Wednesday, January 09, 2013

ระดับต่างๆ ของสมาธิ

ระดับต่างๆ ของสมาธิ

           แม้ว่าสมาธิจิตมีอยู่ ๓ ระดับ แต่ตามหลักกรปฏิบัติในทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานจิตที่เป็นสมาธิในบางระดับเท่านั้นที่นำมาใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนา สมาธิจิต ๓ ระดับ ดังกล่าวนี้ประกอบด้วย

            ๑. ขณิกสมาธิ หมายถึงสมาธิที่เกิดขึ้นชั่วระยะ ซึ่งเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานในสัตว์ทุกประเภทที่นำมาใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน

             ๒. อุปจารสมาธิ หมายถึงสภาพของจิตที่เข้าสู่สมาธิแบบเฉียดๆ หรือจวนจะแน่วแน่ใกล้จะเข้าสู่ปฐมฌาน เป็นภาวจิตที่ประณีตขึ้นมาจากขณิกสมาธิ แม้ว่าภาวจิตถูกควบคุมจะอยู่ในอารมณ์หนึ่ง ( เอกัคตา ) แต่ยังไม่ลึกและแน่วแน่ มีความฟุ้งซ่านซัดส่ายไปมาและยังมีการรับรู้อยู่บางระดับหนึ่ง มีความประณีตกว่าขณิกสมาธิและสมาธิระดับต้นๆ ที่นำมาใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาที่เรียกว่า วิปัสสนาสมาธิ

             ๓. อัปปนาสมาธิ หมายถึงสมาธิที่แนบสนิทอยู่ในฌานหรือสมาบัติ ๘ ฌานเหล่านี้จัดเป็นระดับของสภาวจิตที่อยู่เหนือการรับรู้จากประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ในขณะนั้น จิตจะอยู่เหนือการรับรู้ทางจักขุวิญญาณโสตวิญญาณ และความรู้สึกจากทางผัสสะ เป็นสมาธิจิตที่อยู่เหนือการควบคุมของเจตสิกที่เป็นเวทนา คืออารมณ์ความรู้สึกพึงสังเกตุว่า ในการปฏิบัติวิปัสสนาแบบแรกนั้น จิตจะอยู่ในสมาธิระดับต้นๆ ระหว่างขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิยังไม่เข้าถึงอัปปนาสมาธิ ส่วนอัปปนาสมาธินั้น เป็นสมาธิในการบำเพ็ญฌานสมาบัติตามแบบโยคะ ที่พุทธศาสนาสามารถนำมาเป็นฐานต่อไปยังการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาเป็นขั้นที่ ๙ ที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ



             นี่คือความแตกต่างระหว่างเป้าหมายการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวพุทธกับบำเพ็ญสมาธิตามแบบโยคะ โดยฝ่ายแรกเน้นการทำสมาธิเพื่อพัฒนาปัญญาบนฐานแห่งความเป็นจริงในสัจธรรม ตั้งจิตมั่นในสมาธิ ๓ กล่าวคือ พิจารณาไตรลักษณ์เพื่อความหลุดพ้นด้วยการกำหนด อนัตตลักษณะ อนิจจลักษณะ และ ทุกขลักษณะ ขณะที่ฝ่ายหลังเป็นการปฏิบัติเพื่อมุ่งไปไกลสู่ฌานวิเศษเพื่อบรรลุโมกษะตามความเชื่อของปรัชญาอุปนิษัท

             สมาธิระดับที่สาม หรืออัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิที่จิตถูกควบคุมให้อยู่ในอารมณ์เป็นหนึ่ง ( เอกัคคตา ) เป็นสมาธิจิตที่มีความประณีตลุ่มลึกเหนือสิ่งรบกวนจากภายนอกโดยสมบูรณ์ เป็นภวจิตที่กลายมาเป็นนายตนเองมีศักยภาพที่อาจทำให้ผู้ปฏิบัติหลงยึดติดในอัตตาปฏิเสธการรับรู้ในกฏธรรมชาติเช่นในกฏไตรลักษณ์ได้

             อัปปนาสมาธิ เป็นผลสำเร็จจากการเจริญสมาธิภาวนาที่เรียกว่า ฌานสมาบัติ ซึ่งมีอยู่ ๒ ระดับคือ

             ๑. รูปฌาน ๔ ระดับแรกเป็นสมาธิจิตที่เกิดขึ้นโดยวิธีต่างๆ ด้วยการเพ่งวัตถุภายนอก ( กสิณ ) เช่น ดิน ไฟ น้ำ หรือเพ่งสมาธิไปที่สีต่างๆ ผลจากการเพ่ง ก่อให้ได้ฌานเป็น ๔ ระดับ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ติยฌาน และ จตุตถฌาน ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นเกี่ยวกับบทที่ว่าด้วยสัมมาสมาธิ

