Wednesday, October 10, 2012

ปรัชญา ศาสนา และ วิทยาศาสตร์




ปรัชญา ศาสนา และ วิทยาศาสตร์

         ปรัชญา หมายถึง กลุ่มทฤษฎีความเชื่อเกี่ยวกับวิชาการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ว่าด้วยเรื่องความมีอย่จริงของธรรมชาติที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของมนุษย์

         วิทยาศาสตร์ หมายถึง กระบวนความรู้ที่ได้จากการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและปรากฏการทางธรรมชาติ

         ศาสนา หมายถึง ความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งหรือหลายองค์ รวมทั้งกิจกรรมหรือแนวทางในการปฏิบัติที่ปฏิสัมพัทธ์กับความเชื่อความศรัทธาที่มีต่อพระองค์

         ทั้ง ปรัชญา ศาสนา และ วิทยาศาตร์ ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยองค์ความรู้ที่สัมพันธ์กัน ดังที่ นักบุญ โธมัส อไควนัส เคยกล่าวว่า " ปรัชญาคือสาวใช้ของศาสนา " หรือในเวลาต่อมาที่วิทยาศาสตร์เริ่มค้นพบความจริงใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับแนวความคิดเดิมทางด้านปรัชญาเราจะพบกับคำพังเพยว่า " ปรัชญาคือมารดาของวิทยาศาสตร์ ส่วนไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกให้ความเห็นเกี่ยวกับศาสนากับวิทยาศาสตร์ไว้ว่า " วิทยาศาสตร์ที่ปราศจากศาสนาเปรียบเสมือนคนง่อย ศาสนาที่ปราศจากวิทยาศาสตร์เปรียบเสมือนคนตาบอด "


         ต่อไปนี้องค์ความรู้ทาง ปรัชญา ศาสนา และ วิทยาศาตร์ ที่ผู้คนสนใจสามารถหาคำตอบได้จากหนังสือที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่ง คือ " ประวัติย่อแห่งกาลเวลา " โดย สตีเฟน ฮอว์กิง ศาสตรจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ที่ได้รับการยกย่องให้ดำรงตำแหน่งที่ นิวตัน และ ดิรัค นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ เคยได้รับ

        ศาตราจารย์ คาร์ล ซาเกน แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ กล่าวยกย่องฮอว์กิงไว้ในคำนำของหนังสือว่า เขาเป็นผู้มีแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ปราดเปรื่องที่สุดคนหนึ่งต่อจากไอน์สไตน์ ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับความเชื่อว่ามีพระเจ้า... หรือบางทีอาจหมายถึงความไม่มีพระเจ้า ฮอว์กิง คือผู้ที่แสวงหาคำตอบที่ครั้งหนึ่ง ไอน์สไตน์เคยตั้งำถามไว้ว่า พระเจ้าทรงมีทางเลือกในการสร้างจักรวาลจริงหรือ ? ในเนื้อหาของหนังสือ ศาสตรจารย์ ฮอว์กิงได้พยายามเปิดเผยความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าด้วยการให้ข้อสรุปอย่างน้อยที่สุดว่า ที่จริงแล้ว จักรวาลเป็นสิ่งที่ปราศจากขอบเขต ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุดแห่งกาลเวลา กับทั้งไม่เกี่ยวกับ " พระผู้สร้าง " แต่อย่างใด

