Thursday, November 08, 2012

ความรู้ บ่น


คำสนทนาของหนังสือ

          สถานที่นี้เป็นร้านขายหรังสือเก่า ผนังทั้งสามด้านของร้านเต็มไปด้วยชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่แทบจะไม่มีที่ว่างหลงเหลือให้เห็น หนังสือมากมายเบียดเบียนอยู่บนนั้นอย่างไม่เป็นระเบียบนัก

          หลังจากชายชราเจ้าของร้านหนังสือปิดไฟดวงสุดท้ายแล้วเข้านอน ก็เป็นเวลาที่เหล่าหนังสือจะพูดคุยกัน คืนนี้บรรยากาศในร้านไม่ถึงกับมืดสนิทเพราะมีแสงจากดวงจันทร์สาดส่องเข้ามา

          " สวัสดี เพื่อนใหม่สองเล่มนั้น พวกเธอคงจะเพิ่งออกจากโรงพิมพ์สินะ ? หน้าปกและสีสันถึงได้ใหม่เอี่ยม สะอาดเรี่ยมขนาดนี้ ! " เสียงนั้นดังมาจากหนังสือปกฟ้ากลางเก่ากลางใหม่เล่มหนึ่ง น้ำเสียงของเธอบ่งบอกว่าเป็นคนอารมณ์ดีและมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่เป็นนิจ

           " ไม่ พวกเรามีอายุ 20 กว่าปีแล้วล่ะ " หนังสือใหม่ที่ถูกทักตอบ เธอเป็นหนังสือปกแดง หน้าปกสวยงาม กระดาษภายในเล่มเป็นระเบียบเรียบร้อยและขาวสะอาดราวกับหนังสือใหม่ " พวกเราทั้งชุดมีอยู่ด้วยกัน 24 เล่ม เราไม่เคยแยกออกจากกันเลย เพิ่งจะมาช่วงนี้แหละ ที่เราสี่ - ห้าเล่มถูกแยกมาอยู่ที่นี่ "

           " เจ้าของคงจะรักพวกเธอมากสินะ ? " หนังสือปกฟ้าถามต่อด้วยความทึ่งที่หนังสือปกแดงสามารถรักษารูปโฉมได้ดีขนาดนี้ " แน่นอนเขารักพวกเรามาก " หนังสือปกแดงตอบอย่างมีความสุข " เจ้านายของเราป็นคนแปลกมาก เขารักหนังสือทุกชนิด เห็นหนังสือดีๆ เป็นต้องซื้อกลับบ้าน ห้องหนังสือเขาใหญ่กว่าที่นี่มาก ตู้เก็บหนังสือทำจากไม้สักอย่างดี เจ้านายเอาพวกเรามาวางโชว์ที่ประตูตู้ ซึ่งมีชื่อพวกเราติดอยู่ทุกเล่ม พวกเราใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นอย่างสุขสบายและมีเกียรติ เป็นสังคมไฮโซจริงๆ ! ไม่เหมือนชั้นหนังสือที่นี่ ทั้งเด่าทั้งสกปรก บอกตามตรงนะว่าตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเห็นชั้นหนังสือที่โกโรโกโสขนาดนี้เป็นครั้งแรก ! แต่ตอนนี้พวกเราต้องเบียดตัวอยู่ที่นี่น่าสงสารตัวเองนัก เฮ้อ ! ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะตกอับถึงเพียงนี้ ! "



           หนังสือปกฟ้าพลอยสลดหดหู่ไปด้วย เธอถอนหายใจแล้วกล่าวว่า " ชีวิตมันก็ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้แหละ เอาแน่นอนอะไรได้ ! "

           " แต่พวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างหรูหรามายี่สิบกว่าปี นับว่าเสพสุขมากพอแล้ว " หนังสือปกแดงยังสาวพริ้งจึงมีพลังชีวิตเต็มปรี่ สามารถสลัดความเศร้าโศกเสียใจออกจากจิตใจได้อย่างรวดเร็ว

