูใหญ่ก็ให้งูเล็กเอาปากงับหางของของตนเองขึ้นขี่หลังพากันเลื้อยไปตามถนน คนที่ได้เห็นต่างก็ตกใจกลัว วิ่งหนีและตะโกนว่า " งูกายสิทธิ์มาแล้ว งูกายสิทธิ์มาแล้ว ! "

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

ใกล้ศาลมองข้ามเจ้า


ใกล้ศาลมองข้ามเจ้า

         ฌานาจารย์เต้าฮุ่ยไปพบฌานาจารย์เสี่ยฟงอี้ชุนครั้งแรกถามว่า " เจ้าเป็นคนที่ไหน ? "

         เต้าฮุ่ยตอบว่า " อาตมาเป็นคนอำเภออุนโจว "

         ฌานาจารย์เสี่ยฟงจึงถามต่อไปว่า " ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เป็นคนบ้านเดียวกับอี้สิ่วเจี๋ย ( รู้แจ้งในคืนเดียว ) ? " 

         เต้าฮุ่ยงง จึงถามไปว่า อี้สิ้วเจี๋ยเป็นใคร ? "

         ฌานาจารย์เสี่ยฟงตอบว่า " ในหมู่บ้านของเจ้ามีฌานาจารย์รูปหนึ่งชื่อ หย่งเจียเสฺวียนเจี๋ย ขณะที่ท่านพบพระเว่ยหลางมหาครูบา ( พระสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ของจีน ) สนทนากันเพียงไม่กี่คำ ท่านก็ขออำลาพระเว่ยหลางมหาครูบาพยายามรั้งท่านพักแรมหนึ่งคืน และภายในคืนเดียวนี้เอง ท่านก็รู้แจ้งเห็นจริง คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า อี้สิ่วเจี๋ย ( รู้แจ้งในคืนเดียว ) เจ้าไม่รู้จักแม้กระทั่งผู้อาวุโสบ้านเดียวกัน อาตมาควรจะทุบเจ้าด้วยไม้พลองสักตั้ง แต่วันนี้อาตมาไม่เอาโทษเจ้า "

Tuesday, November 25, 2014

ศิลปะของการปฏิเสธ


ศิลปะของการปฏิเสธ

          คุณเคยถูกคนปฏิเสธบ้างมั้ย ในตอนนั้นรู้สึกเข้าใจ รับได้ หรือว่ารู้สึกลำบากใจ

          คนที่เป็นผู้บริหารที่ดี คนที่มีความสามารถจะไม่ปฏิเสธคนง่ายๆ แม้ว่าจะต้องปฏิเสธก็ควรมีสิ่งทดแทน ต้องเข้าใจถึงศิลปะของการปฏิเสธ

          เมื่อเรามีสิ่งที่จะต้องขอร้องผู้อื่น หรือว่าต้องติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ถ้าฝ่ายตรงข้ามตอบรับทันทีเราย่อมดีใจ แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามยึกยักโยกโย้ อย่างนั้นก็ไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่ดี เราต้องรู้สึกว่าเขาเล่นแง่ ไม่มีน้ำใจ ร่วมงานด้วยยาก

          การปฏิเสธน้ำใจคน ปฏิเสธเยื่อใย สาเหตุเป็นเพราะกำลังความสามารถ ความเมตตากรุณา คุณธรรมไม่เพียงพอ คนที่มีความสามารถจะไม่ปฏิเสธคนง่ายๆ พ่อแม่รับปากสิ่งที่ลูกๆ ขอร้อง ขอเพียงเป็นเรื่องดี เรื่องกุศล ทำไมต้องปฏิเสธ ถึงแม้ว่ามีเหตุผลจำเป็นต้องปฏิเสธ ก็ยังต้องอธิบายจนลูกๆ พอใจและเข้าใจ จึงจะถือว่าบรรลุผลของการปฏิเสธ

จดหมายอิ่ง ความหมายเอี้ยน


จดหมายอิ่ง ความหมายเอี้ยน

         ชายผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองอิ่งรัฐฉู่ เขียนจดหมายถึงเพื่อนที่เป็นอัครมหาเสนาบดีในรัฐเอี้ยน ขณะที่เขาเขียนนั้นเป็นเวลาค่ำ เนื่องจากเทียนวางไว้ในที่ต่ำแสงสว่างไม่พอ เขาจึงบอกคนใช้ว่า " ยกเทียน ! " เวลาที่เขาพูดนั้นเผลอเขียนคำว่า " ยกเทียน " สองคำนี้ลงไปบนจดหมายด้วย

