Friday, January 18, 2013

ธัมมิกสังคมนิยมของท่านพุทธทาส ( บทที่ ๔ " บทสุดท้าย " )

ธัมมิกสังคมนิยมของท่านพุทธทาส ( บทที่ ๔ )
แนวทางสู่ธัมมิกสังคมนิยม

ธัมมิกสังคมนิยมของธรรมชาติต้องกลับมา

             " ...ธรรมิกสังคมนิยมที่ถูกต้องจะกลับมา ก็เพราะว่า เราเข้าใจสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง ตรงตามข้อเท็จจริงของธรรมชาติ หรือของกฎของธรรมชาตินั้นเอง

             - ตั้งต้นด้วยข้อเท็จจริงพื้นฐานที่สุดที่ว่า ชีวิตนี้มันคือรูปหรือกายใจ เราได้ยินอย่างนี้ กันมากทั้งนั้นแต่เข้าใจความหมายผิด ไปแยกกายออกจากใจ แยกใจออกจากกาย หรือแยกนามออกจากรูป ไปแยกรูปออกยากนาม... ถ้าเรามองเห็นอย่างนี้ ว่ากายกับใจเป็นสิ่งที่เป็นสิ่งเดียวกัน อย่างนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นวัตถุนิยมได้เลย หรือว่าไม่บ้าหลีงถึงกับว่า เอาแจ่จิตตนิยม มโนนิยม อย่างเดี่ยวได้ มันจะถูกอยู่ตามธรรมชาติ ถ้าเราจะพูดว่าสังคมนิยม นิยมการสังคม ก็อย่าเพ่อไปคิดถึง สังคมอื่นเลย คิดถึงสังคมของกายกับใจก็แล้วกัน กายกับใจนั่นแหละเป็นตัวสังคมที่ดี มันต้อง เข้ากันได้อย่างถูกต้อง จนเรียกว่า ธรรมิกสังคมนิยม คือกายกับใจมันเข้ากันได้อย่างถูกต้อง ตามทางธรรมหรือตามธรรมชาติ

              ทีนี้เมื่อเรามีธรรมิกสังคมนิยมที่กายกับใจในภายในอย่างถูกต้องแล้ว มันก็ง่ายนิดเดียว ที่จะมีสังคมนิยมภายนอก คือ ระหว่างบุคคล ระหว่างประเทศ ระหว่างอะไรกัน กระทั่งทั้งโลกนี้ จะมีธรรมสังคมนิยมอย่างถูกต้องได้...

             - จะแก้ปัญหาได้ ต้องไม่เป็นทาสของวัตถุ กันทั้งนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ เดี๋ยวนี้ พูดผ่าซากลงไปได้เลย แล้วก็มองเห็นด้วย มองเห็นได้จริงด้วยว่า นายทุนก็เป็นทาสวัตถุ ชนกรรมาชีพ ก็เป็นทาสฝ่ายวัตถุ แล้วมันจะถูกต้องกันได้อย่างไร มันก็มีแต่แย่งชิงกัน ฉะนั้น พอเลิกเป็นทาส ทางวัตถุกันเสียเท่านั้น ก็หมดความเป็นนายทุน หรือความเป็นชนชั้นกรรมาชีพ ทั้งนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ กลายเป็นผู้ที่ต้องการที่จะร่ำรวยด้วยบุญ เสียอย่างเดียวเท่านั้น หมดปัญหา...


              - เจตนารมณ์ของการเมือง ต้องเป็นศีลธรรม... อย่าลืมว่าการเมืองนนี้ เราให้ความหมายว่า มันเป็นเรื่องถูกต้องของการปฏิบัติของมนุษย์ในการเป็นอยู่ร่วมกันอย่างมากๆ อย่างผาสุก เพราะว่า ทำถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ เจตนารมณ์ของการเมืองเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นตามความประสงค์ ของทุกคนที่อยู่ร่วมกัน...