           เธอเล่าถึงอดีตอันแสนสุขให้ฟังว่า " ตอนนี้ที่เจ้านายซื้อพวกเรามานั้นเขาดีใจมาก เที่ยวอวดใครๆ ว่า " ฉันได้หนังสือที่วิเศษมากมาชุดหนึ่ง ! " ทุกครั้งที่เขาซื้อหนังสือมาใหม่ เขามักจะพูดเช่นนี้ เขาเอาพวกเราไปวางโชว์ในตู้หนังสืออย่างทะนุถนอม จากนั้นก็ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวของพวกเราอีกเลย ที่ฉันบอกว่าสบายก็หมายถึงจุดนี้แหละ อย่างมาก เขาก็แค่เดินมาดูพวกเราผ่านกระจกเขาจะมองหนังสือทุกเล่มที่เขาซื้อมาอย่างภาคภูมิใจแล้วก็ยิ้ม หรือไม่ก็ผงกศรีษะคล้ายกับกำลังทักทายพวกเราเสมอ เขาไม่เคยลืมที่จะชวนแขกว่า " ไปชมห้องหนังสือฉันเถิด " แล้วแขกจะเดินก็จะเดินตามเขาเข้ามาในห้อง เดินชมพวกเราเหมือนชมเพชรนิลจินดา แขกบางคนถึงกับร้องอุทานว่า " โอ้โฮ ! มีแต่หนังสือดีๆ ทั้งนั้น " ถูกชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้ พวกเราต่างหน้าบาน พวกเรารู็สึกปลื้มปิติและเป็นเกียรติจริงๆ ชีวิตผ่านมายี่สิบกว่าปีนี้ ช่างสุขสบายและโก้หรูเหลือเกินพวกเราต่างรู้สึกว่าตัวเองโชคดีและรู้สึกว่าไม่เสียชาติเกิด ! "

           " ถ้าอย่างนั้น พวกเธอออกจากบ้านหลังนั้นมาทำไมล่ะ ? " คำถามนี้จ่ออยู่ที่ริมฝีปากของหนังสือปกฟ้ามานานแล้ว พอได้จังหวะ เธอก็รีบยิงคำถามออกไปทันที
         
           " เจ้านายของฉันล้มละลายน่ะสิ ! ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงล้มละลายพวกเรารู้แต่เพียงว่า จู่ๆ เขาก็ยากจนลง หน้าตาเขาเปลี่ยนไป หน้านิ่วคิ้วขมวด ชอบเกาหัวบ่อยๆ บางทีเอาแต่ถอนใจ ต่อมาก็มีพ่อค้ารับซื้อของเก่าสิบกว่าคนแห่เข้ามาในบ้าน และพ่อค้าคนหนึ่งก็ซื้อพวกเรามาวางไว้ที่นี่ โดยที่พวกเราไม่รู้เลยว่า เพื่อนเล่มอื่นๆ ของเราเป็นยังไงกันบ้าง บางที อีกไม่กี่วันพวกเขาอาจจะเดินทางมาที่นี่ก็ได้ ถ้าพวกเขามาที่นี่ก็ดีสินะ จะได้อยู่ด้วยกันอีก "

            " แปลกนะ พวกเธอมาที่นี่เพราะเจ้านายล้มละลาย ผิดจากฉันซึ่งมาที่นี่เพราะเจ้านายร่ำรวยเป็นเศรษฐี " เป็นเสียงที่ดังมาจากหนังสือปกม่วง ซึ่งแม้ปกจะไม่ถึงกับขาดกะรุ่งกะริ่ง แต่ก็สกปรกมอมแมมมาก แสดงว่าแต่ก่อนถูกใช้งานมาอย่างหนัก

            " ทำไมล่ะ ? " หนังสือปกฟ้าอยากรูอยากเห็นขึ้นมาทันที

            " เจ้านายร่ำรวยแล้วต้องทิ้งพวกเธอด้วยหรือ ? " หนังสือปกแดงไม่อยากเชื่อคำพูดของหนังสือปกม่วง

            " หึๆ พวกเธอไม่รู้หรือไงว่าคนรวยน่ะ เขาไม่มีเวลาอ่านหนังสือนักดอก อย่างเจ้านายฉันยังไง แต่ก่อนเขายากจนมาก เขาจึงพยายามหาหนังสือมาอ่านแก้จน ต่อมา ชีวิตของเขาก็ดีขึ้นจริงๆ  แต่พอรวยขึ้น เขากลับบอกว่าการอ่านหนังสือเป็นเรื่องเสียเวลา ถ้าจะอ่านก็อ่านผ่านๆ แค่รู้คร่าวๆ ก็พอ เพราะฉะนั้นระยะหลังๆ เขาจึงซื้อหนังสือมาพลิกอ่านผ่านๆ อ่านเพราะจุดที่คิดว่าสำคัญ จากนั้นทิ้งไป หนังสือของเขาจึงยับแค่ปกและหน้าแรกๆ เท่านั้น "

