Sunday, November 30, 2014

POSITIONING ( การวางตัว )

POSITIONING ( การวางตัว )

POSITIONING


Winners position themselves at the mid range, 
They can easily handle changes,
Coming from the middle, they can maneuver left and rights;
Their successes are more achievable with their wide reach

Losers position  themselves at one side,
Coping with only events that come to their corner,
And loose many opportunities in many other locations

Liberators position themselves beyond specific locations,'
They are at one with the whole world,
Adapting nature to serve them and 
Adapting themselves to serve nature;
They gain many simple value and power,
That most people have overlooked.

พญามารและเทพบุตร


พญามารและเทพบุตร

          มีจิตกรชาวตะวันตกคนหนึ่ง อยากจะวาดรูปพระเยซูคริสต์ จึงยินดีจ่ายค่าตัวในราคาสูงเพื่อให้ได้นายแบบที่มีบุคลิกสง่างามน่าเลื่อมใสลักษณะคล้ายพระเยซูคริสต์ จากความพยายามเสาะแสวงหา ในที่สุดก็วาดรูปจนสำเร็จสมประสงค์

          หลายปีผ่านไป มีคนบอกว่า แม้ว่าภาพระเยซูคริสต์จะดูศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้ามีภาพมารมาเปรียบเทียบ จะยิ่งสื่อให้เห็นระหว่างความดีและความชั่ว จิตรกรท่านนี้จึงเที่ยวเสาะหาคนเลวที่มีใบหน้าขี้ริ้วขี้เหร่มาเป็นแบบ ต่อมาได้ทราบว่ามีนักโทษในคุกคนหนึ่งใจบาปหยาบช้า ทำชั่วได้สารพัดอย่าง หน้าตาดุดันเหมือนพญามารไม่ปาน หลังจากที่จิตรกรได้ปรึกษากับผู้คุมเรือนจำ จึงได้รับอนุญาตให้ใช้ตัวนักโทษคนนี้เป็นแบบในช่วงที่วาดภาพ จิตรกรรู้สึกว่านายแบบคนนี้หน้าตาคุ้นมาก หลังจากได้พูดคุยสนทนากัน จึงได้รู้ว่าที่แท้นายแบบคนนี้กับคนที่เคยเป็นแบบให้เขาวาดรูปพระเยซูคริสต์คือคนเดียวกัน เพราะหลังจากที่เป็นแบบให้เขาในคราวนั้น ทำให้ได้รับเงินค่าตอบแทนสูงมากจึงใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย มีชีวิตเหลวเแหลก ในที่สุดก็ตกอับติดคุกติดตะราง เมื่อจิตรกรได้ฟังแล้วนอกจากจะรู้สึกเสียดายอนาคตแทนเขาแล้ว ในส่วนลึกยังรู้สึกสะท้อนใจว่า ไม่ว่าเทพบุตรหรือพญามาร ผู้สวมบทที่แท้จริงคือมนุษย์เรานี่เอง

          ในพระพุทธศาสนาก็มีนิทานคล้ายกันนี้เล่าว่า คราวหนึ่งท่านพระสารีบุตรได้ไปเยี่ยมเพื่อที่จากกันนาน พบว่าเพื่อนท่านมีหน้าตาเหี้ยมเกรียมจึงถามถึงสาเหตุที่มา เพื่อนบอกว่าระยะนี้กำลังแกะสลักรูปยักษ์ตนหนึ่งอยู่ พระสารีบุตรจึงบอกกับเพื่อนว่า เพราะแกะสลักยักษ์มาร มองเห็นแต่หน้ายักษ์หน้ามารที่ดุดัน หน้าตาตนเองจึงพลอยอัปลักษณ์ไปด้วย ถ้าเปลี่ยนไปแกะสลักพระพุทธรูปในจิตใจจะมีแต่ความเมตตากรุณา ทำให้กายใจสุขุมเยือกเย็นตามไปด้วยอย่างนี้ไม่ดีกว่าหรือ ? เมื่อเพื่อนท่านได้ยินดังนั้นจึงเปลี่ยนไปแกะสลักพระพุทธรูปตามที่ว่า หลายปีผ่านไป จิตใจเปลี่ยน หน้าตาก็เปลี่ยน กลายเป็นคนที่มีใบหน้าอิ่มเอิบ มีเมตตากรุณาน่าชิดใกล้

Friday, November 28, 2014

สัตว์กายสิทธิ์จอมปลอม


สัตว์กายสิทธิ์จอมปลอม

          ครั้งหนึ่งอากาศร้อนจัดและแห้งแล้งมาก น้ำในบึงแห้งขอด พวกงูที่อยู่ในบึงจึงปรึกษาหารือกันในเรื่องย้ายที่อยู่ งูเล็กๆ ตัวหนึ่งกล่าวกับบรรดางูตัวใหญ่ทั้งหลายว่า " ถ้าพวกท่านงูใหญ่พากันเลื้อยไปข้างหน้าปล่อยให้พวกข้าพเจ้างูเล็กๆ เลื้อยตามหลังแล้ว พอคนเห็นเราเข้าก็จะถูกตีตาย ทางที่ดีควรให้พวกงูตัวเล็กๆ ขึ้นขี่หลังงูตัวใหญ่ไป เวลาคนเห็นเข้าก็จะรู้สึกแปลกประหลาดและคิดว่าพวกเราเป็นสัตว์กาวยสิทธิ์ พวกเขาก็จะได้กลัวเกรงพวกเรา "

          และแล้ว บรรดางูใหญ่ก็ให้งูเล็กเอาปากงับหางของของตนเองขึ้นขี่หลังพากันเลื้อยไปตามถนน คนที่ได้เห็นต่างก็ตกใจกลัว วิ่งหนีและตะโกนว่า " งูกายสิทธิ์มาแล้ว งูกายสิทธิ์มาแล้ว ! "

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

ใกล้ศาลมองข้ามเจ้า


ใกล้ศาลมองข้ามเจ้า

         ฌานาจารย์เต้าฮุ่ยไปพบฌานาจารย์เสี่ยฟงอี้ชุนครั้งแรกถามว่า " เจ้าเป็นคนที่ไหน ? "

         เต้าฮุ่ยตอบว่า " อาตมาเป็นคนอำเภออุนโจว "

         ฌานาจารย์เสี่ยฟงจึงถามต่อไปว่า " ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เป็นคนบ้านเดียวกับอี้สิ่วเจี๋ย ( รู้แจ้งในคืนเดียว ) ? " 

         เต้าฮุ่ยงง จึงถามไปว่า อี้สิ้วเจี๋ยเป็นใคร ? "

         ฌานาจารย์เสี่ยฟงตอบว่า " ในหมู่บ้านของเจ้ามีฌานาจารย์รูปหนึ่งชื่อ หย่งเจียเสฺวียนเจี๋ย ขณะที่ท่านพบพระเว่ยหลางมหาครูบา ( พระสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ของจีน ) สนทนากันเพียงไม่กี่คำ ท่านก็ขออำลาพระเว่ยหลางมหาครูบาพยายามรั้งท่านพักแรมหนึ่งคืน และภายในคืนเดียวนี้เอง ท่านก็รู้แจ้งเห็นจริง คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า อี้สิ่วเจี๋ย ( รู้แจ้งในคืนเดียว ) เจ้าไม่รู้จักแม้กระทั่งผู้อาวุโสบ้านเดียวกัน อาตมาควรจะทุบเจ้าด้วยไม้พลองสักตั้ง แต่วันนี้อาตมาไม่เอาโทษเจ้า "

Tuesday, November 25, 2014

ศิลปะของการปฏิเสธ


ศิลปะของการปฏิเสธ

          คุณเคยถูกคนปฏิเสธบ้างมั้ย ในตอนนั้นรู้สึกเข้าใจ รับได้ หรือว่ารู้สึกลำบากใจ

          คนที่เป็นผู้บริหารที่ดี คนที่มีความสามารถจะไม่ปฏิเสธคนง่ายๆ แม้ว่าจะต้องปฏิเสธก็ควรมีสิ่งทดแทน ต้องเข้าใจถึงศิลปะของการปฏิเสธ

          เมื่อเรามีสิ่งที่จะต้องขอร้องผู้อื่น หรือว่าต้องติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ถ้าฝ่ายตรงข้ามตอบรับทันทีเราย่อมดีใจ แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามยึกยักโยกโย้ อย่างนั้นก็ไม่ได้อย่างนี้ก็ไม่ดี เราต้องรู้สึกว่าเขาเล่นแง่ ไม่มีน้ำใจ ร่วมงานด้วยยาก

          การปฏิเสธน้ำใจคน ปฏิเสธเยื่อใย สาเหตุเป็นเพราะกำลังความสามารถ ความเมตตากรุณา คุณธรรมไม่เพียงพอ คนที่มีความสามารถจะไม่ปฏิเสธคนง่ายๆ พ่อแม่รับปากสิ่งที่ลูกๆ ขอร้อง ขอเพียงเป็นเรื่องดี เรื่องกุศล ทำไมต้องปฏิเสธ ถึงแม้ว่ามีเหตุผลจำเป็นต้องปฏิเสธ ก็ยังต้องอธิบายจนลูกๆ พอใจและเข้าใจ จึงจะถือว่าบรรลุผลของการปฏิเสธ

จดหมายอิ่ง ความหมายเอี้ยน


จดหมายอิ่ง ความหมายเอี้ยน

         ชายผู้หนึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองอิ่งรัฐฉู่ เขียนจดหมายถึงเพื่อนที่เป็นอัครมหาเสนาบดีในรัฐเอี้ยน ขณะที่เขาเขียนนั้นเป็นเวลาค่ำ เนื่องจากเทียนวางไว้ในที่ต่ำแสงสว่างไม่พอ เขาจึงบอกคนใช้ว่า " ยกเทียน ! " เวลาที่เขาพูดนั้นเผลอเขียนคำว่า " ยกเทียน " สองคำนี้ลงไปบนจดหมายด้วย

         เมื่ออัครมหาเสนาบดีของรัฐเอี้ยนได้รับจดหมายของเพื่อนฉบับนี้อ่านถึงคำว่า " ยกเทียน " ที่เขียนขึ้นมาลอยๆ ในจดหมายแล้วคิดอยู่หลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ เขาใช้เวลาคิดอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็พูดขึ้นด้วยความดีใจว่า " พุทโธ่เอ๋ย เพื่อนอุตส่าห์เขียนให้มันเข้าใจยากไปเอง ที่ว่ายกเทียนนั้นก็เพื่อจะมองได้ชัดเจน ถ้าจะมองให้ชัดก็จะต้องใช้คนที่มีความรู้ความสามารถ "

