อธิศีลสิกขา
อธิศีลสิกขา หมายถึง ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมความประพฤติให้สูงยิ่งขึ้น ก่อนที่จะเข้าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับศีลตามทางสายกลาง ( มัชฌิมาปฏิปทา ) แห่งมรรค 8 ขอให้เราได้ทำความเข้าใจความหมายของคำว่า บุญ กุศล กับคำว่า บาป หรือ อกุศล ในความหมายที่แท้จริงอันถือว่าเป็นเกณฑ์จริยธรรมในทางพุทธศาสนาเสียก่อนดังนี้
บุญ และ บาป
บุญ และ บาป เป็นความหมายเกี่ยวกับเกณฑ์ในการวัดคุณค่าจริยธรรมในทางพุทธศาสนา แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องของความดี คือ บุญหรือกุศล กับ ความชั่ว คือ บาปหรืออกุศล เป็นเรืองที่เกี่ยวพันกันกับเรื่องของวิญญาณและเจตสิก ซึ่งเป็นต้นตอของการประกอบกรรมโดยทาง กาย วาจา และใจ ผู้รู้ทางพุทธศาสนานิยามคำว่า บุญ หรือ กุศล ว่า คือผลจากการกระทำที่ก่อให้จิตมีลักษณะ 4 ประการ ดังนี้
1. อโรคยา จิตที่ดีปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
2. อนวัชชะ จิตที่สะอาด ไม่แปดเปื้อนมัวหมองด้วยกิเลส
3. โกศลสัมมภูต จิตที่ได้รับการอบรม ประกอบด้วย ปัญญา ความรู้
4. สุขวิบาก จิตที่เป็นสุขและผ่องใส อัรเกิดจากผลของการกระทำกรรม
ในทำนองเดียวกัน บาป หรือ อกุศล ก็คือผลของการกระทำที่ก่อให้คุณภาพของจิตในทางตรงข้าม เช่น จิตที่อ่อนแอ ไม่สมบูรณ์ เป็นอันตราย เต็มไปด้วยอวิชชา อันเป็นผลทำให้เกิดทุกข์
ดังนั้น คำว่า บุญ กุศล หรือ กรรมดี จึงหมายถึงสภาวะของจิตที่มีคุณภาพ ส่วนกรรมชั่ว หรือบาป หมายถึงสภาพจิตที่เสื่อมหรือไร้คุณภาพ ดังมีคำนิยามในพระอภิธรรมดังนี้
" อัตตโน สันตานัง ปุนาติ โสเธตีติ ปุญญัง - การกระทำใดที่ชำระสันดานตนให้ขาวสะอาด ย่อมได้ชื่อว่า บุญ "
บาป คือผลที่เกิดจากกรรมชั่ว คือ จากทางกายกรรม 3 ประการได้แก่การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การลักขโมย และการประพฤติผิดทางเพศจากทางวจีกรรม 4 ประการ คือ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดหยาบ ก้าวร้าว และพูดไร้สาระ และจากมโนกรรม 3 ประการ ได้แก่ อภิชฌา พยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งตรงกับอกุศลมูลที่เรียกว่า โลภะ โทสะ และ โมหะ
บุญ คือผลที่เกิดจากการประกอบกุศลกรรมด้วยการกระทำซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอกุศลกรรม 10 ประการ กล่าวคือ 3 ประการเกิดจากทางกายกรรม คือ เว้น จากการปลงชีวิต การลักขโมย และการประพฤติผิดในกาม 4 ประการอันเกิดจากวจีกรรม คือ เว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด และ พูดเพ้อเจ้อ และ 3 ประการเกิดจาก มโนกรรม คือ อนภิชฌา ไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ของผู้อื่น อพยาบาท ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น และ สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ
การที่มีผู้วิจารณ์จริยธรรมทางพุทธศาสนาว่า เป็นการสอนแบบห้ามเฉพาะในทางลบนั้น หากเราได้พิจารณาให้ละเอียดสักหน่อยจะพบว่า กุศลกรรมบถ 10 พระพุทธองค์ทรงนำมาสอนจะมีทั้งการห้ามกระทำชั่วร่วมกับการสอนให้กระทำดีอยู่ด้วยเสมอ เช่น
1. สอนให้ละจากการฆ่า การเบียดเบียน พร้อมกับสอนให้มีเมตตากรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูลซึงกันและกัน
2. สอนให้เว้นจากการลักขโมย ทั้งยังสอนให้เคารพในกรรมสิทธิ และทรัพยากรของผู้อื่น
3. สอนให้ละจากการประพฤติผิดไม่ล่วงละเมิดทางเพศ พร้อมกันนั้นควรควบคุมอารมณ์ของตนเองให้อยู่ในศีลในธรรม
4. สอนให้เว้นจากการพูดเท็จ และรักษาสัจวาจา
5. สอนให้เว้นจากการพูดส่อเสียด ส่งเสริมความดีงาม ความสมัครสมานสามัคคีระหว่างสมาชิกในองค์การหรือในสังคม
6. สอนให้เว้นจากการพูดคำหยาบกระด้าง แต่พูดด้วยความสุภาพอ่อนโยน
7. สอนให้เว้นจากการพูดไร้สาระ พูดแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์มีเหตุมีผลต่อผู้ฟัง และเหมาะสมตามกาละและเทศะ
8. สอนให้เว้นจากการคิดละโมบ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น แต่สอนให้คิดที่จะเผื่อแผ่ เช่น การทำบุญให้ทาน
9. สอนให้ไม่มีจิตคิดเบียดเบียน แต่ให้แผ่เมตตาและส่งความปราถนาดีให้ผู้อื่นเป็นสุขปราศจากทุกข์ทั้งปวง
10. มีความเห็นชอบ ทำความจริงให้กระจ่าง สร้างความเชื่อความศรัทธาที่ถูกต้อง เข้าใจในกฏแห่งกรรม และเชื่อในผลที่จะเกิดจากกุศลกรรมและอกุศลกรรม
กุศลจิตที่เกิดจากกุศลกรรมที่เห็นเด่นชัดได้แก่ จิตที่เป็นสมาธิ มีสติ สงบ อ่อนน้อม ถ่อมตน อยากที่จะทำกรรมดี ( กุสลาฉันทะ ) ปีติในธรรม และมองเห็นในความจริงสูงสุด กุศลกรรมบถทั้งสิบซึ่งประกอบด้วยการกระทำ ทั้งทาง กาย วาจา ใจ เหล่านี้ สามารถเพาะบ่มได้จากการประพฤติปฏิบัติจามทางแห่งไตรสิกขาในข้อศีล
By แก่นพุทธธรรม
No comments:
Post a Comment