Tuesday, September 25, 2012
สิ่งที่เซนแตกต่างจากคนทั่วไป
สิ่งที่เซนแตกต่างจากคนทั่วไป
ศิษย์คนหนึ่งถามท่านฮุ่ยไห่ว่า " ท่านมีอะไรแตกต่างจากคนอื่นบ้าง "
ท่านฮุ่ยไห่ตอบว่า " เวลาหิว ก็กินข้าว เวลาง่วง ก็นอนหลับ "
ศิษย์คนนั้นรู้สึกแปลกใจมาก ถามว่า " แตกต่างจากคนอื่นตรงไหนครับ ใครๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น หิวก็กินข้าว ง่วงก็นอนหลับ "
ท่านฮุ่ยไห่ตอบว่า " แตกต่างกันตรงมีสมาธิไงล่ะ คนอื่น เวลากินข้าว ก็จะคิดถึงเรื่องอื่น ไม่ตั้งใจกินข้าว เวลานอน ก็คิดโน่นคิดนี่จนนอนไม่หลับ ฝันวุ่นวาย แต่สำหรับข้า เวลากินข้าว ข้าก็ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว ไม่คิดอย่างอื่น เวลานอน ข้าก็หลับลูกเดียว ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่ฝันเลอะเทอะ จึงหลับสนิท หลับสบาย อย่างนี้แตกต่างจากคนอื่นหรือไม่ "
ศิษย์พยักหน้าเห็นด้วย
ท่านฮุ่ยไห่พูดต่อไปว่า " คนส่วนใหญ่ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถทำใจนิ่งๆ ทำงานหนึ่งๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ โดยไม่คิดวอกแวกได้ สมองที่อัดแน่นด้วยคำว่า ' ผลประโยชน์ ' ' ได้ - เสีย ' ก่อเกิดความคิดฟุ้งซ่านมากมาย ความคิดปริมาณมหาศาลเหล่านั้นกลายเป็นภาระทางความคิด มันมิได้ทำให้ชีวิตก้าวหน้าขึ้น แต่กลับทำให้ชีวิตหยุดอยู่กับที่ ทำให้หลงทาง ทำให้สูญเสีย ' จิตปกติ ' ของความเป็นคนไป
แง่คิด
หนึ่งสมองคิดได้พันเรื่องล้านเรื่อง แต่ไม่ควรคิดฟุ้งซ่าน
เมื่อยังเป็นเด็ก จิตของเราไม่ซับซ้อน หิวก็ร้องไห้ ง่วงก็นอนหลับ ยามกินก็กิน ยามนอนก็นอน ไม่คิดมาก แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่สมองของเรามีศักยภาพมากขึ้น เราฉลาดมาก สามารถคิดหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ยามกิน ปากก็กิน สมองก็คิดเรื่องงาน เรื่องเงิน ยามนอน ตาหลับไป สมองก็คิดเรื่องสัพเพเหระ แรกๆ ก็ดีไม่มีปัญหา แต่นานวันเข้า ร่างกายรับไม่ไหว เริ่มป่วย บางคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร บางคนเป็นโรคประสาท ปวดท้อง นอนไม่หลับ ต้องหาหมอ พึ่งยา
อย่างนี้เข้าข่ายฉลาดเกินไปกลายเป็นโง่ โง่จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ หายใจไม่เป็น ต้องเริ่มต้นเรียนรู้กันใหม่ ต้องฝึกทำสมาธิ เรียนรู้วิธีคิดแบบรวมศูนย์ คิดทีละเรื่อง ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน เป็นจิตปกติที่มนุษย์มีมาแต่กำเนิด แต่เนื่องจากเรามีจิตปรุงแต่งมากเกินไป จิตเดิมแท้ก็เลยถูกบดบังหายสิ้น
ดังนั้น เมื่อเราพบผู้ที่ยังมีจิตเดิมแท้อยู่ เราจึงรู้สึกอัศจรรย์ใจเห็นเขาเป็นผู้วิเศษ แต่พระอาจารย์เซนมักพูดเสมอว่า " เซนสูงกว่าปุถุชนนิดเดียว "
ดังที่ท่านฮุ่ยไห่กล่าวว่าท่านแตกต่างจากคนทั่วไปตรงที่เวลากินข้าว ท่านก็รู้ว่ากิน เวลานอนท่านก็รู้ว่านอน กล่าวคือ ท่านก็เหมือนคนทั่วไป ต้องกินต้องนอน เพียงแต่ท่านทำทุกสิ่งด้วยจิตปกติ ไม่ปรุงแต่ง กิจกรรมเหล่านั้นจึงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เป็นธรรมชาติ เวลาทำอะไร ท่านก็รู้ว่ากำลังทำสิ่งนั้น ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดเรื่องอื่น ทำอย่างมีสมาธิ ทำอย่างมีสติ จึงทำเป็น และทำได้ดี
แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่านก็เหมือนทำงานตรงนี้นิดตรงนั้นหน่อย กวาดบ้านยังไม่ทันเสร็จ ก็ไปล้างชาม ล้างชามยังไม่ทันเสร็จ ก็ไปนั่งดูโทรทัศน์ ...อย่างนี้ก็ไม่มีงานใหนสำเร็จลุล่วง
เพราะฉะนั้น เราจึงรวมศูนย์ความคิด หรือคิดอย่างมีสมาธิเหมือนอิคคิวซัง นั่งสมาธิ ใช้หัวสมอง พอสมาธิเกิดก็มีปัญญา สามารถคิดออก รู้แจ้งแทงตลอด คิดจบไปเรื่องหนึ่ง
นี่ไม่ใช่หมายความว่าสมองของเราโง่ลงหรือเสื่อมสมรรถภาพ ความจริง หนึ่งสมองของเรายังคิดได้เป็นล้านๆ เรื่อง เพียงแต่ไม่ควรคิดฟุ้งซ่านเท่านั้นเอง
มนุษย์เรามาไกลเกินไป ไกลจนมองไม่เห็นหรือหลงลืมพื้นฐานของตัวเอง ชีวิตของเราถูกปรุงแต่งจนหรูหราสลับซับซ้อน มิอาจกลับสู่ความเรียบง่าย แต่ยังโชคดีที่มนุษย์รักการศึกษา จึงมีการทบทวนและหวนกลับมาตามหาจิตเดิมแท้ ไม่หลงลอยเตลิดเปิดเปิงจนไม่เป็นผู้เป็นคนไป
By สุภาณี ปิยพสุนทรา ( สว่าง อย่าง เซน )