Friday, April 26, 2013

แมลงและผีเสื้อ โบยบินไปพร้อมกัน

แมลงและผีเสื้อ โบยบินไปพร้อมกัน

         เคยมีสักครั้งไหมว่า เมื่อเราทำงานอะไรที่สำคัญพอๆ กันพร้อมทั้งสองอย่างโดยขาดความพร้อม มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องมีงานใดงานหนึ่งผิดพลาดหรือไม่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่มันควรจะเป็น หรือถ้าร้ายแรงสุดๆ ก็อาจเสียหายทั้งสองอย่างเลยก็ได้

          ที่ลองถามก็เพราะในสำนวนเขาได้เปรียบเปรยถึงการที่อยากจะได้ของทั้ง ๒ สิ่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะจะหลุดมือไปทั้ง ๒ สิ่งเหมือนอยากจับทั้งแมลงและผีเสื้อพร้อมๆ กัน

           แต่สุดท้ายมันก็โบยบินหนีหายลับตาไปทั้ง ๒ ตัว ! คงคว้าได้แต่ลม

           สำนวนนี้เขามีไว้ใช้เตือนใจคน โดยเฉพาะคนที่มีจิตใจแสนจะโลเลหรือประเภทพวกโลภมากที่มกจะลาภหาย อาจเทียบกับสำนวนไทยว่า " จับปลา ๒ มือ " หรือคนที่ " เหยียบเรือ ๒ แคม "

           นักธุรกิจของญี่ปุ่นที่กำลังถูกสังคมญี่ปุ่นจับตามองมากที่สุดในห้วงเวลานี้คงไม่พ้นคนที่ชื่อ " ทากาฟูมิ โฮริเอะ " ผู้ที่ครั้งหนึ่งเขาเป็นดุจเทพเจ้าของวงการอินเตอร์เน็ตญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบันกลายเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ไม่โปร่งใสที่สุดในวงการธุรกิจญี่ปุ่น



           ทากาฟูมิ โฮริเอะ ( Horie Takafumi ) เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๗๒ ที่เมือง Yame ในเขตจังหวัดฟูกูโอกะหัวเมืองใหญ่ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งชีวิตในวัยเยาว์ของเขาก็เหมือนเด็กชายชาวญี่ปุ่นทั่วไปโดยเขาเติบโตขึ้นจากครอบครัวสามัญที่มีพ่อเป็นพนักงานบริษัทและมีแม่ที่มาจากครอบครัวเกษตรกรรม

           จุดหักเหสำคัญเริ่มต้นขึ้นเมื่อโฮริเอะเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาที่ Department of Literature ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ( University of Tokyo ) โดยเขาเลือกเรียนในวิชาเอกศาสนา และด้วยสถานภาพของการเป็นนักศึกษาในกรุงโตเกียว ทำให้โฮริเอะมีโอกาสได้เริ่มเรียนรู้โลกของอินเตอร์เน็ตและไซเบอร์ และการเข้าทำงานในบริษัทที่ให้บริการในด้านนี้ได้จุดประกายความคิดของเขาให้กระเจิดกระเจิง

           ด้วยวัยเพียง ๒๓ ปี โฮริเอะยุติการเรียนในระบบและมุ่งหน้าสู่หนทางในโลกธุรกิจด้วยการร่วมลงทุนกับเพื่อนของเขาจัดตั้งบริษัท Livin' on the Edge ในปี ค.ศ. ๑๙๙๕ เพื่อรับเป็นที่ปรึกษาและพัฒนาเว็บไซต์ภายใต้ทุนจดทะเบียนเริ่มต้นเพียง ๖ ล้านเบนและมีพนักงานเพียง ๓ คน
     
          กิจการและธุรกิจของ Livin' On the Edge ดำเนินและเติบโตอย่างช้าๆ และพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงชื่อและโครงสร้างบริษัทจาก Livin' On the Edge Inc. ในปี ค.ศ. ๑๙๙๖ ไปสู่ Livin' On the Edge Co., Ltd.

