Monday, April 29, 2013

เช้าสามเย็นสี่

เช้าสามเย็นสี่

          ที่รัฐซ่งมีชายชราคนหนึ่งชอบเลี้ยงลิงมาก ที่บ้านของชายชราผู้นี้เลี้ยงลิงไว้ฝูงใหญ่ เมื่อเลี้ยงนานเข้า ชายชราก็เข้าใจลักษณะนิสัยของลิงเป็นอย่างดี ลิงเองก็พอจะเรียนรู้จิตใจของผู้เป็นเจ้าของ ชายชราผู้นี้ยิ่งเลี้ยงยิ่งชอบลิงเหล่านั้น แม้ตัวเองและคนในครอบครัวจะอดอยากอย่างไรขอแต่ให้ลิงได้กินอิ่มก็รู้สึกพอใจ

           ต่อมาไม่นาน ของกินในบ้านค่อยๆ หมดไปจนเกือบจะไม่มีอะไรให้ลิงกินชายชราผู้นี้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงคิดว่าควรจะลดอัตราอาหารของลิงลง แต่ก็กลัวว่าพวกลิงจะไม่ยอม ด้วยเหตุนี้จึงพูดกับลิงว่า " นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ลูกก่อให้เจ้ากินนั้น เช้าจะให้สามทะนานเย็นจะให้สี่ทะนานพอไหม ? " พวกลิงได้ฟังเช่นนั้น ก็กระโดดไปกระโดดมาและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแสดงความไม่พอใจ

            " ถ้าเช่นนั้นก็เอาแบบนี้ " ชายชรากล่าว " เพิ่มให้อีกหน่อย คือเช้าสี่เย็นสามพวกเจ้าคงจะพอใจใช่ไหม ? "

            พอลิงได้ฟังเช่นนั้นก็พากันแสดงความดีอกดีใจ


บันทึกใน " เลี่ยจื่อ "

Sunday, April 28, 2013

อยู่เหนือทุกสิ่ง

อยู่เหนือทุกสิ่ง

          มีอยู่วันหนึ่ง ฌานาจารย์หยั่งซานขอคำแนะนำจากฌานาจารย์หงอินว่า " เหตุใดคนเราจึงไม่สามารถเข้าถึงธรรมชาติแห่งพุทธะในตัวเราเองโดยเร็ว ? "

           ฌานาจารย์หงอินจึงยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ฟังว่า " บ้านหลังหนึ่งมีหน้าต่างหกบาน ในบ้านมีลิงกังหนึ่งตัวกระโดดโลดเต้นไม่หยุด ส่วนข้างนอก ก็มีลิงกังอีกห้าตัวไล่กวดลิงเสนที่หน้าต่างรอบบ้าน ลิงเสนส่งเสียงร้องที่ข้างนอก ลิงกังอีกห้าตัวก็ร้องตอบไปตอบมาที่หน้าต่างทั้งหกบานลิงกังจึงย่อมไม่อาจจำแนกได้ชั่วขณะว่า ใครคือตัว ตัวคือใคร "

Saturday, April 27, 2013

Self - consciousness

Self - consciousness

          It should be noted that Theravada Buddhist accepts mind door as the sixth sense, in addition to the five physical sense organs of which visible object, sound, odor, taste and tangible thing. The sixth sense has all mental phenomena as its objects, and it is through this sixth sense that consciousness can reflect upon itself and the psychic factors. Without the mind - door, consciousness can not know itself, just as person without eye - door, consciousness knows itself as an object, not as a subject. This is, consciousness by nature is not self - consciousness. It is not implicity aware of itself when it is aware of an object. Consciousness can only be aware of one object at one time. When we attend the present things, we are not able at the present moment to attend  to the consciousness by which they arise. This is because consciousness cannot be subject and object at once.

          " Just as one cannot cut a sword with that very same sword, an axe with that axe, and  a knife with that knife, so also one cannot know consciousness with that very same consciousness. "

Friday, April 26, 2013

วิญญาณเป็นอัตตาหรือไม่

วิญญาณเป็นอัตตาหรือไม่

         โปรดสังเกตุว่า พุทธศาสนานิกายเถรวาทถือว่า มโนทวาร เป็นสมผัสที่หก นอกเหนือไปจากอายตนะภายในทั้งห้าที่ทำหน้าที่รับภาพ เสียง กลิ่น รส และ สัมผัสต่ออายตนะภายนอก สัมผัสที่หกทำหน้าที่รับรู้จากสิ่งที่เรียกว่า ธรรมารมณ์ โดยผ่านทางมโนทวาร มโนทวารนี้เองที่ทำให้วิญญาณรู้จักตัวเองและรู็จักเจตสิกของตัวเอง หากปราศจากมโนทวาร มโนวิญญาณหารู้จักตนเองได้ไม่ เช่นเดียวกันหากไม่มีจักขุทวารย่อมไม่มีจักขุวิญญาณ โดยทางมโนทวารทำให้วิญญาณรู้จักตัวเองในฐานะที่เป็นสิ่งที่ถูกรู้ แต่มิใช่เป็นผู้รู้ ( ดังในความเชื่อของปรัชญาอุปนิษัท ) ดังนั้นจึงนับได้ว่า วิญญาณโดยธรรมชาติไม่มีตัวตน เพราะสิ่งที่ทำหน้าที่รู้ ย่อมมิใช่สิ่งที่ถือว่ารู้โดยปริยายวิญญาณเพียงแต่รู้ในสิ่งถูกรู้ได้ในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งในขณะปัจจุบัน เราไม่สามารถที่จะเฝ้าสังเกตการเกิดของวิญญาณได้ในเวลาเดียวกัน เพราะวิญญาณมิใช่เป็นผู้รู้และเป็นสิ่งถูกรู้ได้ในขณะเดียวกัน