              แม้แต่ธรรมชาติ ถ้าว่าเราจะมองดูธรรมชาติ ในฐานะที่ให้มันมีเจตนาก็จะต้องรู้สึกว่า จะต้อง มองเห็นว่า มันกมีเจตนาเพื่อสันติภาพ สีลภาวะ หรือ ภาวะแห่งความปรกตินั้น เป็นวัตถุประสงค์ ของธรรมชาติ ถ้าผิดปกติวุ่นวายแล้วไม่ใช่วัตถุประสงค์ของธรรมชาติ และไม่ตรงกับความหมาย ของคำว่า " ศีละ "

              ฉะนั้นการเมืองนี้ ถ้ามันบริสุทธิ์ มันก็เพื่อความสงบ หรือสันติภาพของมนุษย์เท่านั้นเอง... ถ้าการเมืองไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ หรือพระธรรมแล้ว มันก็เป็นระบบโจรที่ปล้นชาติ โจรที่ทำลายชาติ โจรที่ทำลายทรัพย์สมบัติของพระเจ้านั่นเอง...

              - อุดมคติต้องเป็นไปตามธรรมสัจะของธรรมขาติ ในที่สุด ให้มองห็นสิ่งที่เรียกว่า อุดมคติเสียใหม่อย่างถูกต้อง ว่าอุดมคตินั้น เราชอบกันนักหนา เราบูชากันนักหนา แต่แล้วมันก็ผิได้ ถ้าอุดมคตินั้นมันเป็นเพียงสัจจาภินิเวส เป็นความจริงเฉพาะคน ที่ยึดถือดื้อรั้นไปคนเดียว เช่น อุดมคติทางการเมืองพวกหนึ่งสายหนึ่งนี้ มันเป็นสัจจาภินิเวสทั้งนั้น ไม่ใช่ของจริงของพระเจ้า อย่างนี้เป็น อุดมคติที่ใช้ไม่ได้...

             ฉะนั้น อุดมคติทางการเมือง มันจึงเป็นปัญหาอยู่ มันถูกหรือผิด นี้มันมีปัญหาอยู่ แต่เราจะทำให้หมดปัญหาได้ไม่ยาก โดยทำให้มันประกอบไปด้วยธรรมซึ่งมีรากฐานอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว ทุกอย่างมอบให้พระเจ้า มอบให้ธรรมมะ มอบให้ความถูกต้อง หรือความยุติธรรม อย่าเอาตัวกูเป็นใหญ่ เป็นตัวกูนิยม

การแก้ไขปัญหาสันติภาพสองระดับ

             ๑. การแก้ไขปัญหาในระดับบุคคล ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวว่า คือ หน่วยแห่งสังคมแต่ละหน่วย แต่ละคนนั้นวรจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

              - เขามีการศึกษาดี ถูกต้อง ไม่เป็นการศึกษาแบบสุนัขหางด้วน

              - เขามีสุขภาพอนามัยที่ดีทั้งทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ

              - เขามีครอบครัว มีการเป็นอยู่อย่างครอบครัวที่ถูกต้องทั้ง ๖ ทิศ
           
              - เขามีเศรษฐกิจดี กินอยู่พอดี เหลือแต่ทำประโยชน์เพื่อมนุษย์

              - มีธรรมะเป็นหน้าที่ เขาทำงานสนุก เขาไม่มีปัญหาเรื่องปัจจัยอะไร

              - เขารักเพื่อนมนุษย์ คือรักผู้อื่น

              - เขามีศีลธรรม ทำความปรกติ

              - เขามีสัมมาทิฏฐิ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความรู้ ถูกต้อง

              - แล้วเขาเป็นมนุษย์เย็น

              บุคคลแต่ละคนที่ประกอบไปด้วยคุณธรรมเหล่านี้ เป็นส่วนประกอบที่ดีที่สมบูรณ์ สำหรับสร้างโลกนี้ให้มีสันติภาพ นี้ส่วนบุคคล ส่วนบุคคลแต่ละคนที่อยู่ในโลกที่จะสร้างสันติภาพ