            " น่าเสียดายเนื้อหาดีๆ ในหนังสือของเรานะ ! " หนังสือปกแดงแค่นหัวเราะ

            " ไม่เพียงเท่านี้นะ ! หนังสือปกม่วงกลัวคนอื่นจะแย่งพูด จึงรีบส่งเสียงแปร๋นเรียกร้องความสนใจของเพื่อนๆ " ต่อมา เมื่อเรารวยยิ่งขึ้น เขาก็รู้สึกว่าหนังสือเป็นขยะที่รกบ้านรกช่อง เขาจึงจับพวกเราขายให้พ่อค้ารับซื้อของเก่า และฉันไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยประการฉะนี้ "

            " โอ... เขาไม่น่าทำแบบนี้เลย! " หนังสือปกฟ้าอุทานอย่างเห็นอกเห็นใจ

            หนังสือปกม่วงหัวเราะหึๆ แล้วพูดว่า " ก็ดีเหมือนกัน เขาทิ้งฉันแบบนี้บางทีฉันอาจจะได้พบเจ้านายคนใหม่ที่เห็นคุณค่าของฉันอย่างแท้จริงก็ได้การทนอยู่กับคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเรา มันเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย ! "

            " ใช่ วาสนาของหนังสืออย่างเราๆ นี่ เขาก็วัดกันตรงนี้แหละ ตรงที่โชคดีได้พบเจ้านายที่เอาเราไปอ่านจริงๆ ไม่ใช่เอาเราไปทำเป็นเครื่องประดับ หรือทิ้งๆ ขว้างๆ  " คำพูดนี้ดังมาจากหนังสือเก่าคร่ำที่ขาดวิ่นไปแล้วหลายหน้า

             หนังสือปกแดงมองไปทางหนังสือเก่าขาดเล่มนั้น แล้วพูดว่า " เกิดเป็นหนังสือ ถ้าต้องให้เจ้านายพลิกอ่านบ่อยๆ ก็แย่สิ ! ดูอย่างคุณเถิด ทรุดโทรมขนาดนี้ ดูท่าคงจะถูกคนพลิกอ่านจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะสิ ? มันต้องอย่างฉันถึงจะเรียกว่าวาสนาดี เจ้านายของฉันไม่เยแตะต้องฉันเลย สบายเหลือเกินอยู่สบายๆ แบบนี้ ชีวิตถึงจะมีความสุข จริงไหม ? "

              " แต่ฉันว่าชีวิตแบบนั้นไม่มีความหมายนะ ! " หนังสือปกม่วงแย้ง " เกิดเป็นหนังสือก็ต้องให้คนอ่าน ถ้าไม่มีคนอ่าน หนังสืออย่างเราๆ ก็ไม่ต่างกับสูญพันธุ์ไปแล้ว "

              " อ่านอย่างเดียว ก็ยังไม่มีความหมายดอกนะ ! " หนังสือเก่าท้วงติง

              " หมายความว่ายังไง ท่านผู้อวุโส ? " หนังสือปกม่วงย้อนถาม

              พวกเธอรู้ไหมว่าฉันอายุเท่าไรแล้ว ? " หนังสือเก่าถามด้วยสุ้มเสียงแบบผู้ใหญ่ถามเด็ก

              " คงจะแก่ที่สุดในร้านนี้กระมัง ! " หนังสือปกฟ้าคาดคะเน

              " เศษๆ ไม่คิด เอาแต่จำนวนเต็มก็พอ ปีนี้ฉันอายุหนึ่งพันปีแล้ว "

