Monday, November 12, 2012

กระบวนการสำคัญกว่าผล

กระบวนการพัฒนาการสำคัญกว่าผล

           ท่านฉงเวี่ยเคารพนับถือท่านชิงซู่มาก วันหนึ่ง ท่านฉงเวี่ยได้ลิ้นจี่มาพวงหนึ่ง ขณะเดินผ่านห้องท่านชิงซู่ ท่านฉงเวี่ยก็หยุดยืน แล้วเชิญท่านชิงซู่ให้รับประทานลิ้นจี่

           ท่านชิงซู่ชอบรับประทานลิ้นจี่ พอเห็นลิ้นจี่ก็ดีใจ อดไม่ได้ที่จะเล่าความหลังให้ฟังว่า " นับแต่อาจารย์ของข้าบรรลุธรรม ละสังขาร ข้าก็ไม่ได้กินลิ้นจี่อีกเลย ตอนนี้เห็นลิ้นจี่ ก็คิดถึงอาจารย์ "

           ท่านฉงเวี่ยถามว่า " ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านคือใคร "

           ท่านชิงซู่ตอบว่า " คือพระอาจารย์ฉือหมิง ข้าเป็นเด็กวัดปรนนิบัติรับใช้ท่านอยู่ 13 ปีเต็มๆ "

           ท่านฉงเวี่ยอุทานว่า " ทนลำบากเป็นเด็กวัดถึง 13 ปี อาจารย์ฉือหมิงคงจะเห็นท่านเป็นศิษย์ก้นกุฏิ ถ่ายทอดธรรมมะทั้งหมดให้ท่านสินะ "


           พูดจบ ท่านฉงเวี่ยก็ส่งลิ้นจี่ทั้งพวงให้ท่านซิงซู่

           ท่านชิงซู่กล่าวอย่างซาบซึ้งว่า " ข้าบุญน้อยด้อยวาสนา สติปัญญาไม่สู้ดี จดจำคำสอนของอาจารย์ได้ไม่หมด จำได้แต่สิ่งที่จดจำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ห้ามถ่ายทอดแก่คนนอก ...แต่ตอนนี้ ข้าเห็นว่าท่านมีความตั้งใจจริง และเห็นแก่ลิ้นจี่ ข้าจะถ่ายทอดธรรมะให้ท่าน "

           ท่านชิงซู่ขอให้ท่านฉงเวี่ยพูดตามตรงว่าได้ศึกษาอะไรไปแล้วบ้างหลังจากรู้ระดับของท่านฉงเวี่ยแล้ว ท่านชิงซู่จึงชี้แนะว่า

           โลกนี้เป็นสมบัติร่วมทางธรรมปล่อยวางได้แล้ว มีพระก็มีมาร มีมารก็มีพระ แต่สุดท้ายเมื่อเข้าสู่ทางธรรมปล่อยวางได้แล้ว หนทางเดียวทีเข้าได้คือเข้าสู่ทางธรรม ไม่เข้าสู่ทางมาร "


           ท่านฉงเวี่ยบรรลุธรรมในบัดดล ท่านคุกเข่ากราบขอบคุณท่านชิงซู่ด้วยความซาบซึ้ง และแสดงเจตจำนงว่าจะกราบท่านชิงซู่เป็นอาจารย์

           ท่านชิงซู่กล่าวอย่างจริงจังว่า " อันนี้ทำไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้ที่ข้าชี้แนะท่าน ให้ท่านบรรลุธรรมอย่างธรรมชาติ สบายๆ นั้น ท่านไม่ควรคิดหรือบอกใครๆ ว่าบุณคุณทั้งหมดเป็นของข้า ข้าเป็นอาจารย์ของท่าน เพราะท่านเจินจิ้งเคอะเหวินอาจารย์ดั้งเดิมของท่านได้ปลุกปั้นสร้างท่านมา แม้แต่ตอนนี้ ท่านเจิงจิ้งเคอะเหวินก็ยังคงเป็นอาจารย์ของท่าน "

แง่คิด

           กระบวนการเจริญเติบโตสำคัญกว่าผล

           มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า " เดินคนละทาง สุดท้ายเจอกันที่เป้าหมาย " คำพูดนี้อุปมาว่า ใช้วิธีการต่างกัน แต่ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกัน

           เดินคนละทาง หมายถึงกระบวนการเจริญเติบโตที่แตกต่าง ทั้งการศึกษา ประสบการณ์ วิธีการ ขั้นตอน ฯลฯ พูดง่ายๆ ก็คือประวัติความเป็นมา หรือพัฒนาการนั่นเอง

           กระบวนการเจริญเติบโตมักใช้เวลาที่ค่อนข้างยาวนานช่วงหนึ่งครั้นพัฒนาการหรือโตได้ที่ ก็จะบังเกิดผล อย่างเช่น ชีวิตหนึ่งปฏิสนธิในครรภ์มารดา ต้องใช้เวลา 9 เดือนจึงคลอดออกมาเป็นเด็กทารก มีตัวตนให้เรามองเห็น

           " ผล " เป็นสิ่งพิสูจน์ความดี - เลวขั้นสุดท้ายของกระบวนการการพัฒนาเกี่ยวพันถึงความสมหวัง ผิดหวังของคนที่ตั้งความหวังเอาไว้ เพราะฉะนั้นใครๆ ก็จับตามองเรื่องของ " ผล "

           ส่วน " กระบวนการเจริญเติบโต " หรือ " พัฒนาการ " นั้น เป็นหลักฐานหรือเรื่องจริงที่ดำเนินไปเพื่อรอคอยคำพิพากษา รอข้อสรุป รอเป็นอุทาหรณ์ เป็นพื้นฐานของประสบการณ์และข้อมูลการศึกษา

          การ " ทบทวนเรื่องเก่า รับรู้เรื่องใหม่ " ปล่อยให้ประวัติศาสตร์กระซิบบอกอนาคต " จึงเป็นเรื่องที่พึงสนใจและตระหนักถึงความสำคัญ

          ในหลายๆ เรื่อง กระบวนการเจริญเติบโตมีความสำคัญกว่าผลหลายเท่า อย่างเช่น การเรียน เราใช้เวลาสิบถึงยี่สิบกว่าปี ก้มหน้าก้มตาศึกษาเล่าเรียน ในวันสำเร็จการศึกษา เราใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีรับปริญญาบัตรมาใบหนึ่ง " กระบวนการเรียน " กับ " ใบปริญญา " ที่เป็นผลเราควรระลึกถึงเรื่องใดมากกว่ากัน






By สุภาพร  ปิยพสุนทรา ( สว่าง อย่าง เซน )

No comments:

Post a Comment