           " ดาบเล่มเดีวกันไม่สามารถที่จะฟันดาบเล่มเดิมได้ ขวานเล่มเดิมก็ไม่สามารถฟันขวานเล่มนั้นได้ ดังนั้นวิญญาณย่อมไม่สามารถรู้ตัวเองได้ในเวลาเดียวกันกับที่กำลังทำหน้าที่รับรู้ "

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๓๐ )

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๓๐ ) 
วันวิสาขบูชา

           วันวิสาขบูชานับเป็นวันสำคัญวันหนึ่งทางพุทธศาสนา ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พิธีที่จัดให้มีขึ้นในวันนี้ก็เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูตร ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน

            ประเทศไทยในฐานะที่เป็นเมืองพุทธอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ในวันสำคัญนี้จะมีการจัดพิธีบูชาทั่วทั้งประเทศ ธงศาสนาจะปลิวไสวอยู่ทั่วไป พิธีทางศาสนาและการทำบุญจะมีขึ้นทั่วทั้งประเทศ ในขณะเดียวกันในต่างจังหวัด ชาวพุทธจะตื่นนอนแต่เช้าตรู่เพื่อตระเตรียมอาหารและของหวานเพื่อถวายพระสงฆ์ ครั้นรุ่งเช้าประชาชนก็จะเดินเป็นทิวแถวมุ่งหน้าไปยังวัดใกล้เคียงเพื่อใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันนั้นในการทำกิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมเหล่านี้เป็นส่วนมากก็จะกระทำกันที่วัดซึ่งเป็นสถานที่ฟังพระธรรมเทศนาในตอนกลางวัน และในช่วงเย็นก็เข้าร่วมพิธีเวียนเทียนซึ่งได้แก่การเดินรอบพระอุโบสถ ๓ รอบ ในขบวนพิธีนี้แต่ละคนก็จะถือดอกไม้ ธูป ๓ ดอก และเทียนไขจุดแล้ว ๑ แท่ง เพื่อระลึกนึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย ( อันมีพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ )

Thailand " Land of Smile " ( Part 30 )

Thailand " Land of Smile " ( Part 30 )
Visakha Puja Day

         Visakha Puja Day is one of the greatest religious holidays which falls on the 15th day of the waxing moon in the 6th lunar month. The significant celebration is held to commemorate the Buddha's birth, enlightenment and death ( Parinibana )

          I Thailand, as a Buddhist country with His Majesty the King as the Upholder of all Religious, this auspicious day is celebrated and merit making are preformed countrywide. Meanwhile, in the countryside people will make up in the early morning to prepare food and sweets for monks, and dawn they walk in a long line to the nearby temple where they will spend the greater part of the day in religious activities. The activities are usually centred around the temple where they attend sermons during the day and in the evening take part in the candle - lit procession that circumambulates  the main chapel three times. In the procession, each person carries flowers, three incense sticks and a lighted candle in remembrance of the Triple Gems ( The Buddha, His Teachings and His disciples ).

แมลงและผีเสื้อ โบยบินไปพร้อมกัน

แมลงและผีเสื้อ โบยบินไปพร้อมกัน

         เคยมีสักครั้งไหมว่า เมื่อเราทำงานอะไรที่สำคัญพอๆ กันพร้อมทั้งสองอย่างโดยขาดความพร้อม มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องมีงานใดงานหนึ่งผิดพลาดหรือไม่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่มันควรจะเป็น หรือถ้าร้ายแรงสุดๆ ก็อาจเสียหายทั้งสองอย่างเลยก็ได้

          ที่ลองถามก็เพราะในสำนวนเขาได้เปรียบเปรยถึงการที่อยากจะได้ของทั้ง ๒ สิ่งในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะจะหลุดมือไปทั้ง ๒ สิ่งเหมือนอยากจับทั้งแมลงและผีเสื้อพร้อมๆ กัน

           แต่สุดท้ายมันก็โบยบินหนีหายลับตาไปทั้ง ๒ ตัว ! คงคว้าได้แต่ลม

           สำนวนนี้เขามีไว้ใช้เตือนใจคน โดยเฉพาะคนที่มีจิตใจแสนจะโลเลหรือประเภทพวกโลภมากที่มกจะลาภหาย อาจเทียบกับสำนวนไทยว่า " จับปลา ๒ มือ " หรือคนที่ " เหยียบเรือ ๒ แคม "

           นักธุรกิจของญี่ปุ่นที่กำลังถูกสังคมญี่ปุ่นจับตามองมากที่สุดในห้วงเวลานี้คงไม่พ้นคนที่ชื่อ " ทากาฟูมิ โฮริเอะ " ผู้ที่ครั้งหนึ่งเขาเป็นดุจเทพเจ้าของวงการอินเตอร์เน็ตญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบันกลายเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ไม่โปร่งใสที่สุดในวงการธุรกิจญี่ปุ่น

Wednesday, April 24, 2013

เลี้ยงต้นไม้ปลูกต้นไผ่ ใจไร้ซึ่งตัวเรา




ลดความปราถนาในวัตถุให้ต่ำเท่าที่จะต่ำได้
ปลูกไม้ปลูกไผ่
ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างให้กับความว่างเปล่า
ลืมทุกสิ่งทุกอย่างจนไม่มีอะไรจะลืมอีก
จุดธูปชงชา
อย่าได้ถามว่าใครเป็นใครมาแต่ไหน


นิทัศน์อุทาหรณ์
ประวัติซินแสอู่หลิว

         มีชายคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามาจากไหน และก็ไม่รู้ว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร เขาปลูกต้นหลิวไว้ที่ข้างบ้าน ๕ ต้น คนทั้งหลายจึงพากันเรียกเขาว่า " ซินแสอู่ ( ห้า ) หลิ่ว "