         อัครมหาเสนาบดีจึงได้นำความคิดเห็นนี้กราบทูลกษัตริย์ของรัฐเอี้ยนซึ่งพระองค์ก็ทรงเห็นด้วย หลังจากนั้นรัฐเอี้ยนก็สนใจเลือกเลื่อนและใช้คนที่มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษ จึงทำให้เกิดผลดีอย่างมากในด้านการปกครอง

          ถึงแม้คำว่า " ยกเทียน " จะเป็นผลดีแก่การปกครองของรัฐเอี้ยน คำว่า " ยกเทียน " ในจดหมายของคนเมืองอิ่งหาได้หมายความเช่นนั้นไม่

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

กุญแจดอกหนึ่ง


กุญแจดอกหนึ่ง

         ครั้งหนึ่ง ถึงเวรฌานาจารย์เจ้าโจวเข้าครัวเป็นพี่เลี้ยง ท่านปิดประตูติดไฟในครัวจนควันโขมง จากนั้นตะโกนลั่นว่า " ไฟไหม้ ! ช่วยด้วย ! มาช่วยกันดับไฟเร็ว ! "

         พระเณรในวัดฮือกันเข้ามาช่วย แต่ท่านกลับหมกตัวอยู่ในห้องครัวพูดว่า " อาตมาถามปัญหาพวกเจ้า ถ้าตอบถูก อาตมาจะเปิดประตู "

         พระเณรทุกรูปต่างมองหน้ากันไปมา รู้สึกพิศวงงงงวย ไม่รู้ว่าฌานาจารย์เจ้าโจวเล่นลวดลายอะไรกันแน่

         ขณะที่พระเณรทั้งหลายลังเลอยู่นั้นเอง ฌานาจารย์หนานเฉฺวียนก็โยนกุญแจดอกหนึ่งเข้าไปทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ

         ฌานาจารย์เจ้าโจวรับกุญแจแล้ว เปิดประตูเดินออกมาเอง ทั้งสองพบหน้ากันก็หัวเราะชอบใจ

ตัวเอกกับตัวประกอบ


ตัวเอกกับตัวประกอบ

         หลายสิบปีก่อน การประกวดภาพยนต์รางวัลตุ๊กตาทองออสการ์หรือรางวัลม้าทองคำไต้หวัน จะมีแต่รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม นักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม บทภาพยนต์ยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม เป็นต้น แต่หลายปีมานี้เริ่มมีรางวัลเพิ่มขึ้นมาคือ นักแสดงตัวประกอบฝ่ายชายยอดเยี่ยม และนักแสดงประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม

         นักแสดงนำหรือว่าตัวเอก ไม่ได้หมายถึงสถานะ เช่น ในนิยายเรื่องสามก๊กตอนที่เล่าปี่ เตียวหุย และกวนอูสาบานเป็นพี่น้องที่สวนดอกท้อ ตัวเอกที่แท้จริงในฉากนี้คือขงเบ้ง พระเจ้าซ่งเหยินจงได้รับการเชิดชูว่าเป็นกษัตริย์ที่ชาญฉลาดในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่ผู้ที่ถูกยกย่องกล่าวขานจนถึงทุกวันนี้กลับเป็นท่านเปาบุ้นจิ้น ดังคำที่ว่า " ชีวิตเหมือนละคร ละครเหมือนชีวิต " ชีวิตในปัจจุบันนี้ ตัวเอกไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ขอเพียงแต่แสดงบทบาทฐานะของตนให้ดีเท่านั้น ตัวประกอบก็คือตัวเอกนั่นเอง

         ความจริงตัวประกอบใช่ว่าจะด้อยกว่าตัวเอกเสมอไป ในชีวิตจริงที่เหมือนละครนี้ เพียงแค่แสดงบทบาทของตัวประกอบให้ดีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว รองประธานาธิบดีไต้หวันหลี่ซิ่วเหลียนเคยเปรียบตนเองเป็น " แจกัน " และรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับบทที่ตนได้รับนัก ความจริงแจกันก็มีประโยชน์ใช้สอยของมันถ้าสามารถทำตัวเป็นแจกันประดับห้องที่ทำให้ห้องทั้งห้องดูสดใส ชวนให้เพลินตาเพลินใจ ทำให้คนรู้สึกว่าขาดแจกันนี้ไม่ได้ นี่คือความสำเร็จ

ลากหางบนเลน


ลากหางบนเลน

         จวงจื่อไปนั่งตกเบ็ดที่ริมฝั่งแม่น้ำฝูแทบทุกวันกษัตริย์แห่งรัฐฉู่ทรงทราบก็ตรัสสั่งให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สองท่านไปหาจวงจื่อ เมื่อขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองไปพบจวงจื่อที่ใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำจึงแจ้งแก่เขาว่า " พระมหากษัตริย์ของเราทรงโปรดปรานและนับถือท่าน พระองค์สั่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปช่วยทำการปกครองรัฐฉู่

         จวงจื่อยังคงนั่งถือคันเบ็ดเฉยอยู่เหมือนไม่ได้ยินขุนนางผู้ใหญ่จึงต้องพูดซ้ำ จวงจื่อนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า

         " ข้าพเจ้าได้ฟังคนพูดกันว่าที่รัฐฉู่มีเต่าวิเศษตัวหนึ่งตายไปนานถึงสามพันปีแล้ว มีคนเอากระดองมาแขวนไว้ที่ศาลเจ้า และมีคนพากันมากราบไหว้ทุกวัน เรื่องนี้เป็นความจริงไหม ? "

         ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองพยักหน้ากล่าวว่า " เรื่องนี้เป็นความจริง "

         " ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอถามท่านสักหน่อย " จวงจื่อพูด " เต่าตัวนี้ยินดีที่จะตายเพื่อเหลือกระดองไว้ให้คนกราบไหว้บูชา หรือว่ายินดีที่จะมีชีวิตอยู่และคลานไปบนเลน "

         ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนั้นต่างมองหน้ากัน แล้วตอบว่า " ย่อมสมัครใจจะมีชีวิตอยู่และคลานไปบนเลน "

         จวงจื่อหัวเราะด้วยเสียงอันดังกล่าวว่า " ถูกแล้วข้าพเจ้าก็ต้องการจะลากหางคลานไปบนเลนเหมือนกัน ! "

บันทึกใน " จวงจื่อ "

Sunday, November 23, 2014

เขาว่าก็ว่าตาม


เขาว่าก็ว่าตาม

         พระรูปหนึ่งไปเยี่ยมฌานาจารย์เถี่ยโจว ขอร้องให้ท่านช่วยอธิบายคัมภีร์ ' หลินจี้ลู่ '

         ฌานาจารย์เถี่ยโจวตอบว่า " ต้องไปหาฌานาจารย์หงชวน ที่วัดหยวนเจี๋ยซือ ท่านสามารถอธิบายคัมภีร์ ' หฃินจี้ลู่ ' ได้ "

         พระรูปนั้นยืนยันว่า " ไม่ อาตมาเคยได้ยินฌานาจารย์หงชวนอธิบายคัมภีร์นี้แล้ว ส่วนท่านเป็นศิษย์ก้นกุฏิของฌานาจารย์ตีสุ่ย วัดเทียนหลงซื่อ ยังไงอาตมาก็จะขอฟังคำอธิบายจากท่านให้ได้ "

         เมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ฌานาจารย์เถี่ยโจวจึงพาพระรูปนั้นไปฝึกหมัดมวยด้วยกันที่ลานฝึกวิทยายุทธ์ จนกระทั่งเหนื่อยหอบจึงหยุดพัก ฌานาจารย์ด้านหนึ่งเช็ดเหงื่อ อีกด้านหนึ่งถามว่า " เป็นอย่างไร อาตมาอธิบายคัมภีร์ ' หลินจี้ลู่ ' ได้ดีไหม ? "

Friday, November 21, 2014

อารมณ์เสียกับระดมความเพียร


อารมณ์เสียกับระดมความเพียร

         ชีวิตคนมีทุกข์ 8 หนึ่งในทุกข์ 8 นี้มี " ทุกข์เพราะเคียดแค้น " คือ ทุกข์เพราะประสบกับเรื่องราวหรือคนที่ไม่ถูกใจ ในจิตใจเกิดความเคืองแค้น หงุดหงิด อารมณ์เสีย จึงทุกข์สุดจะบรรยาย

         ยามที่ยังเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ หรือพ่อแม่มักจะย้ำสอนเราเสมอว่า อย่าอารมณ์เสีย แต่เราจะเป็นประเภทอารมณ์บูดอยู่เสมอ มักหาเรื่องระบายอารมณ์ใส่ผู้อื่น เช่นเห็นคนไม่ญาติดีกับเรา ไม่เคารพเรา เราก็โมโหอารมณ์เสีย เห็นคนอื่นดี มีเกียรติ เราก็อารมณ์เสีย คนอื่นสอบติดมีผลสำเร็จ มีชื่อเสียง เราก็อารมณ์เสีย คนอื่นไม่ญาติดีกับเราเราก็อารมณ์เสีย คนอื่นทำดีเกินหน้าเราก็อารมณ์เสีย หรือบางทีเป็นเพราะตัวเองอ่อนไหวเกินไป เพียงแค่คำพูดกหรือสายตาคนอื่นก็ทำให้ตนเองอารมณ์เสียได้

         อารมณ์เสีย คนปัจจุบันอารมณ์เสียง่ายเกินไป ในสังคมจึงเต็มไปด้วยการฆ่าแกง ไฟแค้น ความโกรธ ความชิงชัง ตลอดจนประเภทเกาเหลาไม่กินเส้น อารมณ์บูด บรรยากาศเป็นพิษปกคลุมไปทั่ว แม้ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มักจะสอนให้เราต้องรู้จัก " ระดมความเพียร " อย่า " อารมณ์เสีย " แต่ยามที่เราเผชิญกับอุปสรรคขวากหนาม เรามักจะขาดความอดทนอดกลั้น ไม่รู้จักเตือนตนเองให้ " ระดมความเพียร "