              ๒. อรูปฌาน มี ๔ ระดับ เป็นการเจริญสมาธิภาวนาต่อจากเจริญภาวนาในระดับรูปฌาน โดยเปลี่ยนจากการเพ่งกสิณทางรูปธรรมไปเป็นการเพ่งในสิ่งที่เป็นนามธรรม เช่นการเพ่งกำหนดในความว่างหาที่สุดมิได้จนบรรลุฌานที่เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ เพ่งในวิญญาณอัหาที่สุดมิได้เป็นอารมณ์เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะกำหนดเพ่งในภาวะที่ไม่มีอะไรๆ เป็นอารมณ์จนได้ฌานที่เรียกว่าอากิญจัญญายตนะ และฌานอันเข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่และไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ อันเป็น 
อัปปนาสมาธิขั้นที่ ๘ ที่ถือว่าเป็นฌานสูงสุดในระดับโลกียะ

              แม้ว่า การปฏิบัติสมาธิภาวนาจนบรรลุรูปฌานชันสูงสุดจะสมารถเพิ่มพลังจิตได้หลายอย่าง แต่ก็อาจทำให้จิตประสาทเกิดความแปรปรวน จนสำคัญตนผิดคิดว่าบรรลุฌานวิเศษอันมิใช่วัตถุประสงค์แะเป้าหมายในทางพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ภิกษุผู้บรรลุธรรมเข้าสู่กระแสนิพพานและหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้

             ตามหลักทางพุทธศาสนา การบรรลุฌานทั้งในระดับรูปฌานและอรูปฌานยังถือว่าเป็นสมาธิจิตในระดับโลกียะ ความเพียรพยายามในการบำเพ็ญสมาธิจะด้วยวิธีการใดๆ แม้จะบรรลุขั้นสูงสุดแห่งอรูปฌานถึงระดับเนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วก็ตาม ก็ยังจัดเป็นเพียงการบรรลุขั้น " สมถะ " เท่านั้น ผู้ที่สำเร็จมรรคผลได้จะต้องปฏิบัติทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา จึงจะสามารถเข้าถึงภาวะอันประณีต สูงสุดขั้นที่ ๙ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือ นิโรธสมาบัติ ภาวะที่สัญญาและเวทนาดับ อันเป็นระดับของจิตขั้นสูงสุดในทางพุทธศาสนา





By แก่นพุทธธรรม

4 comments:

  1. พระพุทธเจ้าตรัสใว้ สมาธิมี 9 ระดับ ในพระไตรปิฎก
    1.ปฐมฌาณ
    2.ทุติยฌาณ
    3.ตติยฌาณ
    4.จตุถฌาณ
    5.อากานัญจายตนะ
    6.วิญญาณัญจายตนะ
    7.อากิญจัญญายตนะ
    8.เนวสัญญานาสัญญายตนะ
    9.สัญญาเวทยิตนิโรธ

    ReplyDelete
  2. สมาธิ 9 ระดับ

    [๓๕๕] อนุปุพพวิหาร ๙ อย่าง
    ๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
    บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฯ
    ๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่ง
    จิตใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้นเพราะวิตกวิจารสงบระงับไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและ
    สุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฯ
    ๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีอุเบกขามีสติ มีสัมปชัญญะ
    เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้
    ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขามีสติอยู่เป็นสุขดังนี้ ฯ
    ๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
    เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ฯ
    ๕. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดย
    ประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไปเพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตตสัญญาเข้าถึงอากาสานัญจายตนะ
    ด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ ฯ
    ๖. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะ
    โดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้
    ดังนี้อยู่ ฯ
    ๗. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเสียซึ่งวิญญาณัญจายตนะ
    โดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงอากิญจัญญายตนะด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร ดังนี้อยู่ ฯ
    ๘. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงซึ่งอากิญจัญญายตนะโดย
    ประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่ ฯ
    ๙. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานา
    สัญญายตนะโดยประการทั้งปวง แล้วเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ฯ

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๑
    พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

    .....................................................
    ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ...จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติ
    ไว้แล้ว...จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด

    ReplyDelete
  3. ระดับของสมาธิ - หลวงพ่อชา สุภทฺโท
    ในวงกรรมฐาน ท่านมักกล่าวว่าความสงบมี ๓ ระดับ
    ขณิกสมาธิ คือสมาธิชั่วขณะ เป็นความสงบขั้นต้นในการภาวนา
    พอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี
    ทำให้จิตใจสงบสบายเพราะได้พักชั่วคราว