         ซินแสอู่หลิ่วเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจา ไม่ชอบชื่อเสียงลาภยศ

Monday, April 22, 2013

ทรราชร้ายกว่าเสือ

ทรราชร้ายกว่าเสือ

         ครั้งหนึ่ง ขณะที่ขงจื้อนั่งรถผ่านเชิงเขาไท่ซาน เห็นที่ข้างทางมีสตรีผู้หนึ่งสวมเสื้อสำหรับไว้ทุกข์ที่ทอด้วยผ้าป่าน กำลังซบหน้าลงบนหลุมศพร่ำไห้อย่างน่าเวทนา ขงจื้ออยากทราบสาเหตุ จึงสั่งให้รถหยุด แล้วให้จื่อก้งผู้เป็นศิษย์ลงจากรถไปถามผู้หญิงผู้นั้น

          จื้อก้งเดินทางไปที่ข้างหลุมฝังศพ ถามว่า " ได้ยินเสียงร้องไห้ของน้าแล้วรู้ว่าน้ามีความเศร้าโศกเสียใจมาก ไม่ทราบว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ? "

           หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลพราก กล่าวว่า " ในย่านนี้มีเสือร้ายออกมารังควาญเป็นประจำ บิดาสามีของข้าพเจ้าตายเพราะมัน ต่อมาสามีของข้าพเจ้าก็ถูกมันกัดตายและบัดนี้ มันก็กัดบุตรชายของข้าพเจ้าตายอีก เรื่องเป็นเช่นนี้จึงทำให้ข้าพเจ้าเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง "

           ขงจื้อลงมาจากรถม้าถามว่า " เมื่อเสือมันดุร้ายเช่นนี้ทำไมพวกท่านจึงไม่ย้ายไปอยู่เสียที่อื่นเล่า ? " 

           หญิงผู้นั้นตอบว่า " เพราะที่นี่ทุรกันดาร ไม่มีทรราชย์ "

Saturday, April 20, 2013

ใต้ต้นพลัม ไม่ควรขยับหมวก

ใต้ต้นพลัม ไม่ควรขยับหมวก

          หมายถึงการกระทำอะไรก็ตามที่จะทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ เปรียบเหมือนชาวสวนญี่ปุ่นที่ยืนอยู่ใต้ต้นพลัมที่มีผลกำลังสุกเต็มต้น เพียงแค่ยกมือจะขยับหมวกอาจจะถูกพวกซามูไรฟันเอาได้ง่ายๆ เพราะนึกว่าจะเอื้อมมือมาหยิบผลลูกพลัมของท่านโชกุนผู้เป็นใหญ่




By ปรัชญา " ซามูไร "

Content of consciousness

Content of consciousness 

         The psychic factors described above accompany consciousness. Thus consciousness does not arise in isolation. It always arises together with a number of psychic factors. Consciousness and psychic factors, though external to one another in analysis, are in reality intimately and inseparably connected with one another. Thus consciousness and psychic factors are related to one another by way of association. Hence consciousness in its purest form does not function in utter isolation and separation. It is always accompanied by some psychic factors. This means that consciousness, in spite of being egoless, is not contentedless because it has psychic factors as a content. In so far it contains something, consciousness can not be regarded as nothingness. It is " consciousness and something more " Consciousness is said to be wholesome or unwholesome according to its contents, i.e. psychic factors.

สิ่งประกอบภายในวิญญาณ

สิ่งประกอบภายในวิญญาณ

          เราทราบแล้วว่า เจตสิก คือปัจจัยร่วมของวิญญาณ เพราะวิญญาณไม่สามารถอยู่ได้เองโดยลำพัง แต่จะอยู่ร่วมกับเจตสิกบางชนิดเสมอทั้งวิญญาณหรือจิตกับเจตสิกทำงานร่วมกันและไม่สามารถแยกออกจากกัน จึงถือว่าสิ่งทั้งสองเป็นเหตุปัจจัยร่วมกัน ( สัมปยุตปัจจัย ) ดังนั้นจึงถือว่าวิญญาณที่บริสุทธิจริงๆ เมื่อแยกออกมาโดดๆ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยตัวมันเองหากปราศเจตสิก ข้อความนี้เป็นการย้ำถึงหลักอนัตตาที่พุทธศาสนาปฏิเสธ อัตตา หรือ ความมีตัวตน หรือที่เชื่อว่าวิญญาณเป็นตัวเป็นตนเป็นของเที่ยงถาวร วิญญาณแม้จะว่างแต่ก็ถือว่ามี " บางสิ่งบางอย่างบรรจุอยู่ " ดังนั้นวิญญาณทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลย่อมประกอบด้วยกุศลเจตสิกและอกุศลเจตสิกเสมอ

วินิจฉัยคนจากโฉมหน้าภายนอก


วินิจฉัยคนจากโฉมหน้าภายนอก

         ฌานาจารย์ ฉงเย่ ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เคยไปเยี่ยม เยือนฌานาจารย์หยุนไก้ แต่เนื่องจากภูมิธรรมไม่พอ สนทนากันได้ไม่กี่คำ ฌานาจารย์หยุนไก้ก็พูดฉีกหน้าท่าน แล้วถามว่า " ท่านเคยสนทนาธรรมกับฌานาจารย์ต้งซานเค่อเหวินหรือไม่ ? "

          ฉงเย่พยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธแม้สีหน้าจะแดงกล่ำ แต่ก็อดมิได้ที่จะพูดอย่างไม่เกรงใจว่า " ต้งซานเค่อเหวินมิใช่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ วันๆ บ้าๆ บอๆ เอาแต่ลากจีวรเหม็นสาบปัสสาวะไปมา อาตมาไม่เคยคิดจะไปสนทนาธรรมกับท่านเลย "

