Sunday, October 14, 2012

รามเกียรติ์ รื้อเรียน เพื่อ รื้อรู้ ( ตอนจบ )


รามเกียรติ์ รื้อเรียน เพื่อ รื้อรู้ ( ตอนจบ )

         การรบพุ่งทุกครั้งเบื้องหลังของมันคือความคิดเห็นอันเป็นปรปักษ์ต่อกัน รามเกียรติ์นั้นถือกำเนิดเกิดมาในรูปแบบคัมภีร์รามายณะ ประมาณต้นๆ พุทธกาล ร่ายโศลกโดยวาลมิกิฤๅษี มีจุดมุ่งหมายหลายประการด้านที่เห็นชัดคือ

          1. แสดงความนับถือ พระนารายณ์ ทำลายพระพรหมไม่ชมชื่นพระศิวะ ดังจะเห็นได้หลายฉากหลายช่วงที่จาบจ้วงพระพรหมอย่างน่าเกลียด แกล้งยัดเยียดให้เป็นเชื้อไขในโคตรแห่งทศกัณฐ์ และแทบไม่ให้ความสำคัญอันใดเท่าที่ควร ทางด้านพระอิศวรซึ่งถือเป็นศัตรูคู่แข่ง ( แบ่งออกเป็น 2 นิกายได้แก่ ไศพนิกาย ซึ่งงมงายต่อพระศิวะมากกว่า พวกนี้จะบูชาสรรพาสารพันที่เกี่ยวข้องกับพระศิวะ ไม่ว่าจะบูชาเจ้าแม่กาลี ศิวลึงค์ ไปจนถึงพระพิฆเณศวร ฯลฯ ) ส่วนอีกนิกายคือ ไวษณพนิกาย อันงมงายต่อพระนารายณ์เป็นที่ตั้ง เมื่อสังเกตุว่าพวกบูชาพระอิศวรเป็นใหญ่กำลังแผ่ขยายไปได้กว้างขวาง การสร้างรามายณะเพื่อสกัดกั้นจึงถูกสรรแต่งขึ้น ( เรื่องพื้นฐานหลายประเด็นพระนารายณ์ถูกยกให้เด่นกว่า สู้กันคราใดหรือแข่งขันกันในทีทุกคราพระนารายณ์เก่งกว่าเสมอไป ( อ่านเก็บความในบ่อเกิดรามเกียรติ์ประกอบ ))



          2. การครอบพุทธศาสนา การเกิดมาของพุทธศาสนาที่ชี้แนะให้หลุดพ้นจากต้นเหตุแห่งทุข์ทั้งปวง ได้ช่วงชิงลัทธินิยมบูชาพระเจ้า มีผู้เข้าถือบวชปฏิบัติเพราะเห็นสัจธรรมที่ล้ำลึกกว่า การสร้างรามายณะก็ดีการที่ให้พระพุทธองค์ทรงเป็นส่วนหนึ่งซึ่งเกิดจากการอวตารของพระนารายณ์ก็ดี หนีไม่พ้นในต้นเค้าเรื่องดังกล่าวมา

          3. การสรรเสิรญพระนารายณ์หมายถึงการสรรเสริญวีรกษัตริย์และข้าราชทหารทั้งหลาย พระนารายณ์ได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้รักษาหรือการรบทัพจับศึก เบื้องลึกการบูชาคือพวกวรรณกษัตริย์และพวกพราหมณ์ผู้ปฏิบัติซึ่งได้ทั้งอำนาจและผลประโยชน์โดยตรง ภายหลังจึงส่งพระศิวะที่ไต่ระดับธรรมดามาจากเทพนิรนาม ขยายความสำคัญถึงขั้นพระนารายณ์ ( ทั้งทำลายทั้งปราบแถมแผ่ศักยานุภาพเหนือพระนารายณ์ด้วยซ้ำ ) ทั้งพราหมร์ทั้งทหารทั้งพ่อค้า ( ที่คิดว่าเป็นพวกอารยันตอนเหนือ เชื่อถือพระศิวะเพราะอยู่ ณ แว่นแค้วนเขตแดนเกี่ยวข้องกับเรื่องของเทพองค์นี้ )