ที่มาของศาสนา

         ศาสนาส่วนใหญ่เกิดจากแนวคิดความเชื่อทางเทววิทยาดั้งเดิมที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งอวิชชา ภยาคติ และความมหัศจรรย์ต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ดูประหนึ่งว่า มีภูติผีปีศาจหรือวิญญาณที่มีอารมณ์คล้ายๆ กับมนุษย์อย่างใดอย่างหนึ่งคอยควบคุมหรือบันดาลให้เป็นไปโดยไม่สามารถคาดเดาได้ เชื่อว่าวิญญาณเหล่านี้สิงสถิตอยู่ทั่วไปในสิ่งที่ประกอบเป็นธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำธาร ภูเขา รวมทั้ง ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้า ด้วยเหตุผลข้อนี้ ทำให้มนุษย์ยอมกราบไหว้บูชาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นดลบันดาลให้ดินฟ้าอุดมสมบูรณ์ถูกต้องตามฤดูกาล ตลอดจนเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ชาติ ครั้นนานวันต่อมามนุษย์เริ่มตระหนักตามความเป็นจริงที่สังเกตุเห็นว่า สิ่งธรรมชาติทั้งหลายย่อมตกอยู่ภายใต้กฏกติกาที่ค่อนข้างแน่นอนตายตัว พระอาทิตย์ย่อมจะขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกอยู่เป็นประจำ ไม่ว่ามนุษย์จะเซ่นไหว้บวงสรวงสุริยเทพหรือไม่ก็ตามดวงเดือน ดวงตะวันและดวงดาวก็ยังเคลื่อนที่ไปในท้องฟ้าตามทิศทางที่มนุาษย์สามารถพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ ไม่ว่าพระอาทิตย์หรือพระจันทร์จะทรงเป็นเทพอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นเทพที่ต้องเชื่อและปฏิบัติตามกฏธรรมชาตินี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น

ปรัชญา กับ ศาสนา

          เช่นเดียวกัน เมื่อก่อนคริสตกาล มนุษย์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าเอกภพที่เราอาศัยอยู่นี้มีรูปร่างแบน ตั้งอยู่บนหลังเต่าตัวมหึมา ต่อมาในสมัยอริสโตเติล ( 340 ปีก่อนคริสตกาล ) นักปรัชญากรีกที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งแย้งว่า จริงๆ แล้ว โลกที่เราอาศัยอยู่ไม่แบนดังที่เราเคยเชื่อมาก่อน แต่มีลักษณะกลม และมีเส้นรอบวง 400,000 สตาดา หรือปะมาณ 80,000,000 หลา ( ซึ่งเกินความเป็นจริงอยู่ประมาณ 2 เท่า ) อริสโตเติลเชื่อด้วยเหตุผลที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวเคราะห์ ตลอดจนดวงดาวในจักรวาลหมุนอยู่รอบๆ เป็นวงกลม แนวความคิดนี้แพร่หลายในเวลาต่อมาจนกระทั่ง พโตเลมี สร้างรูปแบบโครงสร้างของจักรวาลตามแนวคิดของอริสโตเติลขึ้นมาว่า โลกคือศูนย์กลางแห่งจักรวาลประกอบด้วยดวงดาวต่างๆ หมุนวนรอบๆ 8 ชั้น คือ พระจันทร์ ดาวพุธ ดาวศุกร์ พระอาทิตย์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ และ ยังมีหมู่ดาวที่ลอยนิ่งๆ ในชั้นสูงสุด โครงสร้างเอกภพที่อธิบายไว้โดยพโตเลมี ว่าโลกคือศูนย์กลางแห่งจักรวาลได้รับการยอมรับจากทางคริสจักรดังมีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ เพื่อประโยชน์ในการสร้างความเชื่อว่า นอกสุดเลยออกไปจากชั้นของดวงดาวที่ลอยอยู่นิ่งเป็นเขตแดนของสวรรค์และนรก

          ต่อมาในปี 1514  โคเปอร์นิคัส บาทหลวงแห่งศาสนาคริสต์ชาวโปแลนด์แอบสังเกตุพบว่า รูปแบบของจักรวาลตามแนวความเชื่อของพโตเลมี ดังที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์นั้นไม่น่าจะเป็นความจริง พระอาทิตย์ต่างหากเป็นจุดศูนย์กลาง โดยมีโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นหมุนรอบเป็นวงกลม ความเชื่อเช่นนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับจนต่อมาเกือบอีกร้อยปี ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัส จึงได้รับการยืนยันและนำมาเปิดเผยโดย เคปแลร์ชาวเยอรมัน และ กาลิเลโอ ชาวอิตาเลียน ในปี 1690 ว่าพระอาทิตย์ คือศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นหมุนอยู่รอบเป็นวงรี ซึ่งขดกับทฤษฎีความเชื่อดิมของอริสโตเติลและพโตเลมี