              " โอ้โฮ หนึงพันปีเชียวหรือท่านผู้อาวุโส " หนังสือในร้านต่างอุทานด้วยความตื่นเต้น

              " ไม่เห็นน่าแปลกตรงไหนเลยนี่ ฉันเพียงแต่เกิดก่อนพวกเธอเท่านั้นเอง ส่วนอย่างอื่น ฉันก็คล้ายๆ กับพวกเธอนี่แหละ " หนังสือเก่าพยายามจะพูดให้ทุกคนหายทึ่ง และพูดต่อไปว่า " ในหนึ่งพันปีที่ผ่านมา ฉันมีนายไปแล้วหนึ่งร้อยสิบสามคน แต่ที่พลัดหลงเข้ามาในร้านหนังสือเก่านี่เป็นครั้งแรกนี่แหละ ! " แต่ก่อน เจ้านายคนแรกจะยกฉันให้เจ้านายคนที่สอง เจ้านายคนที่สองยกให้เจ้านายคนที่สาม ยกให้กันเป็นทอดๆ ความสัมพันธ์ของเจ้านายเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ กว่าลูกศิษย์จะร่ำเรียนและเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดของฉันจนสามารถเป็นอาจารย์สอนคนอื่นได้ก็มักจะล่วงเข้าสู่วัยชราเสียแล้ว เนื่องจากมีคนอ่านฉันมากมาย พวกเขาทำฉันขาดไปสองหน้าบ้าง สี่หน้าบ้าง ฉันเลยมีสภาพทรุดโทรมสึกหรออย่างที่เห็นนี่แหละ ! "

             " คุณยาย อย่าคิดมากเลยนะ หนังสือในร้านนี้ก็มีแต่เก่าๆ ขาดๆ ทั้งนั้น " หนังสือปกฟ้าพยายามปลอบใจหนังสือเก่า

             " เก่าขาดมันเรื่องธรรมดา " คำพูดของหนังสือเก่าสร้างความประหลาดใจแก่หนังสือปกฟ้าอย่างยิ่ง " แต่ฉันเสียใจน่ะ ก็ตรงที่เจ้านายเหล่านั้นเอาแต่ร่ำเรียนเนื้อหา โดยไม่รู้จักเอาวิชาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์เลยน่ะสิ โลกของเราเปรียบเสมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ชีวิตคนเปรียบเสมือน้ำขันหนึ่ง เจ้านายหลายๆ คนของฉันจากไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ และน้ำขันนั้นของพวกเขาก็หกหายไปทางไหนหมดก็ไม่รู้ ถ้าหากไม่มัวแต่อ่านฉันแล้วก็คายออกมา บางทีพวกเขาอาจทำบางสิ่งบางอย่างให้แก่โลกได้บ้าง ที่ฉันหดหู่ก็ตรงนี้แหละ "

              " คุณยายหมายความว่าพวกเขาเป็นหนอนหนังสือใช่ใหมคะ " หนังสือปกม่วงสรุป หนังสือเล่มอื่นๆ ก็เริ่มคล้อยตามความคิดเห็นที่ว่าคนที่เอาแต่อ่านหนังสือ แต่ไม่นำไปปฏิบัตินั้น ช่างไม่มีความหมายเอาเสียเลย แสงจันทร์เหือดหายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครทราบ ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงเสียงถอนหายใจอย่างเศร้าสลดของหนังสือเก่าขาด ที่รำลึกถึงเจ้านายหลายๆ คน

แง่คิด

              หนังสือเป็นคลังแห่งความรู้ แต่หลายคนก็ไม่ชอบอ่าน นอกจากนี้ ยังมีคนอีกไม่น้อยที่ปฏิบัติต่อหนังสือด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง เช่น ซื้อหนังสือมาเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านกล่าวคือ ซื้อหนังสือมาโชว์ แต่ไม่เคยอ่าน เพื่ออวดคนอื่นว่าตนมีความรู้ นอกจากนี้ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่อ่านหนังสือมามากก็จริง แต่ไม่เคยนำวิชาความรู้ในหนังสือมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและสังคมเลย ถ้าหากหนังสือพูดได้ มันก็คงจะบ่นพึมพำดังเรืองสั้นเรื่องนี้อย่างแน่นอน

" คนที่เอาแต่อ่านหนังสือ
แต่ไม่นำไปปฏิบัตินั้น
ช่างไม่มีความหมายเาเสียเลย "






By รัถยา  สารธรรม ( มังกรสอนศิษย์ )

No comments:

Post a Comment