          ฌานาจารย์หยุนไก้จึงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า " ฌานอยู่ที่นั่นแหละ ท่านควรไปปฏิบัติฌานในที่ที่เหม็นสาบปัสสาวะ ! " ฉงเย่ปฏิบัติตามคำท่าน เดินทางไปขอคำแนะนำจากฌานาจารย์ต้งซานเค่อเหวิน จึงได้บรรลุธรรมอันลึกซึ้ง หลังจากนั้น ฌานาจารย์ฉงเย่กลับมาขอบพระคุณฌานาจารย์หยุนไก้ ซึ่งท่านกลับพูดอย่างหนักแน่นจริงจังว่า " ขอบคุณอาตมาทำไม ไปขอบคุณกลิ่นสาบปัสสาวะดีกว่า ! "

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๙ )

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๙ )
วันจักรี

         วันที่ ๖ เมษายน เป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรี ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๙ แห่งราชวงศ์นี้

         ราชวงศ์จักรีก่อตั้งโดยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ พระรามาธิบดีที่ ๑ พระองค์ทรงปะสูตรเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๘๐ มีพระนามเดิมว่า " ทองด้วง " และเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ พระองค์ทรงครองราชย์อยู่เป็นเวลา ๒๘ ปี ในช่วงรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงรวบรวมราชอาณาจักรให้เป็นปึกแผ่นอย่างมั่นคง จนกระทั่งไม่ต้องเกรงกลัวการรุกรานจากอริราชศัตรูอีกต่อไป สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงได้รับการสรรเสริญว่าทรงเป็นรัฐบุรุษผู้ปรีชาสามารถ เป็นนักกฏหมาย เป็นกวีและชาวพุทธผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา ดังนั้น รัชสมัยของพระองค์จึงได้รับการกล่าวขานเป็นยุคของ " การสร้างการฟื้นฟู " แห่งรัฐและวัฒนธรรมไทย พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ก่อตั้งกรุงเทพมหานครให้เป็นเมืองหลวงของไทย และนี่ก็คืองานสร้างสรรค์ที่คงอยู่ตลอดกาลจนได้รับชื่อเสียงว่าเป็น " เมืองแห่งเทพยดา " พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ เมื่อพระชนมายุได้ ๗๒ พรรษา

Friday, April 19, 2013

Thailand " Land of Smile " ( Part 29 )

Thailand " Land of Smile " ( Part 29 )
Chakri Day

         April 6 marks the anniversary of the founding of the present Chakri Dynasty of which the present ruling monarch, King Bhumibol the Great, is the ninth king.

         The Chakri Dynasty was founded by Phra Buddha Yodfa Cuhulaloke or Rama I, Who was born on March 20, 1737 with the name of Thong Duang and came to the throne on April 6, 1782. He ruled the country for 28 years. During his reign he consolidated the kingdom in such a way that there was no further fear of invasion from enemies. King Rama I has been praised as an accomplished statesman, a lawmaker, a poet and a devout Buddhist. Thus, his reign has been called a  " reconstruction " of the Thai state and Thai culture. He was the monarch who established Bangkok as the capital of Thailand, and this is the most long - lasting creation which gains popularity as the " City of Angels ". King Rama I passed away September 7, 1809 at the age of 72.

Thursday, April 18, 2013

กบในบ่อ ไม่เคยรู้จักมหาสมุทร

กบในบ่อ ไม่เคยรู้จักมหาสมุทร

          สำนวนนี้เป็นอีกเรื่องที่ดีมากๆ นักปราชญ์ชาวญี่ปุ่นเขาได้เปรียบเปรยให้เราเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของตน ซึ่งในเวลานี้นิสัยแบบกบในบ่อนี้เป็นกันมากทุกสังคม กบที่ชอบอวดตัว อวดเบ่ง แสดงออกถึงการอวดภูมิ อวดเก่ง อวดรู้ ฯลฯ

           ทำนองว่าในโลกใบนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้เก่งกาจอยู่คนเดียว คนอื่นนั้นไม่มีทางเทียบได้ ไม่รับฟังหรือรับรู้การมีตัวตนของคนอื่น หลงแต่เงาของตัวเอง เหมือนน้ำเต็มแก้วอยู่เสมอ ไม่สามารถรับน้ำดีๆ หรือสิ่งใหม่ๆ เข้าไปอีกได้เลย

           " กบในบ่อ ไม่รู้จักมหาสมุทร " เขาช่างเปรียบเทียบกับเจ้ากบตัวเล็กๆ ที่ร้อยวันพันปีได้แต่อาศัยและจับแมลงกินอยู่แค่ในบ่อน้ำ ไม่เคยจะเห็นอะไรเลย นอกจากฝาผนังแคบๆ ของบ่อรอบตัว ไม่เคยรับรู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีทะเลที่เป็นพื้นน้ำกว้างใหญ่ไพศาล หลายแสนหลายล้านเท่าเมื่อเทียบกับอาณาจักรเล็กๆ ของมัน

ชีวิตดังหนึ่งฟองอากาศ ไยต้องชิงชื่อเสียงลาภยศ




แก่งแย่งแข่งขันกันในแสงกระทบหินเหล็กไฟ
จะมีเวลาให้สักเท่าใด ?
ต่อสู้ช่วงชิงกันบนยอดเขาหอยทาก
โลกนี้ใหญ่นักหรือ ?