Thursday, November 20, 2014

ต้นข้าวกับต้นหญ้า


ต้นข้าวกับต้นหญ้า

          มีชายสองคน คนหนึ่งชื่อกัง อีกคนหนึ่งชื่อหวู่ ทั้งสองคนทำนาปลูกข้าว เวลานั้นข้าวในนางอกงามขึ้นมาแล้วแต่ว่ามีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด ทั้งสองคนจึงลงมือถอนหญ้าทิ้งไปส่วนหนึ่งซึ่งไม่สามาถแก้ปัญหาได้ เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในที่สุดชายที่ชื่อกังจึงใช้มีดดายทั้งต้นหญ้าและต้นข้าวแล้วจุดไฟเผาเสีย เขาคิดว่าทำเช่นนี้คงจะปราบต้นหญ้าได้ ส่วนชายที่ชื่อหวู่ถอนต้นหญ้าทิ้งหลายวันในที่สุดก็ขี้เกียจจึงปล่อยให้หญ้างอกงามต่อไป

          ผลในที่สุดนาของชายชื่อกัง แม้จะดายเอามาเผาหมดแล้ว แต่ต้นหญ้าก็กลับงอกงามขึ้นมาอีก ส่วนในนาของชายชื่อหวู่นั้น ข้าวฟ่างกลายเป็นหญ้า ข้าวที่ปลูกก็เปลี่ยนพันธุ์ไปใช้เป็นอาหารไม่ได้ ทั้งสองคนได้แต่มองหญ้ากันแล้วหัวเราะอย่างขมขื่นที่พวกเขาจะต้องอดกินข้าว

บันทึกใน " หยี่หลีจื่อ "

เขียนกลับหัวกลับหาง


เขียนกลับหัวกลับหาง

          สามเณรรูปหนึ่งถามฌานาจารย์อู๋หมิง ว่า " อาจารย์ คนเลวที่ไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่แล้ว ย่อมไม่ใช่คน ในเมื่อไม่ใช่คน เราผู้ออกบวชควรช่วยเหลือคนประเภทนี้หรือไม่ ? "

          ฌานาจารย์ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น แต่หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตัวอักษร " ฉัน " แบบกลับหัวกลับหาง แล้วถามสามเณรว่า " นี่คืออักษรอะไร ? "

          สามเณรตอบว่า " คือตัว ' ฉัน ' แต่เขียนกลับหัวกลับหาง "

          ฌานาจารย์ถามอีกว่า " ในเมื่อเขียนกลับกัน ยังนับว่าเป็นตัวอักษร ' ฉัน ' หรือไม่ ? " สามเณรตอบว่าไม่นับ ! "

          ฌานาจารย์ถามต่อไปว่า " ในเมื่อไม่นับ ทำไมเจ้ายังบอกว่าคือตัว ' ฉัน ' ล่ะ ? "

          สามเณรรีบเปลี่ยนคำตอบว่า " นับ ! "

          ฌานาจารย์ถามอีกว่า " ในเมื่อนับ ทำไมเจ้าบอกกลับหัวกลับหางล่ะ ? " สามเณรนิ่งอึ้ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร

ทุกเรื่องให้ดูสองด้าน


ทุกเรื่องให้ดูสองด้าน

         ทุกเรื่องล้วนมีสองด้าน ไม่ว่าจะเป็น " ดี " " ชั่ว " " ใช่ " " ไม่ใช่ " หรือจะเป็น " เลว " " ดี " " ถูก " " ผิด " "มี " " ไม่มี " ทั้งหมดล้วนมีสองด้าน

         ทว่าดูผิวเผินเหมือนมีสิองด้านที่ตรงกันข้ามกัน แต่ความจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปหมดทุกเรื่อง บางเรื่องอาจจะดีทั้งสองด้าน และบางเรื่องก็อาจจะเลวทั้งสองด้าน หรือบางครั้งที่ " ใช่ " ยังมีที่ " ไม่ใช่ " รวมอยู่ หรือที่ " ไม่ใช่ " มี " ใช่ " รวมอยู่ด้วยเช่นกัน

         บางทีสองคนถกเถียงกัน ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง เพราะต่างมีจุดยืนของตนเอง ไม่ต้องพูดว่าใครถูกใครผิด ใครใช่ใครไม่ใช่ เช่นลูกๆ บอกว่า พ่อน่ารักที่สุด หรือว่าแม่น่ารักที่สุด ต่างถูกด้วยกันทั้งคู่ แต่ว่าไม่สมบูรณ์ฺเพราะที่ถูกควรจะพูดว่า พ่อแม่น่ารักทั้งคู่

         พุทธศาสนิกชนบอกว่าพระพุทธศาสนายิ่งใหญ่ที่สุด คริสต์ศาสนานิกชนบอกว่าศาสนาคริสต์ยิ่งใหญ่ที่สุด พูดถูกทั้งคู่ แต่ว่าภ้าพูดด้วยความเคารพฝ่ายตรงข้ามได้ เช่นพุทธศาสนิกชนควรบอกว่าศาสนาคริสต์ก็ยิ่งใหญ่เหมือนกัน ส่วนคริสต์ศาสนิกชนบอกว่าพระพุทธศาสนาก็ยิ่งใหญ่เช่นกัน พูดอย่างนี้จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น บางครั้งความ " ถูกผิด " ขึ้นอยู่กับจุดยืนของแต่ละคน หรือเพราะว่าเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นว่าของตนถูก จึงหามาตรฐานได้ยาก

" ข่าย " ที่มีตาเดียว


" ข่าย " ที่มีตาเดียว

          เมื่อคนที่มีอาชีพจับนกรู้ล่วงหน้าว่าจะมีนกบินมา เขาจึงเอาข่ายไปขึงดักไว้ ในที่สุดก็จับนกได้ไม่น้อย มีายผู้หนึ่งเฝ้าดูการจับนกครั้งนี้ด้วยความสนใจ เขาสังเกตเห็นว่านกแต่ละตัวที่จับได้เอาหัวมุดติดกับตาข่ายมาตัวละตาเดียวเท่านั้นเขาจึงคิดอยู่ในใจว่า เมื่อเป็นเช่นนี้จะต้องทำข่ายที่มีตามากมายให้เสียเวลาทำไม

          เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ก็หาด้ายสั้นๆ มาผูกเป็นวงกลมเล็กๆ หลายวง เตรียมเอาไปจับนก ชาวบ้านเห็นเข้าก็แปลกใจถามเขาว่า " นั่นอะไร ? "

          ชายผู้นั้นตอบว่า " นี่เป็นเครื่องดักนก เมื่อนกตัวหนึ่งเอาหัวลอดเข้าตาข่ายเพียงละตาเดียว แล้วข้าพเจ้าจะต้องไปนั่งเหยียบข่ายทั้งผืนให้เสียเวลาทำไม "

บันทึกใน " เซินเจี้ยน "

Tuesday, November 18, 2014

หอมจรุงแบบฌาน


หอมจรุงแบบฌาน

         หญิงชรานางหนึ่งมีลูกชายไม่เอาไหน นอกจากไม่ทดแทนบุญคุณมารดาที่เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่แล้ว ยังมักดุด่าทุบตีมารดา ไม่เกรงกลัวบาปอีกต่างหาก

         ฌานาจารย์เมี่ยวซ่านรู้เรื่องนี้เข้า ก็แวะเวียนไปปลอบโยนให้กำลังใจหญิงชราเสมอ ทำให้ลูกชายหญิงชราเกลียดชังท่านอย่างยิ่ง

         ครั้งหนึ่ง ขณะที่ฌานาจารย์เมี่ยวซ่านแวะไปเยี่ยมหญิงชราอีก ก็ถูกถังใส่อุจจาระเต็มครอบใส่ศรีษะ  โดยฝีมือลูกชายหญิงชรา ซึ่งได้ตระเตรียมล่วงหน้าไว้แล้ว

         ฌานาจารย์เมี่ยวซ่านแม้จะถูกกลั่นแกล้งเช่นนั้น แต่ท่านหาโกรธไม่ เพียงเดินไปที่ริมคลองล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดท่ามกลางจีนมุงตบมือหัวเราะชอบใจ

          ฌานาจารย์เมี่ยวซ่านพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า " อันที่จริงไม่มีอะไรน่าหัวเราะดอก ? ร่างกายมนุษย์คือถังอุจจาระใบใหญ่ แหล่งรวมสิ่งสกปรกโสมมอยู่แล้ว ลูกชายหญิงชราเพราะเมตตาดอกจึงครอบถังอุจจาระใส่อาตมา เพิ่ม ' หัวเชื้อ ' ให้ อาตมาคิดจะขอบคุณเขาอยู่พอดี "

การรู้จักตนเอง


การรู้จักตนเอง

         มนุษย์ มีดวงตาหนึ่งคู่ที่สามารถมองโลก มองสรรพสิ่ง มองผู้อื่นแต่มองไม่เห็นตนเอง

         มนุษย์ มีจิตวิญญาณที่รู้จักแยกแยะ รู้จักผู้อื่น รู้จักสรรพสิ่ง รู้จักโลก แต่ไม่รู้จักตนเอง

         มนุษย์ เห็นข้อผิดพลาดของผู้อื่น ไม่เห็นข้อผิดพลาดของตนเอง มองเห็นความโลภของผู้อื่น แต่มองไม่เห็นความตระหนี่ของตนเอง มองเห็นความผิดของผู้อื่น แต่มองไม่เห็นความหลงของตนเอง

         มนุษย์ สามารถรู้จักโลก รู้จักประวัติศาสตร์ รู้จักสังคม รู้จักญาติมิตรแต่ไม่รู้จักตนเอง

         มนุษย์ ถ้าส่องกระจกตัวเอง จะมองเห็นหน้าตาตนเองจากกระจกเงารู้ได้ว่าตนเองขี้เหร่หรือสวยงามเพียงใด แต่ไม่อาจมองลึกลงไปในจิตใจ ถ้าหากมีกระจกสักบานที่สามารถส่องเห็นภายในจิตใจของตนเองได้ ก็อาจมองเห็นความโลภ ความหลง ความอิจฉาริษยา ความเคียดแค้นชิงชัง ความเห็นแก่ตัว หรือ อื่นๆ อีกมากมายที่มีอยู่ภายในจิตใจนั้น