           ในปี ค.ศ. ๑๙๙๗ ก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ( Tokyo Stock Exchange : TSE ) จะเปิดตลาดใหม่ " Mothers " ( Market of the high - growth and emerging stocks ) เพื่อเป็นช่องทางให้บริษัทเกิดใหม่มีโอกาสเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๙๙ ซึ่งโฮริเอะได้อาศัยช่องทางและโอกาสที่เปิดกว้างดังกล่าวมาต่อเติมธุรกิจของ Livin' On the Edge ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

           Livin' On the Edge แปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนและเข้า จดทะเบียนในตลาด Mothers ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๒๐๐๐ พร้อมๆ กับอัตราการเติบโตของบริษัทที่ดำเนินไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจในเวลาต่อมา ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนหุ้นระหว่างกันหรือด้วยการรวบรวมและเข้าครอบงำกิจการ ( Mergers and acquisitions ) หลากหลาย

           รวมถึงการเข้าครอบกิจการของ Liverdoor Corp. ผู้ให้บริการ อินเตอร์เน็ตที่ประสบกับภาวะล้มละลายในช่วงปลายปี ค.ศ. ๒๐๐๒ ก่อนที่ Livin' On the Edge จะเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Edge Co., Ltd. ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๒๐๐๓ และเปลี่ยนชื่อเป็น Liverdoor Co., Ltd. ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๒๐๐๔ ซึ่งเป็นชื่อที่ยังคงใช้อยู่และได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในปัจจุบัน

           โฮริเอะไม่หยุดอยู่เพียงความพึงพอใจกับความสำเร็จที่ผ่านมา หากจะเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ว่าบริษัทแห่งนี้จะขยายตัวยิ่งใหญ่ไปมากมายเพียงใดก็ตาม

           ซึ่งผิดวิถีของการทำธุรกิจญี่ปุ่น ซึ่งต้องทำให้ธุรกิจเดิมนั้น เป็นหลักเป็นฐานมั่นคงยิ่งใหญ่ก่อนที่จะกระโจนไปในด้านอื่นๆ !!!

           โฮริเอะเข้ากระโดดซื้อกิจการ Nippon Global Securities ( ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Livedoor Securities ) ซึ่งเป็นการแทรกตัวเข้าสู่ธุรกิจในภาคการเงินที่อุดมด้วยผลกำไร และเป็นจักรกลสำคัญสำหรับการเติบโตทางธุรกิจของ Livedoor ในอนาคตด้วย

           การเติบโตอย่างก้าวกระโดดและรวดเร็วของโฮริเอะถูกวิพากษ์วิจารณ์และประเมินในฐานะ " คนนอก " ที่กำลังท้าทายมาตรฐานการทำธุรกิจอย่างไม่อาจเลี่ยง และภาพลักษณ์และไลฟ์สไตล์ของโฮริเอะที่แต่งตัวตามสบาย ไม่ใส่สูทผูกไทแต่ใส่กางเกงยีนส์แบะอกคอเสื้อนั้นดูแปลกออกจากแบบแผนและประเพณีปฏิบัติในสังคมธุรกิจญี่ปุ่นอย่างมาก

          มาใน ค.ศ. ๒๐๐๔ ชื่อของโฮริเอะก็ปรากฏอยู่ในความสนใจของสื่อมวลชนและผู้คนในวงสังคมทุกระดับอย่างกว้างขวางอีกครั้ง เมื่อเขาออกประกาศที่จะเข้าซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์ของทีมเบสบอลอาชีพ Osaka Kintetsu Buffaloes ที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งต้องแข่งขันอย่างดุเดือดกับนักธุรกิจหนุ่มชื่อดังอีกรายคือ Hiroshi Mikitani และในที่สุดคู่แข่งของเขาก็ได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ของทีมเบสบอลแห่งใหม่