นิทัศน์อุทาหรณ์
รบกันบนยอดเขาหอยทาก

          ในสมัยโบราณนานมาแล้ว เมื่อคนเราเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้ากว้างก็มักจะว่า " ฟ้าเหมือนฝาชีครอบ แผ่นดินมีรูปสี่เหลี่ยมเหมือนกระดานหมากรุก "

           ต่อมาคนเราก็เห็นว่า " ฟ้าดินเหมือนไข่มุก ฟ้าหุ้มดินอยู่เหมือนเปลือกไข่หุ้มไข่แดง "

           เวลาผ่านไป คนเราใช้สายตาพินิจพิจารณา ใช้สติปัญญาวินิจฉัยจึงได้รู้ว่า ที่แท้บนฟ้าซึ่งใหญ่โตมโหฬารนั้น มิใช่แต่จะมีเพียงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เท่านั้น ยังมีดวงดาวอยู่อีกมากมาย ดวงดาวแต่ละดวง ล้วนแต่เป็นดวงใหญ่มากบนท้องฟ้าทั้งสิ้น

            เฉพาะดวงดาวที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ก็มีถึง ๙ ดวง ลูกโลกที่เรามีชีวิตอยู่เป็นหนึ่งในนั้น และระบบสุริยจักรวาลเป็นแต่เพียงระบบหนึ่งในระบบดาวอันนับไม่ถ้วนอยู่บนท้องฟ้า ระบบดาวอื่นๆ ที่ใหญ่กว่าระบบสุริยจักรวาลมีมากมายสุดคณานับ

Tuesday, April 16, 2013

The psychic factors

The psychic factors

          The aggregates of feeling, perception, and mental formations are called psychic factors or cetasika, because they are associated with consciousness. According to Apidhammatthasangaha, the psychic factors are defined as " those that arise and perish together with consciousness, are associated with consciousness and share the same object and basis with consciousness."

          There are altogether fifty - two psychic factors, two of which are feeling and perception. The remaining fifty are mental formations [ sankhara ]. All of these fifty - two factors are distributed under 3 distinct basic classes, each class consisting of two subclasses as general, unwholesome and wholesome psychic factors. Each of these factors are divided into primary and secondary as follows ;.

เจตสิก

เจตสิก

          เจตสิก คือ ตัวปัจจัยที่ทำงานร่วมกับจิต และคอยควบคุมคุณลักษณะของจิต ได้แก่นามขันธ์ ๓ อย่างในส่วนที่ไม่ใช่วิญญาณได้แก่ เวทนา สัญญา และ สังขาร ในอภิธัมมัตสังคหะ ให้คำจำกัดความของคำว่า เจตสิก ว่าคือ

          " สิ่งที่เกิดและดับพร้อมกับวิญญาณ อยู่ร่วมกับวิญญาณรับรู้ต่อวัตถุร่วมกับวิญญาณ และร่วมเป็นฐานเดียวกันกับวิญญาณ "

          เจตสิกมีทั้งหมด ๕๒ ชนิด สองอย่างในห้าสิบสองอย่างได้แก่ เวทนา และ สัญญา ส่วนอีกห้าสิบอย่างที่เหลือเป็นกระบวนการปรับปรุงแต่งของสังขาร เจตสิกทั้งห้าสิบสองชนิด แบ่งออกเป็นสามประเภท คือ ประเภททั่วไป ประเภทที่เป็นอกุศล และประเภทที่จัดเป็นอกุศล แต่ละประเภทยังแบ่งย่อยออกเป็นชนิดปฐมภูมิซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดร่วมกับจิตหรือวิญญาณบางประเภท ดังนี้

Thursday, April 11, 2013

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๘ )

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๘ )
วันขึ้นปีใหม่

          ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการจัดฉลองเทศกาลตลอดทั้งปี เทศกาลเหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจากทั้งศานาพุทธและศาสนาพราหมณ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อกาลเวลาผ่านไป เทศกาลต่างๆ เหล่านี้ก็ถูกดัดแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับสากลนิยมบ้าง

           ที่จริงแล้ว วันนี้ปีใหม่ของไทยอย่างเป็นทางการนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งหลายคราว ครั้งหนึ่งเคยถือเอาปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒๔๕๓ ) วันปีใหม่ได้กำหนดให้อยู่ในช่วงเดือนเมษายนจนกระทั่งเปลี่ยนมาถือวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ การถือเอาวันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามหลักสากลนิยมนั้นเพิ่งจะได้นำมาประยุกต์ใช้ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เพือให้สอดคล้องกับปฏิทินตะวันตกและนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ประเทศก้าวไปสู่สมัยใหม่

Thailand " Land of Smile " ( Part 28 )

Thailand " Land of Smile " ( Part 28 )
New Year's Day

         Thailand is well - known for her festivals which take place all the year round. Most these festivals are influenced by Buddhist and Brahminical religion, however, with the passage of time a number of them have been adopted in difference to the international practice.

          Actually, the official New Year's Day of Thailand has undergone several changes. Once it used to fall at the end of November. Later, during the reign of King Rama V ( 1868 - 1910 ) it was moved to a date round about April and then New Year's Day was changed to April the first. The universal practice of celebrating the new year on January 1 was adopted in 1941 in deference to the western calender and this is one of a number of changes aimed at modernising the country.

Wednesday, April 10, 2013

บรรพที่ ๑ ขัตติยธรรมและโครงสร้างการปกครอง ( บทที่ ๑ ขัตติยธรรม )




บรรพที่ ๑ ขัตติยธรรมและโครงสร้างการปกครอง
บทที่ ๑ ขัตติยธรรม


ไม่เคยได้ยินว่า แผ่นดินปั่นป่วนวุ่นวาย เพราะองค์ราชันทรงบำเพ็ญขัตติยธรรม

          ต้นยุคเจินกวน ( ค.ศ. ๖๒๗ - ๖๔๙ จุลศักราชสมัยถางไท่จงฮ่องเต้ครองราชย์ ) ถางไท่จงฮ่องเต้ทรงตรัสแก่เหล่าเสนาอำนาตย์ว่า