          ที่รามเกียรติ์ไทย ได้ลงหลักปักเป็นเสาเอกแห่งวรรณคดีนั้น เพราะปราถนาสรรเสริญพระนารายณ์ในจุดมุ่งหมายที่ว่าการนำชื่อมาใช้ตรงๆ การดำรงสถานะข้าบริพาร การและการณ์อีกประมาณร้อยแปดพันเก้า รามเกียรติ์เข้ามาซึมแทรกจนแยกไม่ออก ( นอกจากนั้นยังผลักดันพุทธศาสนาให้เข้ามาดุจเดียวกัน ถ้าร่วมฉากได้ก็ให้ประโยชน์เต็มเป้า ถ้าคลุกเคล้าเข้ากันไม่เต็มก็แยกเข็มแยกส่วนตาม ( ควรตามผล ))

         เรื่องปะปน ปละปล่อย ในร่องรอยอย่างนี้เห็นทีจะเป็นเอกลักษณ์ไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลเสียแล้วกระมัง

          หากเราจะว่ากันตั้งแต่ที่ตั้งต้นกรุงศรีอยุทธยาเรื่อยมาจรดกาลเวลาปัจจุบัน วรรณคดี - วรรณลิขิตมาจากรามายณะ และก็ปะปนปนเปสัพเพสัพพาเนื้อหาอื่นนังนุงยุ่งเหยิง เช่น


          แลเป็นสี่         ปวงดิน
เป็นเงายืน                ทรง่ำหล้า
เป็นเรือนอินทร          ถาเถือก                
เป็สร้อยฟ้า                จึ่งบาน

จึงเจ้า   ตั้งผาเผือก    ผาเยอ
ผาหอมหวาน             จึ่งขึ้น
หอมอายดิน               เลอก่อน
สรดึ้นหมู่                   แมนเมา
                                                       ( โองการแช่น้ำ )

          พรหวิษณุบรเมศวล์เจ้า         จอมเมรุ
ยมเมศมารุตอร                               อาศน์ม้า
พรุณอัคนิกุลเพนทรา                      สุรเสพย์
เรืองวิวรฟ้าเจ้า                               แจ่มจันทร์

           เอกาทศเทพย์แสร้ง             เอาองค์
เป็นพระศรีสรรเพชฌ์                      ที่อ้าง
พระเสด็จดำรงรักษ์                         เลี้ยงโลก
ทุกเทพทุกท้างไหว้                                 ช่วยชัย ฯ
                                                        ( ลิลิตยวนพ่าย )

           ความหลากหลายของพระเจ้าซึ่งยกมากล่าวอ้างมีจุดประสงค์อย่างเดียว คือโน้มเหนี่ยวให้ผู้รับสารยอมรับอภินิหารและโองการของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเนรมิตมาในรูปพระเจ้าดังกล่าวนั่นเอง องค์ไหนเก่งมากเก่งน้อยขอให้ร้อยชื่อไว้ก่อนเป็นพอแล้ว ขออธิบายภาพหลัง เหมือนดังพวกพราหมณ์ที่พยายามเชิดพระพรหมขึ้นเป็นหนึ่ง ครั้นถึงเวลาศรัทธาไหลไปหาพระวิษณุก็เพียรกุขึ้นว่าพระนารายณ์คือส่วนหนึ่งขององค์พรหม พอความนิยมพุ่งแรงแซงหน้าเข้าหาพระศิวะก็ผนวกเอาว่าพระศิวะมาจากพระรุทธ ขุดไปขุดมาพระรุทธมาจากพระพรหมอีกทอดหนึ่ง ขึงพืดความคิดจนฤทธิของพระพรหมนั้นแทบจะเป็นสามัญเทพเอาดื้อๆ