         เมื่ออัครมหาเสนาบดีของรัฐเอี้ยนได้รับจดหมายของเพื่อนฉบับนี้อ่านถึงคำว่า " ยกเทียน " ที่เขียนขึ้นมาลอยๆ ในจดหมายแล้วคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ เขาใช้เวลาคิดอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็พูดขึ้นด้วยความดีใจว่า " พุทโธ่เอ๋ย เพื่อนอุตส่าห์เขียนให้มันเข้าใจยากไปเอง ที่ว่ายกเทียนนั้นก็เพื่อจะมองได้ชัดเจน ถ้าจะมองให้ชัดก็จะต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถ "

         อัครมหาเสนาบดีจึงได้นำความคิดเห็นนี้กราบทูลกษัตริย์ของรัฐเอี้ยนซึ่งพระองค์ก็ทรงเห็นด้วย หลังจากนั้นรัฐเอี้ยนก็สนใจเลือกเลื่อนและใช้คนที่มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษ จึงทำให้เกิดผลดีอย่างมากในด้านการปกครอง

          ถึงแม้คำว่า " ยกเทียน " จะเป็นผลดีแก่การปกครองของรัฐเอี้ยน คำว่า " ยกเทียน " ในจดหมายของคนเมืองอิ่งหาได้หมายความเช่นนั้นไม่

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

กุญแจดอกหนึ่ง


กุญแจดอกหนึ่ง

         ครั้งหนึ่ง ถึงเวรฌานาจารย์เจ้าโจวเข้าครัวเป็นพี่เลี้ยง ท่านปิดประตูติดไฟในครัวจนควันโขมง จากนั้นตะโกนลั่นว่า " ไฟไหม้ ! ช่วยด้วย ! มาช่วยกันดับไฟเร็ว ! "

         พระเณรในวัดฮือกันเข้ามาช่วย แต่ท่านกลับหมกตัวอยู่ในห้องครัวพูดว่า " อาตมาถามปัญหาพวกเจ้า ถ้าตอบถูก อาตมาจะเปิดประตู "

         พระเณรทุกรูปต่างมองหน้ากันไปมา รู้สึกพิศวงงงงวย ไม่รู้ว่าฌานาจารย์เจ้าโจวเล่นลวดลายอะไรกันแน่

         ขณะที่พระเณรทั้งหลายลังเลอยู่นั้นเอง ฌานาจารย์หนานเฉฺวียนก็โยนกุญแจดอกหนึ่งเข้าไปทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ

         ฌานาจารย์เจ้าโจวรับกุญแจแล้ว เปิดประตูเดินออกมาเอง ทั้งสองพบหน้ากันก็หัวเราะชอบใจ

ตัวเอกกับตัวประกอบ


ตัวเอกกับตัวประกอบ

         หลายสิบปีก่อน การประกวดภาพยนต์รางวัลตุ๊กตาทองออสการ์หรือรางวัลม้าทองคำไต้หวัน จะมีแต่รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม นักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม บทภาพยนต์ยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม เป็นต้น แต่หลายปีมานี้เริ่มมีรางวัลเพิ่มขึ้นมาคือ นักแสดงตัวประกอบฝ่ายชายยอดเยี่ยม และนักแสดงประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม

         นักแสดงนำหรือว่าตัวเอก ไม่ได้หมายถึงสถานะ เช่น ในนิยายเรื่องสามก๊กตอนที่เล่าปี่ เตียวหุย และกวนอูสาบานเป็นพี่น้องที่สวนดอกท้อ ตัวเอกที่แท้จริงในฉากนี้คือขงเบ้ง พระเจ้าซ่งเหยินจงได้รับการเชิดชูว่าเป็นกษัตริย์ที่ชาญฉลาดในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่ผู้ที่ถูกยกย่องกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้กลับเป็นท่านเปาบุ้นจิ้น ดังคำที่ว่า " ชีวิตเหมือนละคร ละครเหมือนชีวิต " ชีวิตในปัจจุบันนี้ ตัวเอกไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ขอเพียงแต่แสดงบทบาทฐานะของตนให้ดีเท่านั้น ตัวประกอบก็คือตัวเอกนั่นเอง