           " คุณธรรมพื้นฐานข้อหนึ่งขององค์จักรพรรดิคือ ต้องคำนึงถึงความอยู่เย็นเป็นสุขของราษฎรเหนือสิ่งอื่นใด หากเสริมสร้างอำนาจบารมีปรนเปรอตนเองโดยทำให้ราษฎรทุกข์ยากเดือดร้อนแล้วไซร้ ก็อุปมาดั่งเฉือนเนื้อแขนขาบำเรอท้อง ท้องอิ่มแต่มรณา ถ้าต้องการสร้างสันติสุขบนแผ่นดิน จะต้องบำเพ็ญขัตติยธรรม ปรับปรุงตนเองให้เป็นคนดีงามเสียก่อน ข้าฯ ไม่เคยได้ยินว่า ' ร่างตรง เงากลับคด ราชสำนักบริสุทธิ์ยุติธรรม แผ่นดินกลับปั่นป่วนวุ่นวาย '


           " ข้าฯ มักคิดเสมอว่า สิ่งที่ทำลายตัวเราไม่ใช่ของนอกกาย หากคือภัยพิบัติที่เกิดจากความโลภ ความหลง ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม และกิเลสตัณหาในตัวเราเอง ยิ่งละโมบทะยานอยาก หมกมุ่นสุรานารีมากเพียงใด จะยิ่งก่อภัยพิบัติมากเท่านั้น ซึ่งมิเพียงเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ยังสร้างความเดือดร้อนแก่ราษฎรอีกด้วย ยิ่งหากพูดจาเขื่องโขวางอำนาจไม่มีเหตุผลซ้ำเติมเข้าไป ก็จะทำให้ราษฎรเคียดแค้นชิงชัง เอาใจออกหาก กระทั่งก่อกบฏในที่สุด ข้าฯ คิดถึงปัญหานี้เสมอ จึงไม่กล้าปรนเปรอตนเอง เสพสุขตามอำเภอใจ "

ใจไร้ความปรารถนาฟ้าดินก็สงบ มีหนังสือและพิณในมือก็คือผู้วิเศษ




ใจไม่พึงปรารถนาในวัตถุ
ก็จักเป็นเช่นฟ้าโปร่งทะเลกว้าง
มีหนังสือและพิณอยู่ข้างกาย
ก็จักประดุจสถิตอยู่บนสรวงสวรรค์วิมานแมน


นิทัศน์อุทาหรณ์
ฮุ่นตุ้นตายแล้ว

          นานแสนนานมาแล้ว ทะเลเหนือมีเทพเจ้าแห่งทะเลเหนือ ทะเลใต้ก็มีเทพเจ้าแห่งทะเลใต้ ตรงกลางเป็นดินแดนของสัตว์โบราณชนิดหนึ่งชื่อว่า " ฮุ่นตุ้น "

          ฮุ่นตุ้นไม่มีขา สวมรองเท้าก็รู้สึกสบาย

          ฮุ่นตุ้นไม่มีเอว เมื่อรัดเข็มขัดก็ไม่รู้สึกผิดปกติ

          ฮุ่นตุ้นไม่รู้อะไรคือเงิน อะไรคือชื่อเสียงเกียรติยศ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความผาสุขเป็นอย่างยิ่ง

          ฮุ้นตุ้นมีฟ้าของตนอยู่ผืนหนึ่ง มันเหมือนกับฟ้าของพวกเด็กๆ กว้างใหญ่ไพศาลสีครามโปร่งใสปราศจากเมฆหมอก ปราศจากควันดำ

Tuesday, April 09, 2013

ตะวันลับฟ้า แต่หนทางยังอีกไกล

ตะวันลับฟ้า แต่หนทางยังอีกไกล

          คนเรานั้นหากเป็นคนที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป จนบางครั้งสิ่งที่ตั้งใจทำนั้นยังไม่สำเร็จ คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เปรียบดั่งตะวันที่ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ในขณะที่หนทางที่กำลังเดินทางอยู่นั้นยังอยู่อีกไกลแสนไกลนัก...




By ปรัชญา ซามูไร

มั่นใจตนเอง

มั่นใจตนเอง

         วันนหนึ่ง ศิษย์ถามอาจารย์เหวยควนว่า " พระพุทธคือใคร ? "

          ฌานาจารย์ตอบว่า " อาตมาไม่กล้าบอก "

          ศิษย์ถามด้วยความประหลาดใจว่า " เหตุใดอาจารย์จึงไม่กล้าบอกหรือสัจธรรมนั้น จะบอกให้คนอื่นล่วงรู้ไม่ได้ ? "

           ฌานาจารย์ตอบว่า " ถึงบอก ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะเชื่อ "

          ศิษย์ตอบว่า " คำแนะนำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์จะไม่เชื่อฟังได้อย่างไร ? "

Sunday, April 07, 2013

โอกาสดีมาถึง จงรีบลงมือ

โอกาสดีมาถึง จงรีบลงมือ

          ความหมายของปรัชญานี้แสนจะเรียบง่าย เพราะหลักใหญ่ใจความสำคัญนั้นบอกไว้ว่า " สิ่งที่ดีหรือโอกาสที่ดีเมื่อผ่านเข้ามานั้นต้องรีบลงมือทำทันที " ต้องทำโดยไม่ต้องมามัวรีรอ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอนและใช้ได้กับทุกเรื่องของชีวิต

           ถ้าเป็นสำนวนไทยคงจะอยู่ในคำพังเพยที่ว่า " น้ำขึ้นให้รีบตัก " หรือถ้าเป็นหนึ่งกลยุทธ์ของตำราพิชัยสงครามของซุนวู ปรมาจารย์ของชาวจีนก็คงต้องเป็นเรื่องของ " เข้าโจมตี... เมื่อฟ้าเป็นใจ "