นกเค้าแมวกับนกเขา


นกเค้าแมวกับนกเขา

         เมื่อนกเค้าแมวบินมาเจอนกเขา ทั้งสองจึงร่อนลงบนกิ่งไม้แล้วคุยกัน

         " ดูท่าทางแกรีบร้อนมาก เตรียมจะไปไหน ? " นกเขาถามนกเค้าแมว

         " หมู่บ้านตะวันตกที่อยู่เดิมของแกก็ดีอยู่มิใช่หรือ ทำไมจึงคิดจะย้ายไปอยู่หมู่บ้านตะวันออกล่ะ ? " นกเขาถามอีก

         " เพราะข้าอยู่ที่หมู่บ้านตะวันตกต่อไปไม่ได้ คนที่นั่นพากันเกลียดเสียงร้องของข้าที่ร้องในเวลากลางคืน ! "

         นกเขาจึงเตือนนกเค้าแมวว่า " เสียงร้องของแกไม่น่าฟัง ยิ่งในตอนกลางคืนเวลาแกร้องเสียงของแกจะรบกวนคนที่พักผ่อนนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้คนจึงพากันไม่ชอบแก แต่ถ้าแกเปลี่ยนเสียงร้องเสียใหม่หรือไม่ก็ไม่ร้องในเวลากลางคืนแล้ว แกก็ยังคงอยู่ในหมู่บ้านตะวันตกต่อไปได้ไม่ใช่หรือ ? ถ้าแกไม่แก้จากตัวของแกเองแล้ว ถึงแกจะย้ายไปอยู่หมู่บ้านตะวันออก คนในหมู่บ้านนั้นก็จะไม่ชอบแกเช่นเดียวกัน ! "

บันทึกใน " ซ่อหยวน "

ไม่เสียใจภายหลัง


ไม่เสียใจภายหลัง

          พระรูปหนึ่งถามฌานาจารย์หยุนจฺวี ว่า " ศิษย์ทำอะไรเสร็จแล้วมักรู้สึกเสียใจเสมอ ขอเรียนถามอาจารย์ว่า จะมีวิธีใดทำให้ตัวเองไม่ต้องเสียใจบ้าง ? "

          ฌานาจารย์ตอบว่า " ลองฟังอาตมาพูดถึงความเสียใจ 10 ประการก่อน พบอาจารย์ไม่ศึกษา ต้องเสียใจ พบปราชญ์ไม่คบ ต้องเสียใจ พบปะผู้ประสบภัยไม่ช่วย ต้องเสียใจ พบธรรมไม่ผดุง ต้องเสียใจ ต่อพ่อแม่ ไม่กตัญญู ต้องเสียใจ ต่อนาย ไม่ซื่อสัตย์ ต้องเสียใจ ไม่รักชาติ เมื่อสิ้นชาติ ต้องเสียใจ มีทรัพย์ไม่ทำบุญ เมื่อสูญทรัพย์ ต้องเสียใจ และไม่ปฏิบัติธรรม ตายแล้ว ต้องเสียใจ อาตมาขอถามเจ้าหน่อย เจ้าจัดอยู่ในประเภทใหน ? "

          พระรูปนั้นตอบว่า " เรื่องเหล่านี้ อาตมาเคยเสียใจมาแล้ว อาจารย์โปรดเมตตาช่วยชี้ทาง ! "

Sunday, November 16, 2014

ชีวิตที่แจ่มใส


ชีวิตที่แจ่มใส

         สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในโลกนี้คือชีวิต สิ่งที่โหดเหี้ยมที่สุดคือการฆ่าสิ่งมีชีวิต

         ชีวิตเป็นไปตามกฎแห่งวิบากกรรม บ้างก็บินอยู่บนท้องฟ้า บ้างแหวกว่ายในน้ำ บ้างคลานไปบนพื้นดิน บ้างอยู่บนป่าเขา บ้างเป็นพวกครึ่งบกครึ่งน้ำ ตลอดจนประเภทไม่มีขาสองขา หรือหลายขา เป็นต้น ในบรรดาชีวิตที่หลายหลากเหล่านี้ บางชีวิตอยู่ได้ตามลำพัง บางชีวิตอยู่กันเป็นหมู่ และบางชนิดเป็นพวกกาฝาก ยังมีประเภทที่มีรูป และไร้รูป เช่น พวกโอปปาติกะ พวกภูตผีวิญญาณ พวกนี้คือประเภทไร้รูป บางชีวิตเคลื่อนไหวได้ บางชีวิตไม่เคลื่อนไหว เช่น โต๊ะเก้าอี้ ดอกไม้ใบหญ้า พวกนี้ไม่เคลื่อนไหว

          ชีวิต เป็นประเภทของการเวลา ประเภทของความรัก ในโลกนี้ บางชีวิตเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของตนเอง จึงรุกรานชีวิตอื่นเพื่อสนองความต้องการของตน เช่น ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่บางชีวิตกลับใช้กำลังของตนแลกมาซึ่งความสุขของสรรพสัตว์นับพันนับหมื่น เช่น วีรชนคนกล้านับแต่โบราณมาทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนนักเผยแผ่ศาสนาบางส่วนที่ให้บริการปวงชนเป็นต้น

เรื่องของคนใจร้อน


เรื่องของคนใจร้อน

         ในอดีตกาล มีชายใจร้อนคนหนึ่งไปที่ตลาด พอเขาก้าวไปในร้านขายอาหาร ยังไม่ทันสั่งว่าจะกินอะไร เขาก็ตะโกนว่า " ทำไมไม่เอาบะหมี่มาอีก ! " พอเขานั่งลง เจ้าของร้านขายอาหารที่เป็นคนใจร้อนเหมือนกันก็เอาบะหมี่ที่กำลังร้อนๆ ชามหนึ่งมาเทลงบนโต๊ะที่เขานั่ง พูดว่า " แกรีบกินเสียข้าจะเอาชามไปล้าง ! "

         ชายผู้นั้นไม่พอใจมาก พอกลับไปถึงบ้านก็เล่าให้เมียของเขาฟังและว่า " มันทำให้ข้าโมโหจนจะตาย... " เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ เมียของเขาก็คว้าห่อผ้าบอกกับเขาว่า " เมื่อแกตายฉันจะไปแต่งงานใหม่ " แล้วภรรยาของเขาก็ไปแต่งงานใหม่

         เวลาผ่านไปหนึ่งคืนเท่านั้น รุ่งเช้าสามีคนใหม่ของนางก็เสนอหย่า หล่อนแปลกใจมาก ถามเขาว่าทำไมจึงจะหย่า สามีคนใหม่พูดด้วยความไม่พอใจว่า " เพราะจนป่านนี้ แกก็ยังไม่คลอดลูกชายออกมาสักคน "

บันทึกใน " เหย่ซู่กงกวน "

Saturday, November 15, 2014

เช้าอย่าง เย็นอีกอย่าง


เช้าอย่าง เย็นอีกอย่าง

        บทนี้เป็นการสอนที่เน้นไปในเรื่องวิธีการทำงานของผู้นำที่มีนโยบายไม่แน่นอน คำสั่งจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น ตอนเช้าสั่งให้ทำอย่างหนึ่งพอตกเย็นก็เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้เป็นอีกอย่างหนึ่งซึ่งสร้างความสับสนให้กับคนใต้บังคับบัญชาได้ง่ายๆ

         และเขายังหมายความถึงคนที่มีใจคอโลเล ทำอะไรจับจด เดี๋ยวทำเรื่องนี้สักพักเปลี่ยนไปทำอีกเรื่อง สรุปแล้วไม่ได้ดีเลยสักอย่าง

         ในวงการธุรกิจการค้านั้น คนที่เป็นผู้นำนั้นต้องมีใจคอที่หนักแน่นเป็นสำคัญ ทีนี้จะขอยกตัวอย่างในเรื่องการเป็นผู้นำที่ดีมาให้ทราบ

         คุณสมบัติของผู้นำเพื่อขับเคลื่อนอค์กรเดินหน้าอย่างมีชีวิต

         1. คนที่เป็นหัวหน้างานที่ดีต้องรู้จักคน รู้จักธุรกิจ

          เมื่อรู้จักธุรกิจแล้วยังต้องรู้จักลูกน้อง ซึ่งไม่ใช่รู้จักแบบผิวเผิน แต่ต้องรู้จักเพราะเข้าใจ เข้าใจว่าลูกน้องที่เราทำงานด้วยว่าเป็นใคร สิ่งต่างๆ ที่เกิดกับเขามันจะมีความเชื่อมโยงที่สนิทแนบแน่น

          2. ต้องยืนอยู่กับความจริง

Friday, November 14, 2014

ไม่ยุติธรรม


ไม่ยุติธรรม

         ครั้งหนึ่ง ฌานาจารย์เหว่ยซาน กับฌานาจารย์หยั่งซาน เดินบนคันนาด้วยกัน เหว่ยซานพูดว่า " ท่านดู นาแปลงนี้ ด้านนี้สูง ด้านนั้นต่ำ " 

         หยั่งซานส่ายศรีษะตอบโต้ว่า " ไม่ถูก ! ไม่ถูก ! ด้านนี้ต่ำ ด้านนั้นสูง ! "

         เหว่ยซานแย้งว่า " ด้านนี้สูงด้านั้นต่ำชัดๆ ถ้าท่านไม่เชื่อ เราไปยืนตรงกลางด้วยกัน แล้วมองทั้งสองด้าน ดูซิว่าด้านไหนสูงด้านไหนต่ำ ? "

         หยั่งซานตอบโต้ว่า " อย่าเอาเรื่องยืนตรงกลางแล้วมองทั้งสองด้านเอาระดับน้ำมาวัดดีกว่า ไม่มีอะไรเที่ยงยิ่งกว่าระดับน้ำ เพราะน้ำมีรูปร่างไม่แน่นอน อยู่ในที่สูงก็เรียบ อยู่ในที่ต่ำก็เรียบ "

          เหว่ยซานหัวเราะชอบใจ แล้วพูดว่า " จากนี้ไป ไม่มีใครทำอะไรท่านได้อีกแล้ว "

