Friday, December 28, 2012

ขอไปที

ก้อนหินในกระเป๋า

          เย็นวันหนึ่ง ในขณะที่พวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์กำลังเตรียมกระโจมทำการพักผ่อนนอนหลับนั้นเอง พวกเขาก็เห็นลำแสงหนึ่งเปล่งรัศมีเจิดจ้าขึ้น ประสาทสัมผัสที่หกบอกพวกเขาว่า เทพเจ้ากำลังปรากฏ ณ บัดนี้แล้ว พวกเขารีบคุกเข่าลงพื้น เตรียมต้อนรับเทพเจ้าอย่างนอบน้อม

           และแล้ว เทพเจ้าก็ปรากฏกายขึ้นจริงๆ เทพเจ้าพูดกับเหล่าสาวกผู้ซื่อสัตย์ว่า " พรุ่งนี้ เวลาเดินทาง เจอก้อนหินที่ไหนก็ให้เก็บใส่กระเป๋ามากๆ ตกกลางคืน พวกเจ้าจะมีความสุขสุดๆ แต่ขณะเดียวกัน พวกเจ้าก็จะมีความทุกข์ด้วย "

           พูดจบ เทพเจ้าก็หายตัวไป

           เหล่าสาวกต่างผิดหวังไปตามๆ กัน พวกเขาคิดว่าเทพเจ้าจะนำโชคก้อนใหญ่มาให้พวกเขาเสียอีก แต่ที่ไหนได้ เทพเจ้ากลับสั่งให้พวกเขาทำงานบ้าๆ บอๆ ชิ้นหนึ่ง คือเก็บก้อนหินใส่กระเป๋า

           เช้าวันุร่งขึ้น แม้พวกเขาจะไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งเทพเจ้า พกเขาหลับหูหลับตา เก็บหินก้อนเล็กๆ ใส่กระเป๋าไปตามเรื่อง



            แล้ววันนั้นก็ผ่านไปอย่างเซ็งๆ ตกเย็น ได้เวลาที่พวกเขาจะต้องกางเต็นท์นอนพักกัน สาวกบางคนล้วงก้อนหินในกระเป๋าออกมาดูโดยมิได้ตั้งใจ ปรากฏว่าหินในกระเป๋ากลายเป็นทองคำ พวกเขาดีใจมาก แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกเสียใจเป็นที่สุดที่มิได้เก็บก้อนหินใส่กระเป๋าให้มากกว่านี้

แง่คิด

           คนขยันมักจะโชคดี

           เทพเจ้าสั่งให้กลุ่มคนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์เก็บก้อนหินใสกระเป๋า โดยมิได้บอกให้รู้ว่า ตกเย็นก้อนหินจะกลายเป็นทองคำ กลุ่มคนเลี้ยงสัตว์เกรงกลัวอำนาจเทพเจ้า จึงเก็บก้อนหินใส่กระเป๋าอย่างขอไปที

           เทพเจ้าในนิทานเซนเรื่องนี้เปรียบเสมือนเถ้าแก่หรือเจ้าของบริษัทพวกเร่ร่อนเลียงสัตว์เปรียบเสมือนลูกจ้างพนักงาน เป็นธรรมดาที่เจ้าของบริษัทจะปรารถนา ให้พนักงานของตนทำงานอย่างขยันขันแข็ง มีจิตใจที่เป็นเจ้าของงาน มีความกระตือรือร้น มีความคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับลูกจ้างส่วนใหญ่ที่มักจะเห็นบริษัทเป็นศาลาพักร้อนริมทางพวกเขาจะทำงานอยู่ที่นี่ชั่วคราว แล้วมองบริษัทอื่นที่คิดว่าดีกว่าบริษัทที่ทำงานอยู่ เหตุนี้เอง คนส่วนใหญ่จึงทำงานอย่างขอไปที เจ้านายสั่งให้ทำอะไร ก็ทำพอมิได้ถูกด่า เรื่องบุกเรื่องลุย เรื่องลำบากหนักเหนื่อยเลี่ยงได้ก็เลี่ยง หลบได้ก็หลบ งานใหญ่งานเล็กล้วนมิได้ทำด้วยจิตใจของผู้เป็นเจ้าของงาน

            นิทานเซนเรื่องนี้สอนให้เราตระหนักว่า มีแต่คนที่รักงาน ขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน ทำงานด้วยจิตสำนึกของผู้ที่เป็นเจ้าของงานเท่านั้นชีวิตจึงจะเจริญรุ่งเรือง เปรียบไปก็เหมือนคนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ที่เก็บก้อนหินใส่กระเป๋าอย่างคนที่สำนึกในคำสั่งแะภาระหน้าที่ เก็บแต่ก้อนดีๆ เก็บจนเต็มกระเป๋า โดยไม่คำนึงถึงความหนักเหนื่อยที่ตัวเองต้องแบกรับซึ่งมีแต่คนประเภทนี้เท่านั้น ในกระเป๋าจึงพูนไปด้วยทองคำก้อนใหญ่ๆ ดีๆ

            นอกจากนี้ นิทานเรื่องนี้ยังสอนเราอีกว่า ชีวิตเป็นอะไรที่แปลกมาก สุขมักมาคู่กับทุกข์ " ได้ " มักมาพร้อมกับ " เสีย " ในโชคดีมีโชคร้าย ในโชคดีมีโชคร้าย ในโชคร้ายมีโชคดี ความลำบากนำมาซึ่งความสำเร็จ

           ทันทีที่สิ้นเสียงหัวเราะ น้ำตาของเราก็อาจหลั่งริน ทันทีที่รู้สึกมีความสุข อิ่มเอมกับสิ่งที่ได้มา ความรู้สึกทุกข์กังวลห่วงหวง สูญเสียก็อาจตามมา... เพราะนี่แหละคือชีวิต

          ดังนั้น เราจึงควรเตรียมใจให้พร้อม สุขทุกข์ไม่ยินดียินร้ายจนเกินไป วางใจเป็นกลางๆ อารมณ์จะได้ไม่แปรปรวนวิปริต






By สุภาณี  ปิยพสุนทรา ( สว่าง อย่าง เซน )

No comments:

Post a Comment