            ในวงการธุรกิจการค้าในยุคปัจจุบัน เขาอาจเรียกกันว่า " โอกาสทองหรือนาทีทอง " ซึ่งเมื่อโอกาสนี้มาถึง คนทีทำธุรกิจอย่างชาญฉลาดจะรู้ตัวดีว่าถึงเวลาที่เขาเหล่านั้นจะต้องทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ในมือลงไปเพื่อชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

             ทาดาชิ ดาไน ( Tadashi Yanai ) ประธานและซีอีโอ บริษัท ฟาสต์รีเทลลิ่ง จำกัด ( Fast Retailing ) เจ้าของสินค้าแฟชั่นแบรนด์ " ยูนิโคล่ " ( UNIQLO ) ที่มั่นใจว่าเขาจะสามารถสร้างยูนิโคล่ให้กลายเป็นแบรนด์เนมระดับโลกเช่นเดียวกับ " แกป " ( Gap ) หรือ " มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ " ( Mark and Spencer ) ของต่างประเทศได้

The Buddhist conception of consciousness

The Buddhist conception of consciousness
What is consciousness

         We have seen in our discussion on the Buddhist rejection of the self, that the person [ puggal ] consists of five aggregates, viz corporeality, feeling, perception, mental formation, and consciousness. Our attention in this chapter will be focused on the aggregate of consciousness [ vinnana ], which is one of the four non-material aggregates. As aforementioned, the five aggregates can be divided into two main groups, the material and the non-material. The aggregate of corporeality belongs to the material group called rupa [ form ]. The term rupa specifies the bodily constituent of the personality [ attabhava ]. The personality or attabhava, minus all mental and moral characteristic, is rupam. The remaining aggregates, i.e. feeling, perception, mental formation, and consciousness, belong to the non-material group called nama or name. The term nama is used to refer to all mental phenomena. Thus the aggregate of corporeality is also called " form " while the four non-material aggregates are called " name or nama "... Name and form taken together constitute the psycho-physical complex know as person or puggala.

           The aggregate of consciousness is defined by Buddhaghosaaas " everything taken together that has the characteristic of cognition, it is a simple awareness of the presence of the object. It does not recognize the object, because that is the function of perception. "

แนวคิดเกี่ยวกับวิญญาณ

แนวคิดเกี่ยวกับวิญญาณ
วิญญาณคืออะไร

          ดังได้กล่าวมาแล้วในบทก่อนว่า พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธในเรื่องอัตตาหรือการมีตัวตน เพราะที่แท้นั้น ตัวตนที่พากันยึดถือเป็นเพียง " บุคคล " อันประกอบกันขึ้นจากขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป หรือ ร่างกาย ( อัตภาวะ ) ซึ่งเป็นส่วนของสสาร กับ นาม คือส่วนที่ไม่ใช่สสาร ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ทั้งรูปและนามรวมกันขึ้นเป็นร่างกายและจิตใจ ประกอบกันขึ้นเป็นบุคคล สำหรับบทนี้ จะได้กล่าวถึงเรื่องของวิญญาณโดยเฉพาะ เราทราบมาแล้วว่า วิญญาณขันธ์ จากคำจำกัดความของพระพุทธโฆษาจารย์ หมายถึง

           " สิ่งทีรวมกันทำหน้าที่รับรู้หรือตระหนักรู็ต่อวัตถุในขณะปัจจุบัน ส่วนการจำได้เป็นหน้าที่ของสัญญา "

Thursday, April 04, 2013

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๗ )

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๗ )
การสงวนป่าไม้

          มีคำกล่าวว่าแหล่งอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่แท้จริงสามารถจะสัมผัสได้เฉพาะแต่ในป่าเท่านั้น เพราะป่านำมาซึ่งประโยชน์อันมหาศาลต่อมนุษย์ชาติและสรรพสัตว์ ถ้าหากว่าป่าทั้งหมดถูกทำลายลงแล้ว โลกทั้งโลกก็จะต้องประสบกับความแห้งแล้งอย่างรุนแรงเป็นแน่ ซึ่งในที่สุดก็จะนำมาซึ่งความสูญสิ้นของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก

           ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ราชอาณาจักรไทยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ซึ่งมีถึง ๕๓.๓๓ % ของพื้นที่ทั้งประเทศ แต่น่าอนาถใจที่ว่าจากการสำรวจโดยภาพถ่ายทางดาวเทียมในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ป่าของประเทศไทยลดลงเหลือแค่เพียง ๒๘.๐๓ % ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ พื้นที่ป่าไม้ที่ถูกทำลายส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบนและทางตะวันตก ซึ่งมีการแผ้วถางพื้นที่เพื่อการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านกันมาก นอกจากนี้ก็ยังมีการลักลอบตัดไม้กันอีกด้วย

Thailand " Land of Smile " ( Part 27 )

Thailand " Land of Smile " ( Part 27 )
Forest Preservation

         It is said that the real wealth of nature can be touched only in a forest. Since the forest brings enormous benefits to mankind and animals, if the entire forest is destroyed, then the world will suffer severe drought which will eventually lead to the extinction of all beings on earth.

         Prior to 1961, the kingdom of Thailand had an abundant forest area of about 53.33% of the country's total area. Unfortunately, a 1988 satellite photo survey showed that forest areas in Thailand had diminished to only about 28.03% of the country's total land area. Most of the devasted forest areas are located in the northeast, the north, the upper part of the central plains and the west ; where there was an extensive slash - and - burn agricultural practice by villagers and illegal log poaching.