              ๒. การแก้ปัญหาในระดับสังคม " สังคมี่มีความถูกต้อง " " ทีนี้ก็จะพูดถึงระบบการเป็นอยู่ การควบคุม การปกครอง ของบุคคลเหล่านั้น ที่มักจะเรียกรวมๆ กันว่าระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ เรียกง่ายๆ  ก็ว่าที่จะเป็นผู้ปกครองก็แล้วกัน เป็นคณะผู้ปกครอง จะเรียกว่ารัฐบาลหรืออะไรก็จะยังไม่หมด เพราะว่ามันยังรวมหลายฝ่ายที่รวมกันทำหน้าที่ปกครอง ทุกๆ ระบบที่เป็นระบบการปกครอง ระบบการควบคุมมนุษย์จต้องถูกต้องด้วย มนุษย์แต่ละคนจะต้องถูกต้องแล้ว ระบบการควบคุมการเป็นอยู่ของมนุษย์จะต้องถูกต้องด้วย นี้เป็นเรื่องที่ ๒. คือว่าสังคมนั้นจะต้องมีความถูกต้อง

             ๒.๑ จะต้องมีเศรษฐกิจที่ถูกต้องในสังคมนั้น ในสังคมมนุษย์นั้นมีระบบเศรษฐกิจที่ถูกต้องเป็นข้อแรก เพราะมันมีอิทธิพลมาก เขามีระบบที่อาตมาเรียกชื่อเอาเองว่า ธัมมิกสังคนิยม คนมั่งมีกับคนยากจนบวกกันเข้าแล้วทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แต่กลับส่งเสริมทรัพยากรของธรรมชาติ จะออกผลออกประโยชน์มาได้อย่างไร เขาก็ไม่ทำลาย นอกจากจะเก็บเอาผลประโยชน์นั้นแล้ว ยังส่งเสริมให้ผลประโยชน์ยิ่งขึ้นไป ต้องเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ต้องเป็นระบบที่ทำสิ่งที่มีค่าน้อยให้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก หรือถึงกับว่าระบบที่ทำให้สิ่งที่ไม่มีค่ากลายเป็นจของมีค่า นี่เป็นเศรษฐกิจทางวิญญาณไปแล้ว เศรษฐกิจทางวิญญาณทางธรรมะ ทำร่างกายหรือชีวิตนี้ที่ไม่มีค่านี้ ให้กลายเป็นของมีค่า ร่างกายอันเน่าเหม็นก็ไม่มีค่า ตายแล้วให้ใครก็ไม่มีใครเอานี้แต่กลับทำให้ มีประโยชน์สูงสุด บรรลุมรรคผลนิพพานได้ นี่เป็นยอดเศรษฐกิจ เราจะต้องถือว่า พระพุทธเจ้านั้น ท่านทรงเป็นยอดนักเศรษฐกิจ เป็นนักเศรษฐกิจชั้นยอด คือสิ่งที่ไม่มีค่าให้เป็นของมีค่าสูงสุด ขึ้นมาได้แต่เอาละเดี๋ยวนี้ไม่ต้องถึงนั้นดอก คนธรรมดาสามัญทั้วไปนี้ มีระบบเศรษฐกิจชนิดที่ไม่ทำลาย ที่มาแห่งประโยชน์ ทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย แต่กลับทำนุบำรุงส่งเสริม

               ๒.๒ มีระบบการอยู่ร่วมกันระหว่างคนด้อยกับคนเด่น คนยากคนจนคนพิการคนอะไรก็ตาม เป็นฝ่ายหนึง แล้วคนมั่งมีอำนาจวาสนา นั้นอีกฝ่ายหนึ่ง บวกกันเข้าแล้วร่วมทำประโยชน์แก่สังคม เพราะมีหลัก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่วมกัน

              ๒.๓ มีระบบการเมืองที่ถูกต้อง คำว่าการเมือง การเมือง เขาจะพูดกันอย่างไรไม่รู้ปรัชญาการเมืองของเขาอาตมาไม่รู้ดอก แล้วไม่อยากจะรู้ด้วย จะรู้เพียงแต่ว่า การเมือง คือ ระบบที่ทำให้อยู่กันเป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้ศาตรา โดยไม่ต้องใช้อาญา ไม่ต้องใช้ศาตรา ไม่ต้องใช้อำนาจอะไร เราอยู่กันได้ ตกลงกันได้ เข้าใจกันได้ อยู่กันอย่างเป็นความสุข สงบสุข เป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้ศาตรา นั้นแหละคือระบบการเมืองที่เราต้องการในที่นี้ แต่มันก็ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบหลายๆ อย่าง เช่นว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่มีอยู่นี้จะต้องมีรัฐบาล มีการบริหาร มีตุลาการ มีนิติบัญญัติ มีสภา มีตุลาการ เอาละ เรายอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าต้องมีในระบบการเมือง แต่ขอให้มันถูกต้อง

