ซูตงพอเป็นมหาบัณฑิตในสมัยราชวงศ์ซ่ง เขาศรัทธาในพระพุทธศาสนาใช้ชีวิตอย่างสันโดษ และชอบคิดว่าตัวเองเป็นคนซื่อตรง ไม่เหมาะที่จะเป็นขุนนางที่ต้องพัวพันกับเรื่องลาภยศสรรเสริญ
ต่อมา ซูตงพอถูกลดตำแหน่ง และถูกเนรเทศไปเป็นขุนนางเมืองกัวโจวซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำ ที่นี่เองที่เขาเริ่มสนิทสนมกับพระอาจารย์ฝออิ้นอริยสงฆ์นิกายเซน
ซูตงพอศึกษาธรรมะจนกระทั่งหลงคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว วันหนึ่ง เขาเกิดแรงบันดาลใจอันแรงกล้า จึงเขียนกวีบทหนึ่งความว่า
ก้มหน้ามองฟ้าจากฟ้า
รัศมีเจิดจ้าส่องพิภพ
แม้พายุแปดหมู่* ก็ไม่หลบ
ยังสงบนั่งนิ่งบนบัวทอง
เขาร่ายกวีซ้ำไปซ้ำมา 2 - 3 รอบ รู้สึกว่ากวีบทนี้ไม่ธรรมดาเลยหากเอาไปให้ท่านฝออิ้นดู ท่านต้องชอบแน่ๆ คิดเช่นนี้แล้ว จึงสั่งให้เด็กรับใช้รีบพายเรือข้ามแม่น้ำเอาบทกวีบทนี้ไปให้ท่านฝออิ้นอ่าน
คิดไม่ถึงเลยว่า หลังจากที่ท่านฝออิ้นอ่านจบ ท่านก็เอาแต่หัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับตวัดพู่กันเขียนตัวอักษร 2 ตัวประเมินกวีบทนั้นแล้วบอกให้เด็กรับใช้เอาบทกวีกลับไป
ซูตงพอกำลังนั่งรอ " คำชม " จากท่านฝออิ้นอย่างใจจดใจจ่อ พอเห็นเด็กรับใช้กลับมา ก็รีบเปิดจดหมายออกอ่าน แล้วเขาก็ถึงกับผงะเมื่อเห็นตัวหนังสือตัวใหญ่ 2 ตัว ที่เขียนโย้ๆ เย้ๆ ไว้ท้ายบทกวีว่า " ผายลม "
" จะบ้าแล้วหรือ " ซูตงพอตบโต๊ะดังเปรี้ยง ถลันกายลุกขึ้นยืนพร้อมกับสบถว่า " วิจารณ์กวีของข้าแบบนี้ได้ยังไง ข้าจะไปเอาเรื่องกับเขา "
ซูตงพอสั่งเด็กรับใช้แจวเรือพาเขาข้ามแม่น้ำไปทันที เพื่อเอาเรื่องกับท่านฝออิ้น
เรือเพิ่งจะเทียบท่า ก็เห็นท่านฝออิ้นยืนยิ้มเผล่อยู่ริมฝั่ง ซูตงพอโกรธมาก คำรามว่า " ไต้ซือ เสียทีที่เราเป็นเพื่อนกัน ถึงแม้กวีของข้าเขียนได้ไม่ดีนัก แต่ในฐานะนักบวชผู้ละโลก ท่านปากพล่อยด่าข้าชุ่ยๆ แบบนี้ได้อย่างไร "
" อะไรนะ " ท่านฝออิ้นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ย้อนถามว่า " ข้าด่าอะไรท่าน "
ซูตงพอโกรธจนหน้าแดงก่ำ มือไม้สั่น พูดอะไรไม่ออก นอกจากชี้ไปที่ตัวอีกษร 2 ตัวนั้นของท่านฝออิ้น พร้อมกับยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ท่านดูเอง
ท่านฝออิ้นหัวเราะฮ่าๆ พูดว่า " มหาบัณฑิตของข้า ท่านอวดอ้างว่าตัวเองไม่กลัวแม้พายุแปดหมู่ อะไรกัน ? นี่แค่ลมตดเบาๆ ก็พัดท่านปลิวข้ามฝั่งมาถึงนี่เสียแล้ว
ซูตงพอจึงถึงบางอ้อ เขาได้แต่ก้มหน้านิ่ง ยิ่งคิดยิ่งละอายใจ
แง่คิด
วางอุเบกขากับคำติชม
ถ้าหากไม่มีท่านฝออิ้น ซูตงพอก็คงจะยังหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว
จากนี้จะเห็นได้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน
เพียงอักษร 2 ตัวของท่านฝออิ้น ก็ลอกคราบผู้ทรงศีลผู้ยิ่งใหญ่ของซูตงพอออกมาอย่างล่อนจ้อน คำติแค่ 2 คำก็ทำเอาซูตงพอแปลงร่างกลับสู่ร่างเดิมในพริบตา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงอย่าคิดว่าตัวเองแน่ที่สุด เก่งที่สุด เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นยอดฝีมือ ไม่มีใครเทียมทัน ในชีวิตของคนเรานั้น มักจะมีคนรู้มากกว่าเรา คิดได้รอบคอบกว่าเรา เก่งกว่าเราเสมอ แต่ความเย่อหยิ่งทะนงตน ความสำเร็จ ความปีติยินดีมักจะทำให้เราหน้ามืดตามัวจนกระทั่งลืมสัจธรรมข้อนี้ไป
ชีวิตมักจะจี้ถามเราอยู่เสมอ แต่คำตอบกลับเป็นประสบการณ์ที่เราต้องประสบมากับตนเองเสียก่อนแล้วจึงตอบได้
สิ่งที่ชีวิตมอบให้เรานั้น มีทั้งคำชมและคำด่า มีทั้งอุปสรรคและความสุข มีทั้งชื่อเสียงและความอัปยศอดสู ชีวิตคนมันหลากรสหลายชาติแบบนี้นี่เอง ในขณะที่รายละเอียดของแต่ละรสชาตินั้น มีแต่ตัวผู้ลิ้มรสเท่านั้นที่เข้าใจดี
เวลามีคนชมเชยเรา เรามักจะส่ายหน้าอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวแล้วพูดว่า " มิได้ มิได้ " แต่ในใจเราพองโต เป็นสุขเหลือเกิน เวลาทำงานถ้ามีคนตำหนิเราว่าทำไม่ดี หรือแค่เตือนด้วยความหวังดีเท่านั้น เราก็รู้สึกสงดหดหู่ ไม่สบายใจทันที
ยามเมื่อได้รับคำติชมหรือตำหนิ เราควรทำใจให้นิ่ง ไม่ตื่นเต้นดีใจจนตัวลอย ไม่ตระหนกตกใจจนเสียขวัญ กล่าวคือต้องรู้จักวางอุเบกขากับคำติชม น้อมรับความคิดเห็นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัว ร่อนกากเอาแก่น ใช้สติพิจารณาว่าคำติชมนั้นมีส่วนจริงเท็จประการใดแล้วนำความคิดเห็นเหล่านั้นมาแก้ไขปรับปรุงตนเอง ยกระดับตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น มีแต่น้อมรับการท้าทายจากชีวิตจริงเช่นนี้ เราจึงจะค้นพบสัจธรรม มีความสุขสงบอย่างแท้จริง
By สุภาพร ปิยพสุนทรา ( สว่าง อย่าง เซน )
No comments:
Post a Comment