ขั้นตอนและผลสรุป


ขั้นตอนและผลสรุป

         ไม่ว่าจะทำอะไรสักเรื่อง ก็ต้องมีขั้นตอนและมีผลสรุปที่แน่นอนบางครั้งขั้นตอนดี ผลสรุปไม่ดี บางครั้งขั้นตอนไม่ดีแต่ผลสรุปออกมาดี

         เช่นการเลี้ยงดูบุตรธิดา ส่งเสียให้ได้รับการศึกษา ทั้งนี้ล้วนเป็นเรื่องดีแต่สุดท้ายลูกกลับเดินออกนอกลู่นอกทาง เป็นกบฏต่อประเทศชาติ เป็นโจรผู้ร้ายกระทำผิดกฎหมาย จากขั้นตอนที่เฝ้าวางไว้อย่างดี ผลสรุปสุดท้ายกลับออกมาไม่ดี

         แต่มีสามีภรรยาบางคู่ไม่มีบุตรธิดา ไปเก็บเด็กข้างถนนมาเลี้ยง เนื้อตัวสกปรกมอมแมม ก้าวร้าวเกเร หลังจากผ่านการเอาใจใส่อบรมสอนสั่ง เด็กน้อยกลายเป็นเด็กฉลาดเชื่อฟัง ไม่เพียงกตัญญูต่อพ่อแม่บุญธรรม ยังให้ความช่วยเหลือเพื่อนบ้าน ขยันทำการงานสร้างหลักปักฐานให้ครอบครัว นี่ผลสรุปออกมาดี

         สุภาพสตรีบางคน ตอนแรกทำยังไงก็ไม่ยอมแต่งงานกับชายผู้นั้น แต่หลังจากแต่งงานแล้ว ต่างมีความรักมีน้ำใจให้กัน แบบนี้ขึ้นต้นมีขั้นตอนไม่ดีลงท้ายกลับให้ผลสรุปที่ดี แน่นอนว่ายังมีชายหญิงจำนวนไม่น้อยที่รักใคร่รู้ใจกัน สาบานว่าจะไม่แยกจากกัน แต่แต่งงานกันได้ไม่นานกลับแตกแยกหย่าร้างกัน บางครั้งอาจกลายเป็นความเคืองแค้น นี่คือขั้นตอนดีแต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลสรุปที่ดีตามมา

ซิ่วฉ่ายชำระความ


ซิ่วฉ่ายชำระความ

         มีคนบ้านนอกคนหนึ่งพูดถึงความใฝ่ฝันของเขาว่า " ถ้าเขามีที่นาสักร้อยหมู่ ( ไร่จีน ) ข้าก็พอใจแล้ว "

         ชายที่อยู่ข้างบ้านได้ยินเขาพูดเช่นนั้นก็รู้สึกอิจฉาพูดขึ้นมาบ้างว่า " ถ้าแกมีนาร้อยหมู่ ข้าก็จะเลี้ยงเป็ดหมื่นตัวให้มันกินข้าวที่แกปลูกในนาให้เกลี้ยง "

         ด้วยเหตุนี้ คนทั้งสองจึงโต้เถียงทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงชนิดใครก็ไม่ยอมแพ้ ในที่สุดทั้งสองคนจึงตกลงกันเดินทางไปหานายอำเภอเพื่อให้เป้นคนตัดสิน

         แต่คนทั้งสองคนไม่รู้ว่าที่ทำการอำเภออยู่ที่ไหน ฉะนั้นพอเดินทางไปถึงโรงเรียนแห่งหนึ่งที่มีกำแพงและประตูสีแดง เขาก็รีบเข้าไปโดยเข้าใจว่าเป็นที่ทำการอำเภอ เมื่อเข้าไปแล้วเห็นซิ่วฉ่ายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ในห้องโถง พวกเขาจึงตรงเข้าไปคุกเข่าลงทำความเคารพ แล้วเล่าเรื่องที่เขาทะเลาะกันให้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย

          ซิ่วฉ่ายฟังแล้วตอบพวกเขาว่า " เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกท่านคนหนึ่งไปซื้อที่นา อีกคนหนึ่งไปซื้อเป็ด รอจนข้าพเจ้าได้เป็นขุนนางแล้วจึงค่อยมาเป็นผู้ชำระคดีนี้

บันทึกใน " เหรินซื่อทง "

Thursday, November 13, 2014

เงาดำใต้แสงเทียน


เงาดำใต้แสงเทียน

        การไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว หรือการมองข้ามสิ่งสำคัญที่บางครั้งก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม




By ปรัชญา " ซามูไร "

ไร้ที่มาที่ไป


ไร้ที่มาที่ไป

         ฌานาจารย์ถานหยิ่นบนเขาจินซาน บวชตั้งแต่อายุ 13 ปีที่อารามหลงซิงซื่อ เมื่ออายุได้ 18 พรรษา ก็ออกภิกขาจาร เดินทางเข้าเมืองหลวง และมีโอกาสพำนักในคฤหาสน์ท่านอำมาตย์หลี่ตวนย่วนอยู่ระยะหนึ่ง

         มาวันหนึ่ง อำมาตย์หลี่ถามท่านว่า " คนตายแล้ว คืนสู่ที่ใด ? " 

         ฌานาจารย์ถามหยิ่นตอบว่า " ยังไม่รู้เกิด ฤาจะรู้ตาย ? "

         อำมาตย์หลี่พูดว่า " เรื่องเกิด ข้าเข้าใจนานแล้ว "

         ฌานาจารย์ถามหยิ่นย้อนถามว่า " ลองตอบดูซิว่าเกิดจากที่ใด ? "

         อำมาตย์หลี่นิ่งอึ้งใช้ความคิดอยู่นั้น ฌานาจารย์ถามหยิ่นใช้นิ้วจิ้มที่หน้าอกอำมาตย์หลี่ ถามต่อไปว่า " คิดอะไรที่ตรงนี้หรือ ? "

คนกินเนื้อสัตว์มี " ปัญญา "


คนกินเนื้อสัตว์มี " ปัญญา "

         ที่รัฐฉีมีชายสองคนที่ไม่มีงานการอะไรทำ มาพบกันเข้า นาย ก. ถอนใจกล่าวว่า " เราเกิดมาก็มีพ่อมีแม่เหมือนพวกขุนนางทั้งหลาย แต่ทำไมพวกเขาถึงได้ฉลาด ส่วนพวกเรากลับโง่อย่างนี้ ? "

         นาย ข. กล่าวว่า " เรื่งนี้ตอบง่ายนิดเดียว ก็เพราะพวกเขากินเนื้อทุกวันถึงได้ฉลาดกว่าเรา ส่วนพวกเราล่อแต่ผักหญ้าอาหารหยาบๆ จะให้ฉลาดได้อย่างไร ? "

         นาย ก. ฟังแล้วดีใจพูดว่า " เรื่องนี้ก็ไม่ยากเหมือนกัน วันนี้บังเอิญข้ามีเงินติดตัวมาด้วย เราไปซื้อเนื้อหมูมาลองกินดูเอาไหม ? "

         อีกไม่กี่วันต่อมา ชายสองคนนี้ก็เจอกันอีก และต่างพูดว่าพอกินเนื้อหมูเข้าไปเพียงไม่กี่วัน ก็รู้สึกว่าหัวสมองฉลาดขึ้นไม่น้อย ไม่ว่าเจอปัญหาอะไรก็รับมือได้ นอกจากฉลาดแล้วยังสามารถจะชี้แจงเหตุผลได้ด้วย

         " สมมติว่า " นาย ก. คุยอวด " ทำไมนิ้วเท้าของคนจึงอยู่ข้างหน้าแทนที่จะอยู่ข้างหลัง เมื่อก่อนนี้ข้าไม่เข้าใจ แต่เวลานี้เข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะกลัวคนที่เดินอยู่ข้างหลังจะเหยียบเอา ! "

         " เรื่องนี้ยังไม่ลึกซึ้งเท่าไร่ " นาย ข. พูดขัดขึ้น " ทำไมรูจมูกของคนจึงอยู่ข้างล่าง ข้าจะบอกให้ นั่นก็เพราะกลัวว่าเวลาฝนตกน้ำจะไหลเข้าไป "

         อ้ายจื่อได้ฟังแล้วก็ถอนใจพูดว่า " ข้าคิดว่าคนที่กินเนื้อปลาเสพสุขอยู่ทุกวันนี้สติปัญญาของพวกเขาก็พอๆ กับเจ้าสองคนนี้เหมือนกัน

บันทึกใน " อ้ายจื่อจ้าซ่อ "

จุดไฟด้วยเล็บ


จุดไฟด้วยเล็บ

          ความอดทนและอดออมของคนนั้นเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นหนทางที่แท้จริงในการสร้างฐานะให้ดีขึ้น เพื่อชีวิตที่สุขสบายมากขึ้น ในบทนี้นั้นเขาเปรียบเทียบถึงการประหยัดอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นเอาเล็บของตนเองมาเป็นเชื้อไฟแทนไม้หรือน้ำมัน

          สิริลักษณ์  โกวิทจินดาชัย ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการบริษัทปริญสิริ ( 2000 ) จำกัด ที่วันนี้ในวงการอสังหาริมทรัพย์นั้นคงได้เห็นถึงความใจเพชรของเธอที่ฝ่าฟันอุปสรรคมานับครั้งไม่ถ้วน

          เธอเป็นลูกคนจีนที่มีอาชีพปลูกผักและยากจนมากๆ ทุกมื้อกินข้าวกับไข่ตุ๋นและผักนานาชนิดที่ปลูก ไม่มีโอกาสที่จะกินเนื้อสัตว์ ประเภทเนื้อหมู เนื้อวัวหรือเนื้อไก่เลย ไม่เคยมีเงินพกไปโรงเรียน เพื่อนๆ หลายคนไม่พูดด้วย เพราะรังเกียจว่าเธอจน แต่เธอได้รับการปลูกฝังมาจากพ่อที่เป็นคนมัธยัสถ์ว่า " เป็นบุญหนักหนาแล้วที่มีข้าวสวยกิน " เพราะในเมืองจีนนั้นแทบไม่มีข้าวจะให้กินมีแต่น้ำข้าวเท่านั้น