            ให้มีสภา หรือสภาประชาชน ที่ออกกฏหมายโดยถูกต้องสมควรแก่สถานการณ์จริงๆ แต่ถ้าเอาคนโง่มาเป็นสมาชิก มันก็ทะเลาะกันไม่มีที่สิ้นสุดแหละ มันต้องมีคนมีธรรมะ มีศีลธรรม หรือเป็นมนุษย์อย่างที่กล่าวมา ข้างต้นถูกต้องนั้น มาเป็นสมาชิกของรัฐสภาหรือสภาประชาชน...

            แล้วจะต้องมีการควบคุมรัฐบาลอย่างถูกต้อง ควบคุมรัฐบาล สภาต้องควบคุมรัฐบาล ควบคุมรัฐบาลด้วยจิตที่เป็นธรรม ไม่ใช่เพื่อจะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้เรามีพรรคการเมืองที่พร้อมจะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา จนไม่มีเวลาทำงานทำหน้าที่ พรรคการเมืองที่จริงส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นของที่ไม่น่าเสน่หา เพราะว่าพรรคการเมืองมันเห็นแก่พรรคยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติ พรรคการเมืองไหนๆ ก็ตามมักเห็นแก่พรรคมากกว่าเห็นแก่ชาติ มันเห็นแก่พรรคมากกว่าเห็นแก่ชาติทั้งนั้นแหละ อาตมาคิดว่าทั้งโลกเลย จะเอาพรรคอยู่รอดและเอาพรรคเจริญก่อนชาติเจริญ เพราะมันมีพรรคอย่างนี้แหละมันเลยยุ่ง ถ้ามันไม่มีพรรคมันมีพรรคเดียว ทุกคนมุ่งหน้าต่อประเทศชาติแล้ว มันคงจะไม่ยุ่ง...

           แล้วจะต้องมีรัฐสภาหรือผู้แทนราษฎร ที่สื่อความประสงค์ของประชาชนอย่างถูกต้อง อย่างครบถ้วน ถ้ามันเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภา มันก็ต้องเป็นผู้แทนราษฎรชนิดที่สื่อความประสงค์ของราษฎร ให้แก่สภาหรือแก่รัฐบาลอย่างถูกต้องและครบถ้วน...

           ในที่สุดเราจะพูดว่า เขาจะต้องถือหลักศีลธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ทุกแขนง รัฐบาลก็ดี รัฐสภาก็ดี ตุลาการก็ดี อะไรก็ดี ที่รวมกันเป็นระบบการปกครองนี้ จะต้องมีศีลธรรมเป็นหลัก ให้เรามีความเป็นชาติที่มีศีลธรรม ให้เรามีความเป็นชาติหรือชาติที่มีศีลธรรม ซึ่งจะต้องรวมถึงว่า มีวัฒนธรรม มีศาสนา มันไม่เสียในทางวัฒนธรรมหรือศาสนาใดๆ นี่ระบบการปกครองทุกแขนง ไม่ว่าจะไปในทิศทางไหน จะต้องมีความเป็นธรรม คือศีลธรรมในการปฏิบัติหน้าที่การงาน