         นี่คือลัทธิพราหมณ์ซึ่งพยายามคงความสำคัญแห่งชนชั้นและความเชื่อถือพร้อมกระพือความคิดนี้ด้วยวิธีใดก็ได้ ขอให้พวกเขามีส่วนพระอิศวร พระนารายณ์ถึงกลายเป็น 2 เทพผู้ยิ่งใหญ่ทิ้งให้พระพรหมล้มกลิ้งโคโร่ ทั้งที่ใหญ่โตก่อนใคร แต่ไม่น่าแปลกเพราะเผ่าพรหมณ์ยังแทรกเป็นยาดำทุกพิธีกรรมของไทย

          สอดคล้องกับปัจจัยอำนาจ ซึ่งผูกขาดอยู่ร่วมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า ที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่านั้นคือการสรรให้อวัยวะเพศของพระเจ้าฝังเข้าหัวสมองของประชาชนจนถึงขั้นห้อยเอวด้วยความเชื่อเหลวไหล บ้างก็เอาอวัยวะนั้นปั้นเสียวิจิตรพิศดาร แล้วจัดงานฉลองเอิกเกริกหาฤกษ์หาชัยขึ้นไว้ยังแท่นบูชา

          บ้ากันถึงขนาดเพียงเพื่อผูกขาดอำนาจมิให้เสื่อมคลาย กลายเป็นสังคมพันทางคลำหาหัวหาหางไม่เจอ

          ความล้ำเลอของรามเกียรติ์คือความเพียรล้ำลึกของลัทธิพราหมณ์นั่นทีเดียว เหนี่ยวน้าวทั้งเจ้าทั้งได้ไพร่ล้ำเลิศแถมเปิดขยายไปอีกหลายประเทศ

          ด้วยเหตุนี้วรรณคดีใหญ่ในยุคทุกเรื่องล้วนมีเบื้องหลังเบื้องหน้าการศึกษาจึงอย่าจำกัดแค่อรรถรส ความหมดจดของถ้อยที่ร้อยเรียง หรือเพียงว่านิยมกันมาช้านาน ฯลฯ

          ขอให้อ่านบางตอนของรามเกียรติ์ฉบับพระเจ้ากรุงธนบุรี ฉบับที่ถูกหลงลืมกันแล้ว ดัง

พระมุนีจึงว่าเวรกรรม
มันทำท่านท้าวยักษี
กันจะแก้ไขไปให้ดี
ก่อกิจพิธีว่องไว

จึงจะสิ้นทินบาปหยาบหยาม
พยายามอนุโลมลามไหม้
ล้างลนอกุศลสถุลจัย
เข้าไปในเชาวน์วิญญาณ

เป็นศีลสุทธิวุทธิ
หิริโดยตะทังคะประหาร
คือบทแห่งโคตระภูญาณ
ประหารโทษทีหนึ่งไป...

          จะเห็นได้ว่ารามเกียรติ์ฉบับทอดวิถีมาทางพุทธมาก ด้วยพระเจ้าตาก ( สิน ) ทรงเคร่งพระวิญญาณในกรรมฐานวิปัสนา คนแต่งเลยหาทางเอาใจแต่งให้พัวพันกับศาสนาพุทธกันไปเลย

           เอ่ยปิดฉากกันตรงๆ ว่า " บรรดาความเลวร้ายที่ขยายลุกลามมิใช่เกิดจากความโลภของผู้ทรงอำนาจ แต่มาจากความอุบาทว์ชาติชั่วจากบรรดาตัวชิดใกล้ผู้ใส่ไคล้ประจบสอพลอที่งสิ้น

           พาแผ่นดินถล่มทลายมานักต่อนัก






By คมทวน  คันธนู ( วรรณวิพากษ์ )

No comments:

Post a Comment