          จากการเปิดเผยในครั้งนั้น ทำให้กาลิเลโอถูกทางคริสตจักรในกรุงโรมเรียกมาใต่สวนความผิด กาลิเลโอถูกบังคับให้ถอนทฤษฎีความเชื่อในระหว่างการสอบสวน กาลิเลโอยังยืนยันอยู่เช่นเดิมว่า พระอาทิตย์ต่างหากเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล ความเชื่อเช่นนี้มิได้เป็นการขัดกับศาสนา พระคัมภีร์คงมิได้ตั้งใจที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับทฤษฎีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ดังนั้น หากข้อความใดที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ที่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกก็น่าเป็นเพียงการตีความแบบอุปมาอุปไมยเท่านั้น ต่อมากาลิเลโอถูกศาลทางศาสนาสั่งให้นำไปจองจำจนสิ้นชีวิตในปี 1642 อย่างไรก็ตามในที่สุด กาลิเลโอก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของวิทยาศาตร์ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าความรู้ของเขาจะนำไปสู่ความขัดแย้งกับทางศาสนาแต่ก็เป็นไปเพื่อการยืนยันในความเชื่อที่เขาได้รับมาจากการสังเกตและการทดลองนับว่ากาลิเลโอคือนักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์คนแรกที่กล้าคัดค้านศาสนา โดยการแสดงความเห็นว่า มนุษย์มีสิทธิที่จะแสวงหาและทำความรู้ให้กระจ่างได้ในโลกแห่งความเป็นจริง

ปรัชญา กับ วิทยาศาสตร์

           ก่อนยุคกาลิเลโอ มาจนถึงสมัยของ เซอร์ ไอแซค นิวตัน คนทั่วไปเชื่อตามทฤษฎีของอริสโตเติลที่กล่าวว่า ธรรมชาติของวัตถุจะตั้งอยู่นิ่งๆ ต่อเมือมีแรงมากระทำจึงจะมีการเคลื่อนที่ วัตถุที่หนักจะเคลื่อนที่เร็วกว่าวัตถุที่เบาเพราะว่ามีแรงดึงดูดจากโลก นอกจากนี้อริสโตเติลยังเชื่อว่า มุนษย์สามารถค้นพบธรรมชาติได้ด้วยการใช้ปัญญาโดยไม่มีความจำเป็นที่จะแสวงหาความรู้จากการเฝ้าสังเกตแต่อย่างใด นี่คือความเชื่อในแนวปรัชญาของอริสโตเติล

           ต่อมากาลิเลโอได้พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า แนวความคิดของอริสโตเติลไม่ถูกต้อง โดยเขานำวัตถุที่มีน้ำหนักแตกต่างกันมาทดลองโยนลงจากหอเอนเมืองปิซา พบว่า วัตถุที่มีน้ำหนักแตกต่างกันตกลงสู่พื้นดินพร้อมๆ กัน และเมื่อนำวัตถุเหล่านั้นมาทดลองปล่อยให้กลิ้งลงมาจากทางลาดชัน ก็จะพบว่า แรงส่งที่เกิดจากน้ำหนักของวัตถุที่แล่นไหลลงมาจะมีอัตราเร่งที่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการแสดงว่าแรงส่งที่เกิดจากน้ำหนักจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแแปลงของความเร็วของเทหวัตถุ นี่คือความแตกต่างกันในการแสวงหาความรู้ระหว่างนักปรัชญากับนักวิทยาศาสตร์

            นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ บิดากฏแห่งแรงโน้มถ่วง แต่เป็นผู้ที่มีศรัทธาในพระเจ้าเป็นอย่างยิ่งเชื่อว่า มีกาลอวกาศอันสมบูรณ์ ซึ่งค้านกับทฤษฎีของตนเองที่พบว่า ภาวะแห่งความหยุดนิ่งอันสมบูรณ์ไม่มีกล่าวดือไม่มีปรากฏการณ์สองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาได้ในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น หากมีใครเดาะลูกปิงปองอยู่บนรถไฟที่กำลังแล่นอยู่บนรางให้ตกลงบนพื้นเดิมได้ทั้งสองครั้งในเวลาห่างกัน 1 วินาที หากสังเกตุจากคนที่ไม่ได้อยู่บนรถจะพบว่าลูกปิงปองจะตกในที่ที่ห่างออกไปจากตำแหน่งเดิม 10 เมตร ในกรณีที่นถไฟแล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็ว 36 ก.ม. ต่อชั่วโมง นั่นแสดงว่าไม่มีภาวะแห่งการอยู่นิ่งอันสมบูรณ์จึงไม่มีผู้ใดที่สามารถสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองครั้งได้ในตำแหน่งเดียวกันตามความเชื่อของอริสโตเติล ตำแหน่งของเหตุการณ์และระยะทางระหว่างสองเหตุการณ์นั้น ย่อมมีความแตกต่างกันระหว่างคนที่นั่งอยู่ในรถไฟกับคนที่สังเกตอยู่ที่รางนอกตัวรถ และย่อมไม่มีเหตุผลใดที่ทั้งสองคนที่อยู่ในตำแหน่งต่างกันจะมองเห็นเหตุการณ์ได้เหมือนกัน ความจริงข้อนี้ทำให้นิวตันกังวลมากเรื่องทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขากลับไปคัดค้านกับความจริงแท้ของกาลอวกาศ อันเป็นความเชื่อในความมีอยู่ของพระเจ้าในศาสนาเทวนิยม

            เช่นเดียวกับนิวตัน บิชอปแห่งเบิร์กลีย์ ถึงกับออกอาการหงุดหงิดกล่าวตำหนินักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นว่าเป็นผู้ตกอยู่ในความหลงผิดกับความเชื่อเรื่องเทหวัตถุกับกาลอวกาศ จนกระทั่งต่อมาถึงยุคของไอน์สไตน์ ที่พิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้โดยกฏสัมพัทรภาพในปี 1905 ข้อถกเถียงทางศาสนาที่พยายามยืนยันกาล - อวกาศอันสมบูรณ์จึงเป็นอันยุติ

ศาสนา กับ วิทยาศาสตร์

           มีการถกเถียงเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาลมานานโดยส่วนใหญ่ของนักจักรวาลวิทยา รวมทั้งนักเทววิทยาของชาวยิวชาวคริสต์และอิสลาม พากันเชื่อว่า จักรวาลถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าในยุคที่ผ่านมาไม่นานเมื่อประมาณ 5,000 ปี ดังปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ เจเนซิส และในหนังสือ " เมืองแห่งพระเจ้า " ของนักบุณออกัสติน เมื่อท่านถูกซักถามว่า แล้วก่อนหน้าที่พระองค์จะทรงสร้างจักรวาล ท่านทรงทำอะไรอยู่ นักบุญออกัสตินนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง ในใจคงอยากตอบว่า ก็ทรงสร้างนรกไว้รอคนถามละซี ท่านจึงเพียงแต่เลี่ยงตอบว่ากาลเวลาคือคุณสมบัติของจักรวาลที่พระองค์ทรงสร้าง ดังนั้นกาลเวลาจึงมิได้มีก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาตามแนวความคิดของอริสโตเติลและนักปรัชญากรีกในยุคเดียวกันที่ศาสนาเทวนิยมนำมาเป็นต้นแบบของความเชื่อ ก็มิได้ยืนยันหรือให้ความสำคัญเกี่ยวกับพระเจ้าในการให้กำเนิดจักรวาลแต่อย่างใด