Wednesday, April 03, 2013

ความหรรษามีคุณค่าที่เป็นธรรมชาติ ทิวทัศน์มิได้ดีที่มีมากหรืออยู่ไกล




สิ่งที่ให้ความสำราญไม่จำเป็นต้องมาก
ในบ่อน้ำเท่าชามอ่าง
ระหว่างก้อนหินเท่ากำปั้น
ทิวทัศน์ภูเขาลำน้ำก็ครบครัน
ความซาบซึ้งในธรรมชาติไม่จำเป็นต้องไปไกล
ที่หน้าต่างหญ้าคา
ใต้หลังคาบ้านไม้ไผ่
สายลมแสงเดือนก็พอแก่ความสุขใจ


นิทัศน์อุทาหรณ์

หนึ่งบุบผาคือหนึ่งวิมาน

           ชายคนหนึ่ง ชอบสังเกตสรรพสิ่งและสร้างความเพ้อฝันอยู่ตลอดเวลา วันหนึ่ง เขาเพ่งพินิจพิจารณาทรายเม็ดหนึ่งอย่างละเอียดพบว่าโลกในทรายช่างกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน

            เมื่อไปเห็นดอกไม้สวยสดที่ปลูกอยู่บนกองทราย ก็ยิ่งรู้สึกว่าวิเศษเสียจริงๆ เขามองเห็นความสวยงามและความดีความชอบทั้งปวงอยู่ในนั้น ดอกไม้ดอกเดียวเป็นเหมือนดังวิมานแห่งหนึ่ง

            เขาจึงเขียนคำพังเพยไว้ว่า


" หนึ่งเม็ดทรายคือหนึ่งโลก
หนึ่งบุบผาคือหนึ่งวิมาน

สวรรค์หรือนรก

สวรรค์หรือนรก

          บางสิ่งที่เราได้ฟังมานั้นมันอาจจะไม่ใช่ความจริง ฟังดูเหมือนดีดั่งกับเป็นสวรรค์ แต่แท้จริงแล้วมันเลวร้ายยิ่งกว่าตกขุมนรกเสียอีก




By ปรัชญา ซามูไร

Tuesday, April 02, 2013

ดูซิว่า คุณจะใช้คนโง่กับกรรไกรอย่างไร ?

ดูซิว่า คุณจะใช้คนโง่กับกรรไกรอย่างไร ?

          ผมชอบพูดเรื่อง " ปรัชญาแห่งเครื่องมือ " เช่น ที่นี่มีมีดเล่มหนึ่งแหลมคมมาก ถ้ามอบมีดเล่มนี้ให้คนเลว ก็จะเป็นเรื่องอันตรายยิ่ง แต่มีดเล่มเดียวกันนี้ ถ้าอยู่ในมือหมอผ่าตัด ก็จะกลายเป็นมีดช่วยชีวิตคน

           เห็นได้ชัดว่า เครื่องมือนั้นขึ้นอยู่กับเราใช้มันอย่างไร ซึ่งผลที่ได้รับจะแตกต่างกันมาก 

           เรื่องเครื่องมือนี้ นำมาใช้เปรียบกับคนได้เช่นกัน เพราะคนเรานั้นสิบคนก็สิบแบบ แต่ละคนนิสัยต่างกัน ยิ่งกว่านั้น คนมิใช่เครื่องมือ คนมีความคิดและความสามารถ อีกทั้งมีอารมณ์ความรู้สึก จึงค่อนข้างบังคับให้ทำตามใจเราลำบาก แต่เรื่องหนึ่งใดนั้น ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็อาจกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งได้

            ถ้าเราต้องการให้ใครทำอะไร ก็บังคับให้เขาทำได้ ดูเหมือนว่า เขาเป็นม้าหรือสุนัข จะเหมาะกว่า

ฉลาดโต้

ฉลาดโต้

          วันหนึ่ง...

           ฮุ่ยอั๊งเข้าเฝ้าพระเจ้ากั๋งแห่งรัฐซ้อง พระเจ้าซ้องกั๋งทอดพระเนตรเห็นเข้าไม่พอพระทัยตรัสเกรี้ยวกราดว่า

           " ฉันชอบคนกล้า กับคนแข็งแรง ไม่ชอบคนสอนศีลธรรม เจ้ามีอะไรแนะนำ "

           ฮุ่ยอั๊งกราบทูลว่า

           " ถ้าสมมติว่าข้าพระองค์มีวิธีทำให้คนกล้าหาญและคนที่ทรงพลังที่สุดต่อยหรือตีพระองค์ไม่ถูกพระองค์จะทรงโปรดไหม "

           " วิเศษ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ "

           " การที่มีคนต่อยตี ถึงจะไม่ถูกก็เท่ากับเป็นกรหมิ่นพระเกียรติยศของพระองค์ ถ้าข้าพระองค์มีวิธีหยุดมิให้เขากล้าที่จะต่อยตีล่ะ "

           " นั่นยิ่งดีไปใหญ่ "

Monday, April 01, 2013

แล้วแต่วาสนา

แล้วแต่วาสนา

          ฌานาจารย์ฝาเหยียนศึกษาธรรมะจากพระอาจารย์ชิ่งฮุ่ยเป็นเวลานาน ยังไม่บรรลุธรรม จึงกราบลาพระอาจารย์ ออกพเนจรภิกขาจารไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

           มาวันหนึ่ง ท่านผ่านอารามตี้จั้งย่วน หลวงจีนจือเค่อซือ ( เข้าใจอาคันตุกะ ) ผู้มีหน้าที่ต้อนรับอาคันตุกะในอาราม เห็นท่านก็ถามว่า " ฌานาจารย์ท่านนี้จะไปยังที่ใด ? "

           ฝาเยี่ยนตอบว่า " ไม่มีจุดหมาย เพียงพเนจรไปทั่วทุกสารทิศ "

          หลวงจีนจือเค่อซือถามอีกว่า " ฌานาจารย์ที่ธุดงค์แสวงบุญเช่นท่าน มีความรู้สึกอย่างไรต่อชีวิตพเนจร ? "

           ฝาเยี่ยนตอบว่า " พเนจรไปตามวาสนา "