อ่อนข้อกันบ้าง


อ่อนข้อกันบ้าง

          เช้าวันหนึ่ง สาวกคนหนึ่งถือดอกไม้มาไหว้พระ พอสาวเท้าเข้าโบสถ์ ก็ถูกชายคนหนึ่งชนเข้าอย่างจัง ดอกไม้ในมือหักหล่นลงพื้น สาวกคนนั้นจึงตำหนิว่า " ดูซิ ซุ่มซ่ามอย่างนี้ ทำดอกไม้ของฉันหักหมด เจ้าจะแก้ตัวอย่างไร ? " ชายคนนั้นกลับตอบว่า " ชนก็ชนแล้ว อย่างมากฉันก็ขอโทษ ทำไมต้องโมโหกับเรื่องแค่นี้

          ขณะที่ทั้งสองยืนโต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง ฌานาจารย์ก่วงอู๋เดินผ่านมา จึงสอบถามสาเหตุ จากนั้นแนะนำสอนสั่งว่า " ซุ่มซ่ามมันไม่ดี แต่การไม่ยอมให้อภัยก็ไม่ถูก มีแต่ยอมรับผิดและยินดีให้อภัยอย่างจริงใจจึงจะเป็นท่าทีของพุทธสาวก จึงจะเป็นการกระทำที่ฉลาด ลองคิดดูสิปล่อยให้เรื่องเล็กเท่านี้ทำลายความสบายอกสบายใจตั้งแต่เช้า มันคุ้มแล้วล่ะหรือ ? "

ครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่ง


ครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่ง

         ในจักรวาลนี้ มีครึ่งหนึ่งเป็นกลางวัน ครึ่งหนึ่งเป็นกลางคืน ดวงอาทิตย์และพระจันทร์ต่างครองเวลากันคนละครึ่ง ในหนึ่งปีแบ่งออกเป็น 4 ฤดูกาล หรือ 2 ฤดูกาล

         โลกใบนี้ก็เป็นครึ่งหนึ่ง ครึ่งซีกโลกตะวันออก และครึ่งซีกโลกตะวันตก ครึ่งหนึ่งเป็นมหาสมุทร ครึ่งหนึ่งเป็นแผ่นดิน ครึ่งหนึ่งเป็นขุนเขา ครึ่งหนึ่งเป็นที่ราบ สัตว์ ต้นไม้ ต่างก็ครอบครองดินแดนครึ่งหนึ่งของตน ในสังคมก็เป็นครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งของสังคมของความดีความสว่าง อีกครึ่งหนึ่งเป็นสังคมของความมืดความอัปลักษณ์ เป็นชายครึ่งหนึ่ง หญิงครึ่งหนึ่ง ความดีครึ่งหนึ่ง ความชั่วอีกครึ่งหนึ่ง ถูกครึ่งหนึ่งผิดครึ่งหนึ่ง แม้แต่พระพุทธะยังครอบครองโลกได้เพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งเป็นของมาร

         นับแต่โบราณมา มนุษย์คิดอยากจะสร้างความสมบูรณ์แก่โลก คิดจะยึดครองโลกใบนี้ แต่ภายใต้กฎของครึ่งหนึ่งครึ่งหนึ่งนี้ จึงเป็นไปได้ยาก

         เช่นเดียวกับพ่อแม่ที่มีบุตรหญิงชายก็ต้องมีดีครึ่งหนึ่ง มีเลวครึ่งหนึ่งเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงบนที่นาก็เช่นกัน จะมีครึ่งหนึ่งที่ผลิดอกออกผล และอีกครึ่งหนึ่งเป็นเมล็ดลีบตาย

สงสัยคนขโมยขวาน


สงสัยคนขโมยขวาน

         มีชายชราคนหนึ่งทำขวานหาย เขาสงสัยว่าเด็กข้างบ้านเป็นคนขโมยเอาไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงสนใจติดตามดูกิริยาท่าทางของเด็กคนนั้นเป็นพิเศษ ยิ่งสนใจดูเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าท่าทางในการเดิน สีหน้า เสียงที่พูด เป็นต้น สรุปแล้วก็คือ การเคลื่อนไหว และท่าทางทุกอย่างล้วนแสดงว่าเป็นคนขโมยขวานของตนไป

         ต่อมาไม่นาน ชายชราผู้นั้นก็พบขวานของตนที่ตัวเองเอวไปตดไม้ แล้วลืมไว้บนเขา

         วันรุ่งขึ้น เมื่อชายชราเจอเด็กข้างบ้านคนนั้น เขาพิจารณาดูรู้สึกว่ากิริยาท่าทางของเด็กคนนั้นไม่มีพิรุธอะไรที่แสดงว่าเป็นคนขโมยขวานของเขาไปเลยแม้แต่น้อย

บันทึกใน " เลี่ยจื่อ "

หอบไม้งามสองมือ


หอบไม้งามสองมือ

          การได้รับโชค รางวัล งาน หรือสิ่งดีๆ ที่เข้ามาสู่ชีวิตพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน





By ปรัชญา " ซามูไร "

Wednesday, November 12, 2014

คติประจำใจ


คติประจำใจ

         พระรูปหนึ่งถามฌานาจารย์เจ้าโจวว่า " อาจารย์มีคติประจำใจหรือไม่ ? "

         ฌานาจารย์ตอบว่า " อาตมาไม่มีแม้แต่คำเดียว "

         พระรูปนั้นถามต่อไปว่า " อาจารย์ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ดอกหรือ ? "

         ฌานาจารย์ตอบว่า " เป็น ! แต่นั่นคืออาตมา ตัวอาตมาสำคัญที่สุด คติประจำใจไม่อาจแทนคำพูดและการกระทำของคนๆ หนึ่ง "

         ถ้าฌานาจารย์เจ้าโจวมี " คติประจำใจ " ที่แน่นอนตายตัว ก็เท่ากับว่า "ฌาน " มีขอบเขตที่แน่นอน มีทางเข้าที่แน่นอนให้เสาะหาได้

         ทุกคนถึงจะมีประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่า แต่นั่นเป็นของส่วนตัว ไม่แน่ว่าจะเหมาะกับคนอื่น เปรียบได้กับรองเท้า ถ้าคนอื่นใส่ได้ ไม่แน่นักว่าเราจะใส่ได้

ชีวิตที่กลับสู่วัยรุ่งโรจน์อีกครั้ง


ชีวิตที่กลับสู่วัยรุ่งโรจน์อีกครั้ง

         มีท้องที่บางแห่งทำนาได้ปีละครั้งเท่านั้น แต่หลังจากการปรับปรุงพัฒนา ปัจจุบันนี้สามารถทำนาได้ปีละสองครั้ง ชีวิตคน ที่ผ่านมาเราจะถือว่าวัยหนุ่มสาวเหมือนฤดูใบไม้ผลิ เป็นวัยรุ่งโรจน์ของชีวิต แต่เมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้า ผู้คนมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น จึงน่าจะมีชีวิตที่กลับสู่วัยรุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง


         วัยรุ่งโรจน์ครั้งแรกของชีวิต เป็นช่วงที่อายุน้อย กำลังวังชาดี มีอุดมการณ์มีความกระตือรือร้น มีความหวัง มีอนาคต มีความเชื่อมั่นที่ไม่มีใดปาน มีพลังชีัวิตสุดประมาณเฉกเช่นสรรพสิ่งในฤดูใบไม้ผลิที่เจริญงอกงาม ร่าเริงแจ่มใสโลกแห่งฤดูใบไม้ผลิของชีวิต คือช่วงวัยหนุ่มสาวซึ่งเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศแห่งความอบอุ่น ความมีชีวิตชีวา ทุกคนจึงควรถนอมรักวัยหนุ่มสาวของตน

         แต่ว่าเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านไป ชีวิตเข้าสู่วัยชรา ปลดเกษียณจากการงานแล้ว มีความรู้ซึ้งถึงชีวิต ความมุ่งมั่นถดถอย จึงเปรียบเหมือนความแห้งแล้งในฤดูหนาว ความจริงถ้าเราได้ศึกษาวิเคราะห์ จะเห็นว่าทั้งชายและหญิงทุกคนสามารถมีวัยรุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง


          วัยอันแจ่มใสไม่ใช่อากาศ แต่อยู่ที่คน อายุไม่ใช่อยู่ที่ตัวเลข แต่อยู่ที่พลังชีวิต สมัยนี้คนอายุ 50-60 ปีก็เกษียณแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงหน้าที่การงานความจริงนี่คือช่วงวัยทองของชีวิต เป็นช่วงพลังของชีวิต เป็นช่วงที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะว่าอายุมาก มีประสบการณ์สูง ม้าแก่ชำนาญทางในการทำงานจึงไม่เหมือนเด็กเพิ่งเรียนจบที่จำเป็นต้องผ่านการฝึกฝน เรียนรู้ และก็ไม่จำเป็นต้องถูกหลอกอีกกี่คราจึงจะเชี่ยวชาญ

นกแก้วในกรง


นกแก้วในกรง

           พ่อค้าที่ฐานะดีคนหนึ่งนำนกแก้วมาเลี้ยง นกตัวนี้ฉลาดมาก มันไม่เพียงแต่สามารถรู้ภาษาคนพูดกันเท่านั้น หากยังสามารถท่องบทสวดมนต์ได้ด้วย ความฉลาดของมันทำให้พ่อค้าคนนี้รักมันมาก และกลัวว่ามันจะบินหนีไป ด้วยเหตุนี้เขาจึงจับนกมาตัดขนปีก ต่อกรงที่ดีเป็นพิเศษให้มันอยู่และเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นอย่างดี

           อยู่มาปีหนึ่ง พ่อค้าคนนี้ถูกทางการจับตัวไป และได้ถูกคุมขังไว้เป็นเวลาครึ่งปีจึงปล่อยตัวให้กลับมา พอพ่อค้าเข้ามาในบ้านก็ถามนกแก้วว่า " ครึ่งปีมานี้ข้าต้องติดคุกเป็นคนหมดอิสระเสรีภาพ ได้รับความทุกข์ยากลำบากสุดประมาณเจ้าอยู่ที่บ้านได้รับการเลี้ยงดูดีไหม ? "

           นกแก้วตอบว่า " ข้าแต่ท่านผู้เป็นนาย ท่านติดคุกเพียงครึ่งปีก็รู้สึกว่าทุกข์ยากจนทนไม่ไหว ส่วนข้าพเจ้าถูกขังอยู่ในกรงนานเป็นปีๆ ข้าพเจ้าจะไม่เกิดความรู้สึกที่ไม่พอใจบ้างเชียวหรือ ? "