            ต่อมาเมื่อ เอ็ดวิน ฮับเบิล เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ของดวงดาวในท้องฟ้าด้วยกล้องโทรทรรศน์ชนาดใหญ่ในปี ค.ศ. 1929 พบว่าหัวข้อในการถกเถียงว่าใครเป็นผู้สร้างจักรวาล จักรวาลเกิดขึ้นจากฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงเป็น " ปฐมการณ์ " หรือไม่นั้น แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่สามารถนำมาทำความเข้าใจได้โดยอาศัยองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ จากการเฝ้าสังเกตของฮับเบิล เขายืนยันว่า จักรภพเริ่มต้นขึ้นในเวลาภายหลังจากการระเบิดครั้งใหญ่อันเนื่องมาจากการหดตัวอย่างรุนแรงจนเหลือมวลที่เล็กและมีความหนาแน่นมากจนไม่สามารถบรรยายได้ ในช่วงเวลนั้น กฏเกณฑ์ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่จะนำมาพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตดับลงจากการระเบิดที่เรียกว่า " บิ้กแบง " อาจจะมีผู้อธิบายว่า กาลเวลาได้เริ่มต้นขึ้นทันทีภายหลังการระเบิดครั้งนั้น ส่วนเวลาในอดีตก่อนหน้านั้นไม่สามารถนำมานิยามได้ ฮอว์กิ้งย้ำว่า เวลาที่กล่าวถึงนี้มิใช่เวลาเดียวกันกับที่เราพากันเชื่อและเข้าใจมาก่อนว่า จักรวาลเป็นของเที่ยงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเวลาในความหมายเช่นนั้นชวนพาให้เราเข้าใจว่าเป็นผลงานอันเกิดจากการบันดาลของสิ่งที่เรียกว่า " ผู้สร้าง " ที่อยู่นอกเหนือจักรภพ ในลักษณะเช่นนั้นจึงไม่มีความหมายเช่นนั้นชวนพาให้เราเข้าใจว่าเป็นผลงานอันเกิดจากการบันดาลของสิ่งที่เรียกว่า " ผู้สร้าง " ที่อยู่นอกเหนือจักรภพ ในลักษณะเช่นนั้นจึงไม่มีความจำเป็นทางกายภาพใดๆ ที่จะนำมาอธิบายจุดเริ่มต้นของเอกภพ นอกจากเราจะยอมรับด้วยจินตนาการว่า พระองค์คือผู้สร้างจักรวาล ในเวลาใดๆ ก็ได้ในอดีตกาลที่ผ่านมา

            ในกรณีที่จักรภพมีการขยายตัว ย่อมมีเหตุผลทางกายภาพพอเพียงที่จะทำให้เชื่อว่า จักรภพย่อมจะต้องมีจุดเริ่มต้น อาจจะมีคนคิดว่า พระเจ้าทรงสร้างจักรภพด้วยการเริ่มต้นจากการระเบิดครั้งใหญ่หรือภายหลังจากการระเบิด แต่น่าจะไร้เหตุผลที่จะอธิบายว่าพระเจ้าทรงสร้างจักรภพก่อนที่จะมีการระเบิดครั้งใหญ่ที่ฮับเบิลและฟรีดแมนเชื่อว่าจักรภพมีการขยายตัว ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นผลงานของพรองค์หรือหากเป็นก็คงอยู่นอกขอบเขตจำกัดที่พระองค์จะทรงรับรู้

             อย่างไรก็ตาม จุดเริ่มต้นแห่งกาลเวลาอันเนื่องมาจากทฤษฎีบิ๊กแบงที่เกิดขึ้นเนื่องจากการมาบรรจบกันของกาลอวกาศ แม้ในระยะแรกจะไม่ได้รับกรยอมรับกันมากนัก โดยเฉพาะในหมู่นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ยึดติดในความเชื่อที่ส่อแสดงว่ามีผู้สร้างผู้บันดาลอีกทั้งยังเป็นการกระเทือนต่อความเชื่อในทฤษฎีอันสวยหรูของไอน์สไตน์ ก็ได้รับการพิสูจน์และยืนยันว่าทฤษฎีดังกล่าวมีความเป็นไปได้จริงจากผลงานของเพนโรสและฮอว์กิ้งในปี 1970 หากทฤษฎีสัพัทรภาพของไอน์สไตน์ถูกต้องและจักรภพประกอบไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมายดังที่เราสังเกตเห็นนั้นเป็นความจริง ( ซึ่งศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกได้มีการบันทึกให้มีจุดเริ่มต้นแห่งกาลเวลาอันเป็นผลงานของพระเจ้าไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลในปี 1950 )

