Wednesday, December 26, 2012

ทำสิ่งใดควรเว้นที่ว่างแค่ห้าส่วนก็จะไม่เสียใจ








อาหารเลิศรส
คือโอสถกัดกร่อนลำไส้ ให้กระดูกผุ
กินห้าส่วนจึงไม่มีโทษ
เรื่องสำราญใจ
คือสื่อแห่งความล้มเหลวเสื่อมศีลธรรม
รับห้าส่วนจึงไม่เสียใจ

นิทัศน์อุทาหรณ์

เป่าสื้อหัวเราะ

            เล่ากันมาว่า ในสมัยราชวงศ์โจวมีสาวสวยบาดใจอยู่คนหนึ่งมีชื่อว่า เป่าสื้อ อิวอ๋องเป็นฮ่องเต้ในสมัยนั้น ได้นำตัวนางเข้าวังมาเป็นพระสนมเพราะรูปโฉมที่งดงาม อิ๋วอ๋องจึงรักหล่อนมาก

          แต่แม้เป๋าสื้อจะสวยสดงดงามหยาดฟ้ามาดิน จนผู้ได้ยลโฉมต้องตกตะลึงไปก็ตาม ทว่ามีนิสัยประหลาดอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะหรือสถานที่ครึกครื้นสนุกสนานอย่างไรก็ตาม ปากรูปกระจับสีแดงของหล่อน ไม่เคยจะแย้มยิ้มให้เห็นแม้สักครั้งเดียว

          มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดมาก อิวอ๋องก็รู้สึกปวดเศียรเป็นอย่างยิ่งในเรืองนี้ พระองค์พยายามหานางระบำรำฟ้อนมาแสดงให้นางดู หาวิธีการทุกอย่างเพื่อให้สาวสวยคนนี้หัวเราะสักครั้งหนึ่งแต่เป่าสื้อก็ยังไม่ยอมยิ้มหัวเลย จนแล้วจนรอด

          มีอยู่วันหนึ่ง อิวอ๋องเกิดคิดขึ้นมาได้ จึงสั่งให้ทหารไปก่อไฟขึ้นที่หอเพลิงใช้สำหรับส่งข่าวศึกฉุกเฉิน ทำเอาพวกเจ้าครองแคว้นที่เห็นสัญญาณเพลิงต่างก็ยกทัพกันมาอย่างตาลีตาลาน ด้วยเข้าใจว่ามีข้าศึกประชิดติดเมืองหลวงเข้ามาแล้ว แต่เมื่อเจอหน้าอิ๋วอ๋อง อิวอ๋องกลับบอกว่าไม่มีเรื่องอะไร เพียงแต่ก่อไฟเล่นสนุกๆ เท่านั้น พวกเจ้าครองแคว้นซึ่งยกทัพมาอย่างกระหืดกระหอบ คิดว่ามีอันตรายเกิดแก่อิวอ๋อง ครั้นเมื่อทราบว่าอิวอ๋องหลอกเพื่อความสนุกเช่นนั้นก็โกรธ รีบยกทัพกลับไปในทันที


          แต่เป่าสื้อซึ่งยืนคู่อยู่กับอิวอ๋องบนกำแพงเมือง เห็นกองทัพที่ยกมาต่างอีหลักอีเหลื่อ ทุกคนทำหน้าพิกล จะหัวเราะหรือร้องไห้ก็ใช่ที่แล้วพากันหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับไปดังนั้น ก็รู้สึกขำ ตบมือชอบใจพร้อมกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน สมตามความปราถนาของอิวอ๋อง

           นางหัวเราะอย่างไรก็เป็นเรื่องของนาง แต่ต่อมาภายหลัง มีศึกประชิดเมืองหลวงเข้ามาจริงๆ อิวอ๋องสั่งให้ทหารรีบส่งสัญญาณไฟบนหอเพลิง ไฟลุกจนแดงฉานจับท้องฟ้า พวกเจ้าครองแคว้นทั้งหลายก็เข็ดไม่ยอมยกทัพมาอีก ในที่สุด อิวอ๋องและป่าสื้อก็ถูกข้าศึกฆ่าตัวตายในคราวนั้่น

          เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า เรื่องที่าสร้างความสำราญเบิกบานใจนั้นไม่ควรจะทำจนเกินไป ถ้าหากอิวอ๋องในขณะนั้นทำแต่พอเหมาะพอควรก็คงจะไม่ต้องสูญชาติสิ้นชาติสิ้นชีวิตเป็นแน่

          กรณีที่เรารับประทานอาหารก็เช่นกัน ที่คนเรากินอาหารก็เพื่อบำรุงรักษาร่างกายให้ดำรงคงอยู่ รับประทานแต่พอควรก็สามารถที่จะบำรุงเลี้ยงร่างกายได้แล้ว แต่ถ้ามากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย กลับจะเพิ่มภาระให้แก่ท้องใส้จนเกิดมีปัญหาขึ้นอีก

           " ภาษิตรากผัก " จึงบอกแก่เราว่า

           " กินอาหารไม่ควรกินมากเกินไป ถ้ากินมากไปแล้ว เมื่ออาหารเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในร่างกายของเราให้ดีขึ้น มิหนำซ้ำอาจจะทำให้ท้องใส้ของเราเกิดเน่าเปื่อยกลายเป็นยาพิษรุนแรงที่กัดกระดูดจนผุกร่อนได้ การหาความสำราญก็เหมือนกัน ในขณะที่เราทำกิจกรรมนั้นๆ ก็อาจรู้สึกสบายใจ แต่ครั้นเมื่อจบสิ้นลงแล้ว ผลร้ายก็อาจจะตามมาในทันทีทันใด ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ควรจคิดหน้าคิดหลังจงหนัก "






 By หงอิ้งหมิง ( สมัยราชวงศ์หมิง ) " สายธารแห่งปัญญา "

No comments:

Post a Comment