           กรณีนี้เป็นที่วิจารณ์ไปทั่ววงการธุรกิจของญี่ปุ่นว่า ท่วงทำนองและจังหวะก้าวของโฮริเอะที่ก้าวกระโดดข้ามสายข้ามห้วยนั้นมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงอยู่และกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เขาต้องพลาดโอกาสดังกล่าวไป และอีกครั้งกับการแข่งที่ดุเดือดเมื่อนักธุรกิจสองรายนี้ต่างพยายามแทรกตัวเข้าไปต่อยอดทางธุรกิจด้วยการรุกเข้าสู่วงการวิทยุและโทรทัศน์

           นอกเหนือไปกว่านั้นที่ทำให้วงการธุรกิจญี่ปุ่นตกตะลึง โฮริเอะประกาศแผนที่จะดำนเนินธุรกิจอวกาศส่วนบุคคล ( Private Space Business ) ในการประชุมนานาชาติครั้งที่ ๕๖ ของ International Astronautical Congress อีกด้วย และยังเกี่ยวเนื่องกับการระบุว่าเขาจะลุงทุนในโครงการพัฒนาอวกาศ Japan Space Dream - A Takafumi Horie Project ทีมีเป้าหมายที่จะส่งจรวดที่มีมนุษย์ร่วมเดินทางท่องอวกาศภายใน ๕ ปี ซึ่งถือเป็นคำประกาศที่ท้าทายต่อทั้งภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเอกชนและหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ท่ามกลางความสงสัยว่า " โฮริเอะจะนำเงินจากแหล่งใดมลงทุนในโครงการมูลค่าสูงนี้ "

           มีการกล่าวกันหนาหูว่า โฮริเอะประสบความสำเร็จร่ำรวยขึ้นมาได้ก็ด้วยความช่ำชองในการปั่นมูลค่าหลักทรัพย์ให้เพิ่มสูงขึ้น โดยเป็นไปได้ว่าหลายปีมานี้ตัวเขาอาจจะได้เงินเข้ากระเป๋าไปแล้วเป็นเงินถึง ๘๐๐,๐๐๐ ล้านเยน หรือราวๆ ๒.๘ แสนล้านบาท

            อย่างไรก็แล้วแต่เงินๆ ทองๆ และความร่ำรวยก็ได้ทำให้โฮริเอะ กลายเป็นบุคคลที่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่คิดจะสร้างเนื้อสร้างตัวใช้เป็นต้นแบบไปโดยปริยาย

            มีหนังสือขายดิบขายดีชื่อว่า " How to Make 10 Billion Yen " 

           ชื่อเสียงของเขาดังกลายเป็นพลุแตกอีกครั้ง เมื่อตำรวจบุกเข้าตรวจ้นสำนักงานใหญ๋ของ Livedoor และบ้านพักของโฮริเอะในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ( พ.ศ. ๒๕๕๑ ) โดยพนักงานสอบสวนได้กล่าวหาโฮริเอะทั้งในข้อหาฟอกเงินและการกระทำผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ ด้วยการสร้างราคาและการแต่งตัวเลขทางบัญชีในงบการเงินของบริษัทในเครือเพื่อหวังผลในตลาดหลักทรัพย์

            ซึ่งข้อกล่าวหาดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบกับราคาหุ้นของ Livedoor ที่ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วจนหลายคนคาดเดาว่าเป็นอวสานของโฮริเอะแน่แท้

            เรื่องราวของทากาฟูมิ โอริเอะนั้นกลายเป็นอุทาหรณ์ชั้นดีของคนที่ดำเนินธุรกิจในญี่ปุ่นและทั่วโลกทำนองทีว่า " อย่าจับทั้งแมลงและผีเสื้อ "

            เพราะสุดท้ายทั้งแมลงและผีเสื้อหรือธุรกิจที่เขาหมายมั่นปั้นมือหลายอย่างพร้อมๆ กัน ก็บินหนีจากมือของทากาฟูมิ โฮริเอะไปเสียทั้งสองตัว !!! แม้ว่าในขณะนี้ทากาฟูมิ โฮริเอะ จะกำลังดำเนินการแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมด แต่สิ่งที่เสียไปนั้นมิอาจย้อนกลับคืนมาได้หมดแน่นอน





By ปรัชญา " ซามไร "

No comments:

Post a Comment