           อาตมาเคยพูดไปตามไม่มีอำนาจอะไร แต่ก็พูดว่า เราควรจะมีกระทรวงศีลธรรม มีกระทรวงศีลธรรมขึ้นมาสำหรับควบคุมกระทรวงทุกกระทรวงให้มีศีลธรรม เพื่อควบคุมกระทรวง ทุกกระทรวงหรือทุกบุคคลให้มีศีลธรรม เดี๋ยวนี้ดูสิในโลกนี้ ประเทศไหนบ้างที่มีกระทรวงศีลธรรม จะมีก็แต่เชื่อดูไม่ค่อยมี จะมีกระทรวงวัฒนธรรมและศาสนาดูเหมือนจะได้ยินอยู่บ้าง แต่ว่ากระทรวงศีลธรรมไม่เคยได้ยิน แต่เราต้องการให้ในโลกนี้ ทุกประเทศมีกระทรวงศีลธรรมซึ่งมีศีลธรรมจริง แล้วมันควบคุมทุกกระทรวงให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีศีลธรรมแล้วประเทศชาติก็วิเศษ เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย โดยแน่นอน...

            ๒.๔ ต้องการระบบการปกครองที่มีธรรมะเป็นหลัก แยกออกมาเฉพาะระบบแบบการปกครอง ที่เป็นธัมมิกประชาธิปไตย คือเป็นประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยธรรม ประชาธิปไตย ถ้าว่าประชาชนหรือคนแต่ละคนไม่มีศีลธรรมแล้วมันก็วินาศแหละ วินาศในเวลาอันสั้น ถ้าประชาชนทุกคนไม่มีศีลธรรมแล้วเอามาเป็นใหญ่สำหรับปกครองบ้านเมือง พักเดียวมันกทำวินาศหมด เราต้องมีประชาธิปไตยที่ประกอบด้วยธรรม เรียกว่าธัมมิกประชาธิปไตย นี้เกี่ยวกับการปกครอง ธัมมิกสังคมนิยม นั้นมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ถ้าธัมมิกประชาธิปไตย นี้มันเกี่ยวกับการปกครอง เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนเห็นแก่ตัว เอาคนที่เห็นแก่ตัว เต็มอัดทุกๆ คน มาเป็นระบบปกครองเป็นประชาธิปไตย มันก็ฆ่ากันตายหมดนั่นแหละ ด้วยความต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ฉะนั้นประชาธิปไตยต้องจำกัดความให้ดีๆ ว่าต้องของประชาชนที่มีศีลธรรม เลยต้องใช้คำว่า ธัมมิกประชาธิปไตย มีธรรมเป็นหลัก มีความถูกต้องเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ธรรมะ แล้วอย่าเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่า มีธรรมะเป็นหลัก มีระบบการปกครองชนิดนี้ แล้วก็จะมีการปกครองสังคม หรือโลกให้มีสันติภาพได้

             ๒.๕ ระบบศีลธรรมและศาสนา ระบบศีลธรรมและศาสนา วัฒนธรรม ศิลปะ ประเพณี อะไรเหล่านี้มันรวมอยู่ในสิ่งเหล่านั้นด้วย มันรวมอยู่คำว่าวัฒนธรรมนั่นแหละ แล้ววัฒนธรรมมันรวมอยู่ในคำว่าศีลธรรม วัฒนธรรม เครื่องทำความเจริญ มันก็ต้องถูกต้องนะ

            คำว่าวัฒธรรม วัฒนธรรมนี้เป็นคำกำกวมแล้วก็น่าอันตราย เพราะคำว่า วัฒน วัฒนะที่เป็น ภาษาบาลีที่ยืมมาใช้ คำนี้กำกวมนัก คำว่าวัฒนะนี้ไม่ได้เล็งไปถึงว่าดีหรือชั่ว มันเล็งแต่ว่า มากขึ้น เท่านั้นแหละ มากขึ้นๆ เต็มมากขึ้น เรียกว่าวัฒธรรม อย่างว่าผมรกบนหัวอย่างนี้ โดยหลักบาลี มันก็วัฒนะเหมือนกัน ผมมันวัฒนะ วัฒนาเหมือนกัน คำว่าวัฒนะในภาษาบาลีแปลว่า มันมากขึ้น เท่านั้น ดีก็ได้ ชั่วก็ได้ ฉะนั้นเราต้องมาคัดเลือกให้มันเป็นไปแต่ในทางวัฒนะที่ดี วัฒนะทีดี...