           พ่อค้าได้ฟังเช่นนั้นก็สำนึกขึ้นมา รีบเปิดกรงปล่อยนกแก้วไป

บันทึกใน " เล่อซ่านลู่ "

เงินร้อน ไปเร็ว


เงินร้อน ไปเร็ว

         ความหมายจริงๆ ของบทนี้ ท่านนักปราชญ์เขาพยายามที่จะบอกว่า " การทำอะไรก็ตามที่ไม่ถูกต้องไม่สมควรนั้นจะไม่มีวันที่จะพบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ " อาจจะเปรียบเหมือนได้กับเงินที่ได้มาจากการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จะใช้หมดไปได้อย่างง่ายดายกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์

         ในขณะที่สภาพทางเศรษฐกิจในบ้านเรายังคงไม่ฟื้นจากสภาวะฟองสบู่แตก ธุรกิจการค้าขายยังซบเซา ขาดสภาพคล่อง ผู้คนจำนวนมากไม่มีงานทำบรรยากาศเช่นนี้จึงเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพกลุ่มต่างๆ ออกหากินซ้ำเติมความทุกข์ยากให้กับชาวบ้าน

          และหนึ่งในจำนวนนั้นคือ " แชร์ลูกโซ่ " โดยจะชักชวนให้เหยื่อมาร่วมลงทุนทำธุรกิจต่างๆ โดยจะอธิบายจนเหยื่อคล้อยตามแผนการตลาดที่ดูน่าเชื่อถือว่าธุรกิจนั้นจะสามารถให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น เป็นการสร้างงานสร้างรายได้ เป็นอาชีพเสริมกำไรงาม

         แชร์ลูกโซ่นั้นเป็นขบวนการที่มีลักษณะชวนคนอื่นมาสมัครเป็นสมาชิก โดยต้องจ่ายเงินค่าสมัครและมีหน้าที่ไปชวนคนอื่นมาสมัครเป็นสมาชิกอย่างต่อเนื่อง

ฆ่าไก่เอาไข่



ฆ่าไก่เอาไข่

          ฌานาจารย์ฝอกวงหลังบรรลุธรรมแล้ว ก็ทุ่มเทกำลังกายและใจทั้งหมดให้กับกิจกรรมพุทธศาสนา ลูกศิษย์ลูกหาของท่านเข้าใจเจตนาของอาจารย์ดี จึงหมั่นโน้มน้าวให้ชาวบ้านทำบุญกุศลบริจาคทรัพย์สินเงินทองให้วัดมากๆ เพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป

          เมื่อลูกศิษย์ลูกหาของท่านมารายงานผลงานไม่หยุด ฌานาจารย์ฝอกวงกลับไม่สบายใจ จึงอบรมสั่งสอนว่า " ทุกคนลำบากแล้ว น่าเสียดายไม่ได้กุศล "

          ลูกศิษย์ลูกหาต่างถามอย่างประหลาดใจว่า " ทำบุญมาก ไฉนกลับไร้กุศล ? "

          ฌานาจารย์ฝอกวงตอบว่า " ให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี มีเงินทองสะสมมั่งคั่งสมบูรณ์ พุทธศาสนาจึงจะเจริญรุ่งเรือง เราไม่ควรโน้มน้าวให้ชาวบ้านทำบุญมากไป เพราะนี่คือพฤติกรรมฆ่าไก่เอาไข่ ถ้าชาวบ้านแบกรับภาระไม่ไหว ใครจะอุ้มชูอุปถัมป์พุทธศาสนา "

Sunday, November 09, 2014

พจนานุกรมชีวิต


พจนานุกรมชีวิต

         คุณเคยใช้ " พจนานุกรมชีวิต " บ้างไหม ? คุณรู้หรือไม่ว่าอะไรคือ " พจนานุกรมชีวิต " ความจริงมนุษย์เรานับตั้งแต่ลืมตาดูโลกจกระทั่งเราจากโลกนี้ไป นี่แหละคือ " พจนานุกรมชีวิต " เล่มหนึ่งของเรา

         พจนานุกรมชีวิตไม่ใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง นับแต่โบราณมาทุกคนต่างมีพจนานุกรมชีวิตเป็นของตนเอง และมันก็ไม่ได้บันทึกเฉพาะเรื่องราวในชีวิตเราเท่านั้น มันอาจบันทึกตั้งแต่อดีตกาลที่ผ่านมา จนกระทั่งอนาคตที่สุประมาณ คุณความดีของตนเอง คำพูดและการกระทำ ความคิดความอ่านล้วนสามารถตรวจค้นได้ใน " พจนานุกรมชีวิต " 

         จักรพรรดินโปเลียนของฝรั่งเศสกล่าวว่า ในพจนานุกรมของพระองค์ไม่มีคำว่า " ยาก " ในพจนานุกรมของโสเครติสไม่มีคำว่า " ทุกข์ " ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นแบบอย่างแก่ชนรุ่นหลัง

          พจนานุกรมของนักการเมืองมีแต่คำว่าอำนาจ พจนานุกรมของขุนนางมือสะอาดมีแต่ประเทศชาติ พจนานุกรมของพ่อค้ามีแต่เงิน พจนานุกรมของคนที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักมีแต่สิ่งที่รัก พจนานุกรมของพ่อแม่มีแต่บุตรธิดา พจนานุกรมของพระโพธิสัตว์มีแต่สรรพสัตว์ บรรดาพจนานุกรมมากมายเหล่านี้บ้างก็มีเนื้อหาอุดมสมบูรณ์ มีสีสันหลากหลายให้คนค้นหา บ้างก็ไม่น่าอ่านเพราะสิ่งดีๆ ที่สามารถนำมาเล่าสู่กันฟังได้

Friday, November 07, 2014

สู้ฆ่าคนไม่ได้


สู้ฆ่าคนไม่ได้

          ชายคนหนึ่งเชื่อถือเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เรื่องเวรเรื่องกรรม พอพบใคร เขาก็จะสาธยายแต่เรื่องความเมตตาปราณี อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เขาว่าพระท่านตรัสไว้แล้วว่า ฆ่าสัตว์อะไรตายแล้วก็จะเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้น ฆ่าวัวก็จะต้องไปเกิดเป็นวัว ฆ่าหมูก็จะต้องไปเกิดเป็นหมู แม้แต่ฆ่าแมลงหรือมดตัวหนึ่งก็จะต้องเป็นเช่นนั้นหมด

          วันหนึ่งขณะที่เขากำลังสาธยายจนคนฟังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น มีชายแซ่หลี่ฟังแล้วรู้สึกขำในใจ จึงพูดแทรกขึ้นมาว่า " ถ้าเช่นนั้นสัตว์อะไรก็ไม่ควรฆ่า ดีที่สุดก็คือฆ่าคน ! "

          " ท่านหมายความว่าอย่างไร ? " คนที่ฟังอยู่ถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ

          " ก็เขาบอกว่าฆ่าสัตว์อะไรชาติหน้าก็จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นไม่ใช่หรือ ? " ชายแซ่หลี่ตอบ " ฉะนั้นชาตินี้ฆ่าคน ชาติหน้าก็จะไปเกิดเป็นคนอีก อย่างนี้ยังไม่ดีอีกหรือ ? "

บันทึกใน " เจี่ยอี๋จุ้ยหยี "

แก้วงามเพราะขัด


แก้วงามเพราะขัด

          ความดีและสติปัญญาของคนจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีการนำมาใช้ ไม่ใช่เพียงคิดแต่ไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์




By ปรัชญา " ซามูไร "

ไยต้องถามให้มากความ


ไยต้องถามให้มากความ

          พระรูปหนึ่งเห็นเต่าตัวหนึ่งนอกอาราม จึงถามฌานาจารย์ต้นสุยว่า " สรรพสัตว์เกือบทั้งหมดมีหนังหุ้มกระดูก ไฉนมีแต่เต่าที่กระดูกหุ้มหนัง ? "

          ฌานาจารย์ต้าสุยไม่ตอบลูกศิษย์ในทันที แต่ถอดรองเท้าฟางออกครอบบนหลังเต่า

          การครอบรองเท้าลงบนหลังเต่า แม่จะมิได้ตอบปัญหาของศิษย์โดยตรง แต่ก็เป็นการปิดรากเหง้าแห่งมายา และความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องไร้สาระเสีย

          ถึงเราจะรู้สึกว่าการพบเห็นเต่าคลานบนถนนเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง แต่พระรูปนี้กลับอยากรู้อยากเห็น ถามเรื่องไร้สาระ ฌานาจารย์ก็ตอบเรื่องไร้สาระเช่นกัน อย่างไรก็ดี ท่านได้บอกศิษย์โดยนัยว่า การปฏิบัติธรรมแบบฌานไม่ควรอยากรู้อยากเห็นในเรื่องไร้สาระ เพราะฉะนั้นถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง จะเห็นได้ว่ามีแต่ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้เท่านั้น ศิษย์ผู้นี้จึงจะเข้าใจความหมายของคำว่าไยต้องถามให้มากความอย่างแท้จริง จึงจะเข้าใกล้ธรรมะแบบฌานมากยิ่งขึ้น

แสวงหาความสุข


แสวงหาความสุข

          เพราะความสุข คนเราจึงอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าเป็นความทุกข์การมีชีวิตต่อไปจะมีความหมายอะไร

         เพราะแต่ละคนมีทัศนะต่อคุณค่าของชีวิตต่างกัน เป้าหมายในการแสวงหาของแต่ละคนจึงมีร้อยแปดพันเก้าแตกต่างกันไป คนบางคนคิดแต่หาเงิน เขามองว่าความสุขมีในเงินทอง แต่ว่าเงินทองมากเกิดไปก็อาจเป็นทุกข์ได้ ดังคำที่ว่า " มนุษย์ตายเพราะเงิน " ความร่ำรวยจะมีความสุขได้ไง บางคนคิดว่าครอบครัวมีความสุขที่สุด แต่ถ้าในครอบครัวไม่รักใคร่ปรองดองกัน ต่างเล่นเล่ห์เพทุบายกันครอบครัวจะมีความสุขได้ไง บางคนมองว่าในความรักมีความสุข จึงพยายามแสวงหาความรัก แต่ว่าความรักความแค้นยากที่จะญาติดีกันความรักทำให้เกิดความแค้น ยิ่งรักมากก็ยิ่งแค้นมาก สามีภรรยาผิดใจกัน คู่รักหันหลังให้กัน รักมากสู้ไม่มีรักเลยดีกว่า