         ความจริงตัวประกอบใช่ว่าจะด้อยกว่าตัวเอกเสมอไป ในชีวิตจริงที่เหมือนละครนี้ เพียงแค่แสดงบทบาทของตัวประกอบให้ดีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว รองประธานาธิบดีไต้หวันหลี่ซิ่วเหลียนเคยเปรียบตนเองเป็น " แจกัน " และรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับบทที่ตนได้รับนัก ความจริงแจกันก็มีประโยชน์ใช้สอยของมันถ้าสามารถทำตัวเป็นแจกันประดับห้องที่ทำให้ห้องทั้งห้องดูสดใส ชวนให้เพลินตาเพลินใจ ทำให้คนรู้สึกว่าขาดแจกันนี้ไม่ได้ นี่คือความสำเร็จ

ลากหางบนเลน


ลากหางบนเลน

         จวงจื่อไปนั่งตกเบ็ดที่ริมฝั่งแม่น้ำฝูแทบทุกวันกษัตริย์แห่งรัฐฉู่ทรงทราบก็ตรัสสั่งให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สองท่านไปหาจวงจื่อ เมื่อขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองไปพบจวงจื่อที่ใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำจึงแจ้งแก่เขาว่า " พระมหากษัตริย์ของเราทรงโปรดปรานและนับถือท่าน พระองค์สั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปช่วยทำการปกครองรัฐฉู่

         จวงจื่อยังคงนั่งถือคันเบ็ดเฉยอยู่เหมือนไม่ได้ยินขุนนางผู้ใหญ่จึงต้องพูดซ้ำ จวงจื่อนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า

         " ข้าพเจ้าได้ฟังคนพูดกันว่าที่รัฐฉู่มีเต่าวิเศษตัวหนึ่งตายไปนานถึงสามพันปีแล้ว มีคนเอากระดองมาแขวนไว้ที่ศาลเจ้า และมีคนพากันมากราบไหว้ทุกวัน เรื่องนี้เป็นความจริงไหม ? "

         ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองพยักหน้ากล่าวว่า " เรื่องนี้เป็นความจริง "

         " ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามท่านสักหน่อย " จวงจื่อพูด " เต่าตัวนี้ยินดีที่จะตายเพื่อเหลือกระดองไว้ให้คนกราบไหว้บูชา หรือว่ายินดีที่จะมีชีวิตอยู่และคลานไปบนเลน "

         ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนั้นต่างมองหน้ากัน แล้วตอบว่า " ย่อมสมัครใจจะมีชีวิตอยู่และคลานไปบนเลน "

         จวงจื่อหัวเราะด้วยเสียงอันดังกล่าวว่า " ถูกแล้วข้าพเจ้าก็ต้องการจะลากหางคลานไปบนเลนเหมือนกัน ! "

บันทึกใน " จวงจื่อ "

Sunday, November 23, 2014

เขาว่าก็ว่าตาม


เขาว่าก็ว่าตาม

         พระรูปหนึ่งไปเยี่ยมฌานาจารย์เถี่ยโจว ขอร้องให้ท่านช่วยอธิบายคัมภีร์ ' หลินจี้ลู่ '

         ฌานาจารย์เถี่ยโจวตอบว่า " ต้องไปหาฌานาจารย์หงชวน ที่วัดหยวนเจี๋ยซือ ท่านสามารถอธิบายคัมภีร์ ' หฃินจี้ลู่ ' ได้ "

         พระรูปนั้นยืนยันว่า " ไม่ อาตมาเคยได้ยินฌานาจารย์หงชวนอธิบายคัมภีร์นี้แล้ว ส่วนท่านเป็นศิษย์ก้นกุฏิของฌานาจารย์ตีสุ่ย วัดเทียนหลงซื่อ ยังไงอาตมาก็จะขอฟังคำอธิบายจากท่านให้ได้ "

         เมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ฌานาจารย์เถี่ยโจวจึงพาพระรูปนั้นไปฝึกหมัดมวยด้วยกันที่ลานฝึกวิทยายุทธ์ จนกระทั่งเหนื่อยหอบจึงหยุดพัก ฌานาจารย์ด้านหนึ่งเช็ดเหงื่อ อีกด้านหนึ่งถามว่า " เป็นอย่างไร อาตมาอธิบายคัมภีร์ ' หลินจี้ลู่ ' ได้ดีไหม ? "