            นี่เราจะต้องมีวัฒนะธรรมชนิดทีถูกต้อง คือเป็นไปเพื่อสันติภาพ อย่าปล่อยไปตามความหมาย ของคำว่าพัฒนา พัฒนาที่รกมากขึ้นเท่านั้น มันจะต้องเป็นระบบศีลธรรมที่ถูกต้อง แล้วก็ศาสนา ที่ถูกต้อง

            ระบบศีลธรรมถูกต้องเพราะคำว่าศีลธรรมมันเป็นไปตากหลักศาสนา แต่ว่าในวงแคบในขั้นต้น ขั้นอย่างโลกๆ ถ้าศาสนามันใช้หมดกระทั่งสูงสุด จึงถือว่าศีลธรรมก็เป็นผลิตผลที่ออกมาจาก หลักเกณฑ์ของศาสนา เราจะมีศีลธรรม คือหลักทางศาสนาขั้นต่ำๆ และมีศาสนาคือหลักเกณฑ์ทั่วไป ทั้งหมดของศาสนาที่ถูกต้อง

             คำว่าถูกต้องนี้ มันถูกต้องในทฤษฎีก็มี ถูกต้องในการสำเร็จประโยชน์เป็นผลก็มี ถูกต้องในทางเหตุผล สบหลักเหตุผล สบหลักวิทยาศาสตร์ อย่างนี้ก็เรียกว่าถูกต้องเหมือนกัน แต่เรามุ่งหมาย ความถูกต้องที่มากกว่านั้น คือถูกต้องชนิดที่ทำให้เกิดสันติภาพ เพราะว่าถูกต้องตามเหตุผล ตามตรรกะ ตาม Logic อะไรนั้นมันไปทางไหนก็ได้ เราเอาให้มันถูกต้องมาในทางที่ว่า ให้เกิดผลที่ควรปรารถนา ที่เหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์ นี่เราจะต้องมีศาสนาที่ถูกต้อง

             เดี๋ยวนี้เรามีศาสนามาก มีศาสนาหลายศาสนา เราต้องทำให้เป็นที่แน่ใจว่า มันถูกต้องสำหรับที่จะให้เกิดสันติภาพแก่มนุษย์ และยิ่งกว่านั้นอีกก็คือว่ามนุษย์สามารถจะรับได้ หรือสามารถปฏิบัติหว ถ้ามันถูกต้องหรือดีแต่มนุษย์ไม่สามารถสนองรับมาปฏิบัติได้ มันก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้นคำว่า ถูกต้องนี้ ต้องถูกฝาถูกตัว ต้องสามารถรับมาปฏิบัติได้ด้วย แล้วเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ด้วยไม่ใช่วิสัย และก็ถูกตามที่ควรและถูกต้อง คือว่ามันถูกต้องเพื่อสันติภาพของทุกคน ไม่ใช่เพียงเพื่อของบางคน หรือวงการที่มันมีอำนาจ แล้วมันจะถูกต้องอย่างนี้มันถูกต้องไปไม่ได้

              ๒.๖ มีการศึกษาถูกต้อง ระบบการปกครองโลกที่มีการศึกษาถูกต้อง ก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในส่วนของบุคคล ที่ว่ามีการศึกษาถูกต้องนี้ เดี๋ยวนี้ยิ่งมาเป็นระบบการปกครองของทั้งหมดของส่วนรวมเป็นระบบใหญ่แล้ว ก็ยิ่งต้องมีการศึกษาที่ถูกต้อง ให้เป็นไปตามหลักการศึกษาทีถูกต้อง ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ คือเป็นมนุษย์กันให้ได้มิฉะนั้นมันจะไม่มีความเป็นมนุษย์ มันต้องถูกสำหรับอะไรก็ไม่รู้ มันถูกต้อง สำหรับกิเลสหรืออะไรไปเสีย อย่างที่ว่าการศึกษาสุนัขหางด้วน รู้แต่นังสือกับรู้แตอาชีพ มันไม่มี ความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง ถ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องมันพอ

