Thursday, December 27, 2012

แค่คิด ก็ชั่วแล้ว

คิดชั่ว ได้ชั่ว

          แต่ก่อน มีชายสองคนเป็นเพื่อนรักกัน พวกเขาชวนกันเดินทางไปตามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาเซิ่งซันที่อยู่ไกลมาก พวกเขาขึ้นลงห้วยเดินทางอยู่หลายเดือน ในที่สุดก็พบผู้วิเศษผมขาวโพลนคนหนึ่ง

          ผู้วิเศษบอกชายสองคนนี้ว่า " จากตรงนี้ไป ยังต้องเดินทางอีกอย่างน้อย 10 วัน จึงจะถึงเขาเซิ่งซัน แต่ข้ารู้สึกประทับใจในจิตศรัทธาของพวกเจ้ามาก ข้าจะให้พวกเจ้า เจ้าสองคน คนหนึ่งอยากได้อะไรอีกคนหนึ่งก็จะได้เป็นสองเท่าของคนนั้น "

          ชายคนแรกคิดในใจว่า " โชคดีจังเลยที่ผู้วิเศษ ความจริงเรานึกออกแล้วละว่าจะขอพรอะไร แต่ถ้าเราขอก่อน เราก็เสียเปรียบนะสิเพราะนายนั่นจะได้เป็นสองเท่าของเรา "

          ชายคนที่สองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้น ชายทั้งสองจึงเกี่ยงกันให้อีกฝ่ายหนึ่งขอพรก่อน เกี่ยงกันจนต่างฝ่ายต่างโมโห

          ชายคนแรกตะโกนเสียงดังลั่นว่า " พูดไม่รู้เรื่องหรือยังไง ถ้าแกไม่ขอก่อนละก็ ข้าจะตีเจ้าให้ขาหัก "

          ชายคนที่สองโกรธหน้าหงิกหน้าดำ ไม่รู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายจะเคยเป็นเพื่อนกับตนมาก่อน เขาคิดในใจว่า " ดี... ในเมื่อเจ้าแล้งน้ำใจกับข้าก็อย่าหาว่าข้าโหดเลยนะ "


          คิดเช่นนี้แล้ว ชายคนที่สองก็พูดขึ้นมาว่า " ก็ได้ ข้าขอก่อนขอให้ข้าตาบอดข้างหนึ่ง

          อธิษฐานจบ ชายคนที่สองก็ตาบอดไปข้างหนึ่ง เช่นเดียวกับชายคนที่หนึ่งซึ่งเคยเป็นเพื่อนรักของเขา ก็ตาบอดไปทั้งสองข้าง


แง่คิด

          ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ทำให้คนเราใจแคบ

          ไม่น่าเชื่อเลยว่า ของขวัญที่แสนวิเศษชิ้นหนึ่ง แทนที่เพื่อนรักสองคนจแบ่งปันกันเอาไปใช้ให้เกิดความสุข พวกเขากลับปล่อยให้ความโลภ ความขี้อิจฉา มาบงการจิตใจ พรวิเศษที่ควรจะเป็นการอำนวยอวยพร จึงกลับกลายเป็นคำสาปแช่งที่น่าสะพรึงกลัว และทำให้เพื่อนรักสองคนกลายเป็นศัตรูคู่แค้นที่อยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้ สุดท้าย หลังจากห้ำหั่นกันเองอย่างเอาเป็นเอาตาย คนหนึ่งพิการตาบอด 1 ข้าง อีกคนหนึ่งตาบอด 2 ข้าง

          นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า ความจริง คนจำนวนมากร่ำรวยอยู่แล้วแต่ที่รู้สึกไม่พอ ก็เพราะมีกิเลสตัณหามากเกินไป ที่พูดว่าเราร่ำรวยดีแล้ว ก็เพราะอย่างน้อยที่สุด เราเกิดมาร่างกายแข็งแรงครบถ้วน 32 ประการไม่พิกลพิการ แถมยังมีสุขภาพที่แข็งแรงดีมาก นอกจากนี้ เรายังมีพ่อแม่ มีคนรัก มีเพื่อน มีงาน มีสัตว์เลี้ยงแสนรัก ฯลฯ แต่บางครั้งเราก็รู้สึกไม่ค่อยชอบสิ่งที่เรามีอยู่นัก ซึ่งเมื่อพิจารณาใคร่ครวญด้วยสติแล้ว ก็จะพบว่า ที่เราไม่พอใจสิ่งที่เรามีอยู่ ก็เพราะกิเลสตัณหายามโลภ โกรธ หลง เราไม่พอใจอะไรเลย แม้กระทั่งตัวเอง บางครั้งอาการหนักถึงขั้นรูสึกว่าตัวเองไม่มีอะไรสู้คนอื่นได้เลย เราอิจฉาคนอื่น อยากสวย อยากรวย อยากเก่งกว่าคนอื่น ยิ่งคิดแบบนี้จิตใจก็ยิ่งร้อนรุ่ม ยิ่งโกรธ ยิ่งทุกข์ระทม ยิ่งหาความสุขไม่ได้

           ประการต่อมา ยิ่งโลภก็ยิ่งยากจน ความยากจนในจิตใจไม่เกี่ยวข้องกับฐานะทางเศรษฐกิจ คน ที่มีความโลภไม่รู้จักจบจักสิ้นนั้นต่อให้เขามีทรัพย์สมบัติมากมาย เขาก็จะยังคงรู้สึกไม่เพียงพออยู่เสมอและอิจฉาริษยาคนที่รวยกว่าตัวเอง

           ประการสุดท้าย ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ทำให้คนเราใจแคบ ขี้อิจฉา ไม่สร้างสรรค์ ไม่ช่วยเหลือ ทำงานร่วมกับผู้อื่นไม่ได้ สุดท้ายก็กลายเป็นพลังแห่งการทำลายล้าง





By สุภาณี  ปิยพสุนทรา ( สว่าง อย่าง เซน )

No comments:

Post a Comment