Friday, November 21, 2014

อารมณ์เสียกับระดมความเพียร


อารมณ์เสียกับระดมความเพียร

         ชีวิตคนมีทุกข์ 8 หนึ่งในทุกข์ 8 นี้มี " ทุกข์เพราะเคียดแค้น " คือ ทุกข์เพราะประสบกับเรื่องราวหรือคนที่ไม่ถูกใจ ในจิตใจเกิดความเคืองแค้น หงุดหงิด อารมณ์เสีย จึงทุกข์สุดจะบรรยาย

         ยามที่ยังเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ หรือพ่อแม่มักจะย้ำสอนเราเสมอว่า อย่าอารมณ์เสีย แต่เราจะเป็นประเภทอารมณ์บูดอยู่เสมอ มักหาเรื่องระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่น เช่นเห็นคนไม่ญาติดีกับเรา ไม่เคารพเรา เราก็โมโหอารมณ์เสีย เห็นคนอื่นดี มีเกียรติ เราก็อารมณ์เสีย คนอื่นสอบติดมีผลสำเร็จ มีชื่อเสียง เราก็อารมณ์เสีย คนอื่นไม่ญาติดีกับเราเราก็อารมณ์เสีย คนอื่นทำดีเกินหน้าเราก็อารมณ์เสีย หรือบางทีเป็นเพราะตัวเองอ่อนไหวเกินไป เพียงแค่คำพูดกหรือสายตาคนอื่นก็ทำให้ตนเองอารมณ์เสียได้

         อารมณ์เสีย คนปัจจุบันอารมณ์เสียง่ายเกินไป ในสังคมจึงเต็มไปด้วยการฆ่าแกง ไฟแค้น ความโกรธ ความชิงชัง ตลอดจนประเภทเกาเหลาไม่กินเส้น อารมณ์บูด บรรยากาศเป็นพิษปกคลุมไปทั่ว แม้ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มักจะสอนให้เราต้องรู้จัก " ระดมความเพียร " อย่า " อารมณ์เสีย " แต่ยามที่เราเผชิญกับอุปสรรคขวากหนาม เรามักจะขาดความอดทนอดกลั้น ไม่รู้จักเตือนตนเองให้ " ระดมความเพียร "

Thursday, November 20, 2014

ต้นข้าวกับต้นหญ้า


ต้นข้าวกับต้นหญ้า

          มีชายสองคน คนหนึ่งชื่อกัง อีกคนหนึ่งชื่อหวู่ ทั้งสองคนทำนาปลูกข้าว เวลานั้นข้าวในนางอกงามขึ้นมาแล้วแต่ว่ามีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด ทั้งสองคนจึงลงมือถอนหญ้าทิ้งไปส่วนหนึ่งซึ่งไม่สามาถแก้ปัญหาได้ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในที่สุดชายที่ชื่อกังจึงใช้มีดดายทั้งต้นหญ้าและต้นข้าวแล้วจุดไฟเผาเสีย เขาคิดว่าทำเช่นนี้คงจะปราบต้นหญ้าได้ ส่วนชายที่ชื่อหวู่ถอนต้นหญ้าทิ้งหลายวันในที่สุดก็ขี้เกียจจึงปล่อยให้หญ้างอกงามต่อไป

          ผลในที่สุดนาของชายชื่อกัง แม้จะดายเอามาเผาหมดแล้ว แต่ต้นหญ้าก็กลับงอกงามขึ้นมาอีก ส่วนในนาของชายชื่อหวู่นั้น ข้าวฟ่างกลายเป็นหญ้า ข้าวที่ปลูกก็เปลี่ยนพันธุ์ไปใช้เป็นอาหารไม่ได้ ทั้งสองคนได้แต่มองหญ้ากันแล้วหัวเราะอย่างขมขื่นที่พวกเขาจะต้องอดกินข้าว

บันทึกใน " หยี่หลีจื่อ "

เขียนกลับหัวกลับหาง


เขียนกลับหัวกลับหาง

          สามเณรรูปหนึ่งถามฌานาจารย์อู๋หมิง ว่า " อาจารย์ คนเลวที่ไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่แล้ว ย่อมไม่ใช่คน ในเมื่อไม่ใช่คน เราผู้ออกบวชควรช่วยเหลือคนประเภทนี้หรือไม่ ? "

          ฌานาจารย์ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น แต่หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตัวอักษร " ฉัน " แบบกลับหัวกลับหาง แล้วถามสามเณรว่า " นี่คืออักษรอะไร ? "

          สามเณรตอบว่า " คือตัว ' ฉัน ' แต่เขียนกลับหัวกลับหาง "