             ไอน์สไตน์เองในตอนแรกก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกันกับนิวตันเขายังไม่ค่อยเชื่อว่าทฤษฎีแห่งการเริ่มต้นของกาลเวลาจะเป็นไปได้ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพที่เขาค้นพบ ถึงกับตั้งคำถามว่า " พระเจ้ามีโอกาสในการสร้างจักรภพมากน้อยเพียงไร " เพราะถ้าหากความเชื่อที่ว่า จักรภพไร้ขอบเขตเป็นสิ่งถูกต้อง พระองค์คงไม่มีอิสระเสรีในการกระทำเช่นนั้นในตอนแรกอย่างมากก็คงเป็นเพียงความเป็นอิสระเสรีที่พระองค์จะทรงทำได้ตามกฏเกณฑ์ที่จักรภพต้องปฏิบัติตามซึ่งหากพิจารณาในเหตุผลเช่นนี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นข้อสรุปที่มนุษย์เราจะสามารถล่วงรู้เกี่ยวกับความจริงในเอกภพ และขอบเขตแห่งอำนาจของพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถค้นพบทฤษฎีที่เป็นเอกภาพมากกว่าในปัจจุบันที่ยังคงมีความไม่ลงรอยกันระหว่างทฤษฎีสัมพัทรภาพกับทฤษฎีควอนตัมเมคานิกส์

              ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ สามารถพยากรณ์ได้ว่า กาล - อวกาศจะมีจุดเริ่มต้นจากการระเบิดของจักรวาลในตอนแรกและจักรวาลจะสิ้นสุดลงเมื่อมีการระเบิดในครั้งหลังหากเอกภพมีการหดตัว หรือมีการเกิดหลุมดำในจุดใดจุดหนึ่งของจักรวาลหากตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ( เช่นดาวที่ดับแสง ) มีการหดตัวอย่างรุนแรงในกรณีที่มีผู้สงสัยว่าเอกภพมีจุดเริมต้นและมีจุดดับจริงหรือ เราสามารถค้นพบคำตอบของศาสตรจารย์ ฮอว์กิ้ง ในหนังสือ " ประวัติย่อแห่งกาลเวลา " ที่มีความเห็นไว้ดังนี้

             " ตลอดทศวรรษ 1970 ข้าพเจ้ายังคงยุ่งอยู่กับการศึกษาทฤษฎีหลุมดำ จนกระทั่งเมื่อปี 1981 ที่ข้าพเจ้าได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมวิชาการเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลวิทยา ที่จัดขึ้นโดยสำนักวาติกัน ข้าพเจ้าจีงได้หันมาให้ความสนใจปัญหาเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและจุดจบของจักรวาลว่ามีจริงหรือไม่ ดังที่ทราบกันมาแล้วในอดีตที่คริสต์ศาสนาได้เคยตัดสินผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงมาแล้วในกรณีที่คริสต์ศาสนาได้เคยตัดสินผิดพลาดอย่างหลวงมาแล้วในกรณีของกาลิเลโอ ที่มีความเห็นค้านทางศาสนาเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีพระอาทิตย์และดวงดาวอื่นหมุนรอบเป็นวงกลม ดังนั้น หนึ่งศตวรรษผ่านมา สำนักวาติกันจึงเห็นสมควรเชิญนักวิทยาศาตร์มาร่วมประชุมตัดสินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและไม่เป็นที่ขัดแย้งกับคัมภีร์ทางศาสนาอีกต่อไป ในตอนสิ้นสุดของการประชุมสัมมนา ผู้เข้าร่วมประชุมรวมทั้งข้าพเจ้าด้วยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ในวันนั้น พระองค์ทรงรับสั่งแก่ผู้เข้าเฝ้าว่า เป็นสิทธิอันชอบธรรมของพวกเราทุกคนที่จะศึกษาวิวัฒนาการความเป็นมาของจักรวาลจากจุดเริมต้นแห่งกาลเวลาภายหลังการระเบิดบิ๊กแบง ( ที่ศาสนาถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่พระเจ้าสร้าง ) แต่พวกเราไม่ควรเข้าไปใฝ่รู้กระบวนการของบิ๊กแบงจนเกินไป เพราะนั่นถือว่าเป็นกระบวนการสร้างและเป็นผลงานของพระองค์โดยตรง ในการรับสั่งครั้งนั้น ทำให้ข้าพเจ้าอดดีใจไม่ได้ที่บังเอิญสันตะปาปาไม่ทรงทราบหัวเรื่องการประชุมที่ข้าพเจ้าเป็นผู้นำเสนอถึงความเป็นไปได้ว่าเอกภพไม่มีจุดที่สิ้นสุด แต่เอกภพไม่มีขอบเขต ซึ่งหมายความว่า เอกภพนี้ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีผู้สร้าง ไม่มีกระบวนการสร้าง การเสนอผลงานตามความจริงที่พิสูจน์ได้จากเหตุผลทางวิทยาศาตร์ของข้าพเจ้าเช่นนี้ มิได้หมายความว่าข้าพเจ้าต้องการที่จะเข้าร่วมชะตากรรมเดียวกันกับที่กาลิเลโอเคยประสบมาแล้วในอดีต แม้ว่าข้าพเจ้าจะเกิดตรงกับวันตายของกาลิเลโอเมื่อ 300 ปี ก่อนก็ตาม ! "

วิทยาศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา

              จากข้อมูลทางดาราศสตร์ในยุคปัจจุบัน ที่องค์การนาซาได้รับรายงาน พบว่า แท้ที่จริงแล้ว ดาวเคราะห์ที่สำรวจพบในเอกภพรุ่นแรกเกิดก่อนเมื่อประมาณ 13,000 ล้านปี เป็นดาวเคราะห์ทีมีขนาดใหญ่กว่าดาวพฤหัสบดีประมาณสองเท่า หากจะเปรียบเทียบกับเอกภพทางช้างเผือกอันสงบเงียบที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ถือว่าเอกภพที่เราอาศัยมีอายุอยู่ในรุ่นที่สามหรือประมาณ 5,000 ล้านปีเท่านั้นเอง จากการศึกษาของนักดาราศาสตร์พบว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกดึงให้เข้าสู่วงโคจรไปในกลุ่มดาวเคราะห์ที่ให้ความสุกสว่างสูงที่กำลังจะดับลงในแกนของกลุ่มดาวสกอร์ปิอุสที่อยู่ห่างจากโลกของเราออกไปประมาณ 5,600 ปีแสง ดาวเคราะห์ดวงนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในร้อยดวงนอกระบบสุริยจักรวาลที่เรารู้จัก จากข้อมูลที่ทำการศึกษาโดยนักดาราศาสตร์มหาวิทยาลัยเพนน์ซิลเวเนียพบว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ในกลุ่มดาวที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดที่เรารู้จักในปัจจุบัน เกิดเมื่อประมาณ 12,713 ล้านปี หรือก่อนกำเนิดของ " ทางช้างเผือก " ที่สุริยจักรวาลของเราอาศัยอยู่เกือบ 6,000 ล้านปีนี่คือตัวอย่างที่เราแสดงให้เห็นว่า เอกภพรุ่นแรกมีกำเนิดมานานแสนนานก่อนเอกภพที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งนับว่าเป็นรุ่นที่สามที่เพิ่งจะเริ่มปรากฏตัว

บทสรุป

              ปรัชญาพุทธเชื่อว่า สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งในและนอกจักรวาลไม่มี " สัตตะ " อันเป็นสิ่งนิรันดร์ใดๆ มีเพียง " ภวะ " อันเนื่องจากกระแสการปรับปรุงแต่ง เป็นสังขตธรรมที่เลื่อนไหลติดต่อกัน เป็นสภาวธรรมที่มีการเกิดดับอยู่ทุกชั่วขณะ สรรพสิ่งที่เรารับรู้ด้วยประสาทสัมผัสไม่ว่าจะเป็นสสาร หรือเป็นอสสารเช่นพระเจ้า ล้วนแต่เป็นมายาอันเนื่องมาจากจินตนาการ ไม่มีสิ่งใดเที่ยง มีการเกิดดับหมุนเวียนด้วยเหตุปัจจัยตามหลักอิทิปปัจจัยตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับลง เป็นอนิจตา เป็นทุกขตา และเป็น อนัตตตา ตามกฎไตรลักษณ์และตามธรรมนิยามในปรัชญาพุทธทุกประการ





By แก่นพุทธธรรม

No comments:

Post a Comment