    อุปจารสมาธิ คือ สมาธิเฉียดฌาน จวนจะแน่วแน่
    ระงับนิวรณ์ทั้งห้าได้แล้ว แต่จะเหมือนไก่ในเล้า ไม่นิ่งเลยทีเดียว

    อัปปนาสมาธิ คือขั้นที่จิตตั้งมั่นอย่างสนิทแน่วแน่ถึงฌาณจิต
    พ้นจาก รูป รส กลิ่นเสียง อารมณ์ สามารถข่มนิวรณ์ได้

    ฌาน แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐาน จนถึงภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลักจนใจแน่วแน่ (ต้องเข้าถึงระดับอัปปนาสมาธิถึงจะได้ฌาณ)

    ฌาน แบ่งเป็น 2 หมวดใหญ่คือ
    1. รูปฌาณ หมายถึงฌานที่ใช้รูปอันหมายถึงสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้งหลายเป็นอารมณ์หรือเป็นองค์วิตก เช่น คำบริกรรมต่างๆ ลมหายใจ แสง สี วัตถุ เช่น กระดูก ขน ผม ฯลฯ ใช้เป็นเครื่องกำหนดหรือเครื่องตรึงจิต หรือกสิณนั่นเอง แบ่งย่อยออกเป็นอีก ๔ ระดับ เรียกกันว่า ฌาน ๔ ได้แก่
    1.1ปฐมฌาน คือ ฌาณ 1
    1.2 ทุติยฌาน คือ ฌาณ 2
    1.3 ตติยฌาน คือ ฌาณ 3
    1.4 จตุตถฌานคือ ฌาณ4
    2. อรูปฌาณ หมายถึงฌานที่ใช้สิ่งที่เป็นอรูปธรรมหรือสิ่งที่ไม่มีตัวไม่มีตนคืออรูป เป็นเครื่องกำหนดหรือเครื่องอยู่ คือเป็นอารมณ์ แบ่งออกเป็นอีก ๔ ระดับ เรียกกันว่าฌาณ8 ได้แก่
    2.1 กำหนด อากาศหรือช่องว่าง (อากาสานัญจายตนะ)
    2.2 กำหนด วิญญาณ (วิญญานัญจายตนะ)
    2.3 กำหนด ความว่างหรือความไม่มีสิ่งใด (อากิญจัญญายตนะ หรือสุญญตาก็เรียกกัน)
    2.4 กำหนด ภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ คือ เลิกกำหนดสัญญาในสิ่งใดๆ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ)

    + ฌาณพิเศษอีก1 (ฌาณ9) คือ นิโรธฌาณหรือนิโรธสมาบัติ (สัญญาเวทยิตนิโรธ) คือ การดับสัญญาและเวทนา ผู้ที่จะเข้าสมาบัติขั้นนี้จะต้องเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ผู้ได้สมาบัติ 8

    **หลวงพ่อชากล่าวถึงเรื่องสมาธิจากประสบการณ์ของท่าน**
    “สมาธิทุกขั้นมีความสำคัญ มีหน้าที่อยู่ในตัวของมัน
    จะทิ้งอันใดอันหนึ่งไม่ได้”
    ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของหลวงพ่อ
    ระหว่างการสนทนากับอุบาสกคนหนึ่ง

    อุบาสก : ถ้าทำสมาธินี้เอาแต่ ขณิกสมาธิ ก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปยิ่งกว่านี้ใช่ไหมครับ
    หลวงพ่อ : ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ นี้จิตของเรามันคิดไปคิดมาอยู่ แต่คิดอยู่ในความสงบ
    แต่เมื่อเข้าไปถึงอัปปนาสมาธิ น่ะ
    มันทิ้ง ขณิกสมาธิ, อุปจารสมาธิ ทิ้งไปหมด
    เข้าไปอยู่โน่น ตรงนี้มันพ้นจากสิ่งทั้งหลาย
    แต่ว่ามันก็เป็นผลของ ขณิกสมาธิ ด้วยนะ
    และก็เป็นผลของอุปจารสมาธิด้วย
    มันต้องผ่านนี่ ถ้าไม่ผ่านไม่ได้ถึงโน่น
    ******************
    ที่มา:
    http://kumnai.blogspot.com/2013/12/blog-post_6.html
    โพสต์เมื่อ 6th December 2013 โดย Jirasak Panonu-domsuk
    http://www.dhammahome.com/webboard/topic/24397
    อ.padermวันที่ 31 ม.ค. 2557
    http://www.larnbuddhism.com/grammathan/meditation.html

    ReplyDelete
  4. ระดับของสมาธิ - หลวงพ่อชา สุภทฺโท
    ในวงกรรมฐาน ท่านมักกล่าวว่าความสงบมี ๓ ระดับ
    ขณิกสมาธิ คือสมาธิชั่วขณะ เป็นความสงบขั้นต้นในการภาวนา
    พอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี
    ทำให้จิตใจสงบสบายเพราะได้พักชั่วคราว