             เราจะเลือกเอาฝ่ายไหนล่ะคิดดู : จะเลือกเอาคนที่มีความรู้ กับคนที่มีความถูกต้องหรือ ศีลธรรม ; ถ้ามันต้องเลือกเอาระหว่าง ๒ ฝ่าย คือว่ามีความรู้ความสามารถ กับคนที่ดีมีศีลธรรม จะเลือกเอาส่วนไหน ? หรือจะพูดง่ายๆ ว่า คนไม่รู้หนังสือแต่มันก็ดี กับคนรู้หนังสือเปรื่องปราด แต่มันเป็นอันธพาล หรือว่าไม่อันธพาลก็เถอะ เอาเป็นกลางๆ ด้วยกันนี้ คนไหนมันปลอดภัยกว่า เราเลือกฝ่ายไหนปลอดภัยกว่า ? เลือกคนมีความรู้ หรือเลือกคนมีศีลธรรม เลือกเอาคนมีความรู้ มีความฉลาดนะ ถ้ามันเกิดเป็นอันธพาลขึ้นมาแล้วก็วินาศหมด เพราะมันไม่มีอะไรรับประกัน มันเพียงแต่มีแต่ความรู้ความสามารถ แต่ถ้าคนมีศีลธรรม คือคนดี มันเป็นอันธพาลไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันปลอดภัย  ฉะนั้นเลือกเอาคนดี ก่อนที่จะเลือกเอาคนมีความรู้ จะดีกว่า แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่นิยมกันอย่างนั้นใช่ไหม ? ถ้าเขานิยมกันอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปเรียนเมืองนอกเมืองนาให้ปริญญา ยาวเป็นดอกหาง เพราะมันหาความดีความถูกต้อง ความอะไรได้ในวงจำกัดของคนไทยเรา ที่มี พุทธศาสนาเป็นหลักนี้ นี่เรียกว่า จะต้องมีการศึกษาที่ถูกต้องสมแก่ความเป็นมนุษย์

            ยึดความหมายของคำว่ามนุษย์ไว้ให้ดีๆ นะ มันผิดกันมากกับคำว่าคน คำว่า คน นี้มันมาจากคำว่า ชน ชน ( ชะ - นะ ) แปลว่าเกิดมา ส่วนคำว่ามนุษย์นี่มาจาก มน - อุษย แปลว่าใจสูง เป็นคน เป็นเพียงเกิดมาก็เป็นคน แต่ถ้าเป็นมนุษย์ มันต้องมีการกระทำจนใจสูงขึ้นด้วย เราต้องมีความเป็น มนุษย์ที่ถูกต้อง คือมีจิตใจสูง ไม่เป็นแต่เพียงคน การศึกษานี้ต้องทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ และเต็มแห่งความเป็นมนุษย์...

            การศึกษาจะต้องเพื่ิอความเป็นมนุษย์ที่เต็ม เมื่อพูดว่าเต็มแล้วไม่ต้องพูดถึงความถูกต้องดอก ถ้าไม่ถูกต้องมันเต็มไม่ได้ดอก ถ้ามันเต็มแล้ว็หมายความว่ามันต้องมีความถูกต้อง มันก็มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม...

           ๒.๗ ระบบนิเวศวิทยาที่ดี เอ้า ทีนี้ข้อสุดท้าย ข้อที่เจ็ด ระบบการปกครองของโลกที่จะต้องมี อีกสักข้อหนึ่งข้อสุดท้ายว่า จะต้องมีระบบนิเวศวิทยาที่ดี คำว่า นิเวศวิทยา ในความหมายของอาตมา ไม่ใช่หมายแต่เพียงว่า ชำระ pollution ดอก มันเด็กเกินไป มันเล็กเกินไป คำว่านิเวศวิทยาต้องหมายกว้าง จนถึงว่า วิทยาการสำหรับ การเป็นอยู่ ความหมายของคำว่านิเวศนั้น มันก็มีความถูกต้องไปหมดแหละ ไม่ใช่แต่เพียงระบบ กำจัดมลภาวะอย่างเดียว แล้วก็จะว่ามีนิเวศวิทยาถูกต้องก็หาไม่ มันก็ต้องมีระบบการเป็นอยู่ทุกแขนง ทุกทิศทาง ทุกระดับ ที่ถูกต้อง ซึ่งไม่เกิดปัญหาขึ้นมา