          ฌานาจารย์ถามอีกว่า " ในเมื่อเขียนกลับกัน ยังนับว่าเป็นตัวอักษร ' ฉัน ' หรือไม่ ? " สามเณรตอบว่าไม่นับ ! "

          ฌานาจารย์ถามต่อไปว่า " ในเมื่อไม่นับ ทำไมเจ้ายังบอกว่าคือตัว ' ฉัน ' ล่ะ ? "

          สามเณรรีบเปลี่ยนคำตอบว่า " นับ ! "

          ฌานาจารย์ถามอีกว่า " ในเมื่อนับ ทำไมเจ้าบอกกลับหัวกลับหางล่ะ ? " สามเณรนิ่งอึ้ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร

ทุกเรื่องให้ดูสองด้าน


ทุกเรื่องให้ดูสองด้าน

         ทุกเรื่องล้วนมีสองด้าน ไม่ว่าจะเป็น " ดี " " ชั่ว " " ใช่ " " ไม่ใช่ " หรือจะเป็น " เลว " " ดี " " ถูก " " ผิด " "มี " " ไม่มี " ทั้งหมดล้วนมีสองด้าน

         ทว่าดูผิวเผินเหมือนมีสิองด้านที่ตรงกันข้ามกัน แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปหมดทุกเรื่อง บางเรื่องอาจจะดีทั้งสองด้าน และบางเรื่องก็อาจจะเลวทั้งสองด้าน หรือบางครั้งที่ " ใช่ " ยังมีที่ " ไม่ใช่ " รวมอยู่ หรือที่ " ไม่ใช่ " มี " ใช่ " รวมอยู่ด้วยเช่นกัน

         บางทีสองคนถกเถียงกัน ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง เพราะต่างมีจุดยืนของตนเอง ไม่ต้องพูดว่าใครถูกใครผิด ใครใช่ใครไม่ใช่ เช่นลูกๆ บอกว่า พ่อน่ารักที่สุด หรือว่าแม่น่ารักที่สุด ต่างถูกด้วยกันทั้งคู่ แต่ว่าไม่สมบูรณ์ฺเพราะที่ถูกควรจะพูดว่า พ่อแม่น่ารักทั้งคู่

         พุทธศาสนิกชนบอกว่าพระพุทธศาสนายิ่งใหญ่ที่สุด คริสต์ศาสนานิกชนบอกว่าศาสนาคริสต์ยิ่งใหญ่ที่สุด พูดถูกทั้งคู่ แต่ว่าภ้าพูดด้วยความเคารพฝ่ายตรงข้ามได้ เช่นพุทธศาสนิกชนควรบอกว่าศาสนาคริสต์ก็ยิ่งใหญ่เหมือนกัน ส่วนคริสต์ศาสนิกชนบอกว่าพระพุทธศาสนาก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน พูดอย่างนี้จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น บางครั้งความ " ถูกผิด " ขึ้นอยู่กับจุดยืนของแต่ละคน หรือเพราะว่าเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นว่าของตนถูก จึงหามาตรฐานได้ยาก

" ข่าย " ที่มีตาเดียว


" ข่าย " ที่มีตาเดียว

          เมื่อคนที่มีอาชีพจับนกรู้ล่วงหน้าว่าจะมีนกบินมา เขาจึงเอาข่ายไปขึงดักไว้ ในที่สุดก็จับนกได้ไม่น้อย มีายผู้หนึ่งเฝ้าดูการจับนกครั้งนี้ด้วยความสนใจ เขาสังเกตเห็นว่านกแต่ละตัวที่จับได้เอาหัวมุดติดกับตาข่ายมาตัวละตาเดียวเท่านั้นเขาจึงคิดอยู่ในใจว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จะต้องทำข่ายที่มีตามากมายให้เสียเวลาทำไม

          เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ก็หาด้ายสั้นๆ มาผูกเป็นวงกลมเล็กๆ หลายวง เตรียมเอาไปจับนก ชาวบ้านเห็นเข้าก็แปลกใจถามเขาว่า " นั่นอะไร ? "

          ชายผู้นั้นตอบว่า " นี่เป็นเครื่องดักนก เมื่อนกตัวหนึ่งเอาหัวลอดเข้าตาข่ายเพียงละตาเดียว แล้วข้าพเจ้าจะต้องไปนั่งเหยียบข่ายทั้งผืนให้เสียเวลาทำไม "

บันทึกใน " เซินเจี้ยน "