    อุปจารสมาธิ คือ สมาธิเฉียดฌาน จวนจะแน่วแน่
    ระงับนิวรณ์ทั้งห้าได้แล้ว แต่จะเหมือนไก่ในเล้า ไม่นิ่งเลยทีเดียว

    อัปปนาสมาธิ คือขั้นที่จิตตั้งมั่นอย่างสนิทแน่วแน่ถึงฌาณจิต
    พ้นจาก รูป รส กลิ่นเสียง อารมณ์ สามารถข่มนิวรณ์ได้

    ฌาน แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐาน จนถึงภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลักจนใจแน่วแน่ (ต้องเข้าถึงระดับอัปปนาสมาธิถึงจะได้ฌาณ)

    ฌาน แบ่งเป็น 2 หมวดใหญ่คือ
    1. รูปฌาณ หมายถึงฌานที่ใช้รูปอันหมายถึงสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้งหลายเป็นอารมณ์หรือเป็นองค์วิตก เช่น คำบริกรรมต่างๆ ลมหายใจ แสง สี วัตถุ เช่น กระดูก ขน ผม ฯลฯ ใช้เป็นเครื่องกำหนดหรือเครื่องตรึงจิต หรือกสิณนั่นเอง แบ่งย่อยออกเป็นอีก ๔ ระดับ เรียกกันว่า ฌาน ๔ ได้แก่
    1.1ปฐมฌาน คือ ฌาณ 1
    1.2 ทุติยฌาน คือ ฌาณ 2
    1.3 ตติยฌาน คือ ฌาณ 3
    1.4 จตุตถฌานคือ ฌาณ4
    2. อรูปฌาณ หมายถึงฌานที่ใช้สิ่งที่เป็นอรูปธรรมหรือสิ่งที่ไม่มีตัวไม่มีตนคืออรูป เป็นเครื่องกำหนดหรือเครื่องอยู่ คือเป็นอารมณ์ แบ่งออกเป็นอีก ๔ ระดับ เรียกกันว่าฌาณ8 ได้แก่
    2.1 กำหนด อากาศหรือช่องว่าง (อากาสานัญจายตนะ)
    2.2 กำหนด วิญญาณ (วิญญานัญจายตนะ)
    2.3 กำหนด ความว่างหรือความไม่มีสิ่งใด (อากิญจัญญายตนะ หรือสุญญตาก็เรียกกัน)
    2.4 กำหนด ภาวะที่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ คือ เลิกกำหนดสัญญาในสิ่งใดๆ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ)

    + ฌาณพิเศษอีก1 (ฌาณ9) คือ นิโรธฌาณหรือนิโรธสมาบัติ (สัญญาเวทยิตนิโรธ) คือ การดับสัญญาและเวทนา ผู้ที่จะเข้าสมาบัติขั้นนี้จะต้องเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ผู้ได้สมาบัติ 8

    **หลวงพ่อชากล่าวถึงเรื่องสมาธิจากประสบการณ์ของท่าน**
    “สมาธิทุกขั้นมีความสำคัญ มีหน้าที่อยู่ในตัวของมัน
    จะทิ้งอันใดอันหนึ่งไม่ได้”
    ดังจะเห็นได้จากคำอธิบายของหลวงพ่อ
    ระหว่างการสนทนากับอุบาสกคนหนึ่ง

    อุบาสก : ถ้าทำสมาธินี้เอาแต่ ขณิกสมาธิ ก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปยิ่งกว่านี้ใช่ไหมครับ
    หลวงพ่อ : ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ นี้จิตของเรามันคิดไปคิดมาอยู่ แต่คิดอยู่ในความสงบ
    แต่เมื่อเข้าไปถึงอัปปนาสมาธิ น่ะ
    มันทิ้ง ขณิกสมาธิ, อุปจารสมาธิ ทิ้งไปหมด
    เข้าไปอยู่โน่น ตรงนี้มันพ้นจากสิ่งทั้งหลาย
    แต่ว่ามันก็เป็นผลของ ขณิกสมาธิ ด้วยนะ
    และก็เป็นผลของอุปจารสมาธิด้วย
    มันต้องผ่านนี่ ถ้าไม่ผ่านไม่ได้ถึงโน่น
    ******************
    ที่มา:
    http://kumnai.blogspot.com/2013/12/blog-post_6.html
    โพสต์เมื่อ 6th December 2013 โดย Jirasak Panonu-domsuk
    http://www.dhammahome.com/webboard/topic/24397
    อ.padermวันที่ 31 ม.ค. 2557
    http://www.larnbuddhism.com/grammathan/meditation.html

    ReplyDelete