            ก็อยากจะยกตัวอย่าง เช่นว่า เราอยู่กันอย่างเป็นหมู่บ้าน ดีกว่าที่จะเป็นนคร อยู่กันอย่าง เมืองธรรมดาเมืองเล็กๆ ดีกว่าที่จะเป็นอยู่อย่างมหานคร กรุงเทพฯ เป็นมหานครหรือยังไม่รู้ แต่มันบ้า เกือบจะตายแล้วใช่ไหม ? มันควบคุมไม่ได้นี่ เพาะมันเหลือกำลังที่จะควบคุม ถ้าว่ามันอยู่ ในลักษณะที่ควบคุมกันได้ เช่น เป็นหมู่บ้านๆ มีมากๆ ก็ดี มันควบคุมกันได้ มันจะเกิดปัญหา อย่างที่กำลังเกิด กำลังเกิดถึงขนาดวินาศหรือฆ่ากันตาย มลภาวะก็กำจัดไม่ได้ เพราะมันเหลือกำลังนี่ ถ้าอยู่กันอย่างมหานครอยู่กันอย่างหมู่บ้านใหญ่ หรือว่าอยู่อย่างเมืองเล็กๆ อย่าอยู่กันอย่างมหานคร ซึ่งมีพลเมืองหลายสิบล้าน สิบล้านยี่สิบล้าน แล้วจะเป็นนิเวศวิทยาที่พอดี พอดีแก่การที่จะควบคุม รักษาดูแล มีความสุขสงบได้โดยง่าย นี้ก็ขอเรียกว่ามีนิเวศวิทยาที่ถูกต้อง คืออยู่ในขนาดที่พอดี ในลักษณะที่พอดี บางทีจะต้องใช้คำว่ายิ่งเล็กยิ่งดีด้วยซ้ำไป

           เมื่อเร็วนี้มีนักคิดอะไรคนหนึ่ง เขาพูดขึ้นมาว่า ยิ่งเล็กยิ่งดี ยิ่งเล็กยิ่งดี เพราะว่าควบคุมง่าย ถ้ามันใหญ่จนควบคุมไม่ไหว มันก็จะเป็นอันตราย หรือเป็นบ้าไปเลย มันอยู่ในขนาดที่ควบคุมกันได้ ดูแลกันได้ รักษากันได้นั้นแหละมันพอดี ยิ่งเล็กยิ่งควบคุมกันง่าย ยิ่งควบคุมกันได้มันยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กก็ยิ่งสวยยิ่งงาม เพราะมันควบคุมกันได้ รักษากันได้ดี ถ้าบ้านของเราใหญ่เกินไป เราก็รักษาให้สะอาดเรียบร้อยไม่ได้ ถ้าบ้านของเราพอดีหรือเล็กๆ นี่ เราทำให้สวยงามวิเศษไป ทุกระเบียดนิ้วได้

            นี่ต้องมีลักษณะที่ควบคุมกันได้หรือพอดี อย่างนี้อาตมาจะเรียกนิเวศวิทยาที่ถูกต้อง มันไม่ใช่แต่ควบคุมมลภาวะ มันต้องควบคุมไปทุกอย่างที่มันถูกต้อง สงบเรียบร้อย ราบรื่น มีความสงบสุข สันติสุข หรืออาชญากรรม อะไรต่างๆ เหล่านี้มันก็ไม่ต้องมี เราจะมีนิเวศวิทยาที่ถูกต้อง แก่เหตุผล เหมาะสมแก่สันติภาพ...

            เป็นอันว่า บุคคลแต่ละคนๆ ต้องมีความถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้ว ระบบการปกครองของบุคคลทั้งหมดนั้น ก็ต้องมีความถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้ว เมื่อมีความถูกต้องทั้งของส่วนบุคคล และของระบบที่จะใช้ปกครองบุคคลเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นความถูกต้อง มันก็หมดปัญหา ก็มีสันติภาพ "






By พุทธทาสศึกษา
         

No comments:

Post a Comment