         แต่ก็มีบางคนที่ลุ่มหลงในอำนาจ เห็นว่าในอำนาจมีความสุขจึงอยากมียศมีตำแหน่ง อยากลงรับเลือกตั้ง มีเกียรติเป็นที่เชิดหน้าชูตา แต่ว่า ข้าราชการขุนนางผู้ใหญ่ที่ถูกจับติดคุกติดตะรางก็มีไม่น้อย ดังคำที่ว่า " ขึ้นยิ่งสูง ตกลงมายิ่งเจ็บ " อำนาจบุญหนักศักดิ์ใหญ่ใช่ว่าจะมีความสุขไปทั้งหมด

Monday, November 03, 2014

ค้างคาวเจ้าเล่ห์


ค้างคาวเจ้าเล่ห์

          หงส์นั้นถือกันว่าเป็นราชาของหมู่นก ฉะนั้นในวันเกิดของหงส์ นกทั้งหลายจงพากันมาอวยพรอย่างพร้อมหน้า มีแต่ค้างคาวเท่านั้นที่ไม่มา

          ต่อมาหงส์จึงถามค้างคาวว่า " เจ้าเป็นสัตว์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของข้า ทำไมเจ้าจึงหยิ่งยโสเช่นนี้ ? "

          ค้างคาวตอบว่า " ข้าพเจ้ามีเท้าสามารถเดินได้ ข้าพเจ้าจึงสังกัดอยู่ในประเภทสัตว์สี่เท้า จำเป็นที่จะต้องมาอวยพรท่านด้วยหรือ ? "

          ต่อมาไม่นานก็ถึงวันเกิดของกเลนซึ่งถือว่าเป็นราชาของสัตว์สี่เท้า ในวันนั้นบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งหลายล้วนมาอวยพร แต่ค้างคาวก็ไม่มา เมื่อกิเลนถามค้างคาวว่า " สัตว์สี่เท้าอื่นๆ ต่างพากันมาอวยพรอย่างพร้อมหน้า ทำไมเจ้าจึงไม่มา ? "

          ค้างคาวตอบว่า " ข้าพเจ้ามีปีกบินได้ จัดอยู่ในจำพวกนกทำไมข้าพเจ้าต้องมาอวยพรวันเกิดของท่านด้วยเล่า ? "

          วันหนึ่ง หงส์กับกิเลนได้พบกัน เมื่อพูดถึงค้างคาวแล้วต่างก็ถอนใจพูดว่า " น่าอนาถหนอ ที่ในโลกนี้ยังมีพวกที่เล่นเล่ห์เพทุบายดำรงอยู่ ! "


บันทึกใน " ฮวาเอี๋ยนชู่เลอถาน เซี่ยงจิ่วล่ง "

จิตใจที่แรงกล้า แม้ศิลายังทะลุได้


จิตใจที่แรงกล้า แม้ศิลายังทะลุได้

         ในบทนี้นั้นเราเห็นภาพได้ชัดเจนมาก คือเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของคนที่จะทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้สำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคมาขัดขวางก็ไม่อาจต้านทานได้

          ในการศึกสงครามในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นนั้นมีเรื่องเล่าในเรื่องความมุ่งมั่นมากมาย ขอยกตัวอย่างหนึ่งที่คนในรุ่นเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังคงกล่าวถึงอยู่เสมอ นั่นก็คือฝูงบินกล้าตายของทหารญี่ปุ่นที่ชื่อ " กามิกาเซ่ "

          กามิกาเซ่มีจุดเริ่มต้นมาจากเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2488 ช่วงที่ฝ่ายญี่ปุ่นเริ่มแพ้ในหลายสมรภูมิและถอยร่นกลับสู่เกาะญี่ปุ่น ที่ 50 ไมล์เหนือขึ้นไปจากเกาะโอกินาว่าอันเป็นปราการสำคัญของญี่ปุ่น เหล่าทหารบกกองทัพที่ 10 โดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากกองทัพเรือสหรัฐ ได้เริ่มโจมตีญี่ปุ่นในเกาะโอกินาว่านั้น

          การต่อต้านของญี่ปุ่นได้กระทำอย่างเหนียวแน่น จึงนับได้ว่าเป็นการรบที่โชกเลือด ล้างผลาญกันอย่างย่อยยับ ยิ่งกว่าการรบแห่งใดๆ โดยหากเกาะโอกินาว่าตกไปอยู่ในกำมือของฝ่ายศัตรู นั่นหมายถึงอเมริกาจะมีฐานทัพใกล้ญี่ปุ่นมากเพราะห่างแค่ 325 ไมล์เท่านั้น

Sunday, November 02, 2014

ทำอะไรไม่ได้


ทำอะไรไม่ได้

         ครั้งหนึ่ง ฌานาจารย์เจ้าโจวใช้ไม้เท้าเคาะศรีษะเหวินเหยี่ยนขณะพนมมือไหว้พระ พร้อมกับถามว่า " นี่ ! เจ้าทำอะไรอยู่หรือ ? "

         เหวินเหยี่ยนตอบอย่างนอบน้อมว่า " ไหว้พระ "

         ฌานาจารย์เจ้าโจวตวาดถามว่า " พระมีไว้ให้ไหว้หรือ ? "

         เหวินเหยี่ยนถามอย่างงุนงงว่า " พระย่อมมีไว้ให้คนทั้งหลายกราบไหว้บูชา ! การไหว้พระมิใช่เรื่องดีดอกหรือ ? "

         ฌานาจารย์เจ้าโจวจึงกล่าวว่า " เรื่องดีมิสู้ไร้เรื่อง "

         สมัยราชวงศ์เหลียง จักรพรรดิเหลียงอู่ตี้เคยตรัสถามพระโพธิธรรมว่า " ข้าฯ ทำนุบำรุงพุทธศาสนา สร้างวัด โบสถ์ วิหารและเจดีย์ พิมพ์หนังสือธรรมะ ส่งเสริมราษฎรออกบวช บริจาคทาน และถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ตลอดมา จะได้กุศลอย่างไร มากหรือน้อยเพียงใด ? "

         พระโพธิธรรมตอบว่า " ไม่ได้กุศลแม้แต่น้อย กุศลที่แท้จริงคือความรู้แจ้งทางจิต "

Saturday, November 01, 2014

เริ่มต้นใหม่


เริ่มต้นใหม่

           เราเคยล้มป่วยอาการสาหัส แต่ตอนนี้หายดีแล้ว การงานทุกอย่างเราสามารถเริ่มต้นใหม่ เราเคยผิดหวังสิ้นเนื้อประดาตัว ตอนนี้เราต่อสู้ฟันฝ่า พอมีความสำเร็จอยู่บ้าง เราจึงสามารถเริ่มต้นใหม่ได้

           ที่ผ่านมาเราไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ไม่เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง บัดนี้เราญาติดีกับทุกๆ คน เริ่มมีเพื่อนฝูงให้การสนับสนุนเรา เราจึงสามารถเริ่มต้นใหม่ที่ผ่านมาเราวางตัวไม่เป็น ผิดใจกับผู้อื่น เดี๋ยวนี้เราแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว เราสามารถเคารพนอบน้อมผู้อื่น ผู้อื่นก็ยอมคบหากับเราเหมือนเดิม เราจึงมีต้นทุนที่จะเริ่มใหม่ได้ ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่ เมื่อมีความเชื่อมั่น จึงมีความหวังที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต คนบางคนเคยหกล้ม แขนขาหักบาดเจ็บ เมื่อผ่านการรักษาพยาบาลแล้ว เขานั่งบนรถเข็น ในจิตใจเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเริ่มต้นใหม่ ย่อมมีความสำเร็จได้เช่นกัน ชีวิตบางคนไม่ตรงจังหวะเวลาปลูกพืชผลการเกษตรใกล้ได้เวลาเก็บเกี่ยวกลับเจอพายุฝนกระหน่ำ บางคนปิดกิจการ เกิดเหตุบังเอิญต้องบ้านแตกสาแหรกขาด ความหวังพังทลายแต่ว่าขอเพียงความเชื่อมั่นไม่ล้มหายไปด้วย เมื่อลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่ คุณจะได้เห็นผลสำเร็จของเขาในไม่ช้า

           เดินไปบนท้องถนน เกิดสะดุดล้มลง ลุกขึ้นมาใหม่ ขับรถไปบนท้องถนนรถเสีย ซ่อมมันให้ดีก็สามารถขับต่อไปได้ สอบตก ปีหน้าสอบใหม่ เลือกตั้งสอบตก ครั้งหน้าลงเลือกใหม่ แม้แต่อุทกภัย อัคคีภัย พายุใต้ฝุ่น แผ่นดินไหว ทำลายบ้านช่องทรัพย์สิน แต่ไม่อาจทำลายความเชื่อมั่นของเราได้ ขอเพียงเราได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ มีหรือที่จะไม่สำเร็จ

บทประพันธ์คลอดยาก


บทประพันธ์คลอดยาก

          ซิ่วฉายคนหนึ่ง สมัครสอบหลายครั้งแล้วสอบไม่ได้ ส่วนภรรยาของเขาก็เป็นหญิงที่คลอดบุตรยากมาก

          คืนหนึ่งซิ่วฉายเอากระดาษและพู่กันออกมานั่งหน้าตาเคร่งเครียดเต็มที่อยู่หน้าโคมไฟ เขาเขียนพลาง คิดพลาง ขมวดคิ้ว บีบขมับ ดูท่าทางยากเย็นเหลือเกิน

          ภรรยาของเขาเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น อดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า " ฉันรู้สึกว่าเวลาท่านลงมือเขียนนั้น ช่างลำบากเหลือเกิน เหมือนเวลาฉันคลอดบุตรไม่มีผิด "

          ซิ่วฉายทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้พูดว่า " จะเหมือนกันได้อย่างไร เวลาเธอคลอดบุตรนั้นในท้องเธอมีของที่จะคลอด แต่ฉันนั้นในท้องไม่มีอะไรเลย ! "

บันทึกใน " กว่างถานจู้ "