เล่อหยางกินเนื้อลูก
เล่อหยางเป็นนายพลที่มีชื่อคนหนึ่งของรัฐเว่ยในสมัยกษัตริย์เหวินโหวแห่งรัฐเว่ยครองราชย์ ( 408 ปี ก่อน ค.ศ. ) เขาได้เป็นแม่ทัพนำกองทัพผ่านรัฐจ้าวเข้าโจมตีรัฐจงซาน เขาวางกำลังทหารปิดล้อมรัฐจงซานไว้อย่างแน่นหนา เมื่อทางรัฐจงซานเห็นว่าไม่สามารถจะต้านทานได้จึงไปจับตัวลูกชายของเล่อหยางที่อยู่ในเมืองมามัดแล้วเอาแขวนไว้ที่หน้าประตูเมือง พร้อมกับประกาศว่าเมื่อใดเล่อหยางถอนกองทัพกลับไปจึงจะปล่อยตัวลูกชาย เสียงร้องอย่างน่าเวทนาของลูกชายดังมาเป็นระยะๆ พวกนายและพลทหารต่างมองดูสีหน้าของเล่อหยางแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เขายังคงบัญชาการให้บุกโจมตีอย่างเต็มที่
กษัตริย์ของรัฐจงซานเห็นเช่นนั้นก็ทรงกริ้วมาก ตรัสสั่งให้เอาตัวลูกชายของเล่อหยางไปฆ่าเสีย เอาเนื้อมาสับจนละเอียดแล้วเอาลงต้มเสร็จแล้วก็จัดหาคนนำออกจากเมืองไปให้เล่อหยาง หวังทำลายความตั้งใจในการบุกโจมตีเมืองของเขา แต่เล่อหยางไม่เพียงแต่จะไม่เศร้าโศกเสียใจเท่านั้น เขากลับกินเนื้อลูกชายของเขาเข้าไปหนึ่งถ้วย ชาวรัฐจงซานเมื่อรู้ถึงเจตจำนงอันแน่วแน่ของเล่อหยางที่จะโจมตีเอาเมืองให้ได้แล้ว ในหมู่ทหารก็เกิดสับสนอลหม่านยิ่งขึ้น ในที่สุดเล่อหยางก็บัญชาทหารบุกเข้ายึดเมืองไว้ได้ หลังจากได้รับชัยชนะแล้วกษัตรย์เหวินโหวแห่งรัฐเว่ย ทรงปูนบำเหน็จรางวัลเป็นจำนวนมากแก่เล่อหยาง ทว่านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระองค์ก็ทรงระแวงพระทัยโดยทรงดำริว่าเมื่อเล่อหยางเป็นคนที่มีนิสัยเหี้ยมโหดเช่นนี้ ย่อมเป็นคนที่พระองค์ยากที่จะไว้วางพระทัย
บันทึกใน " ซ่อย่วน "
มุมมองปรัชญา
เล่อหยางเดิมเป็นคนของรัฐจงซาน แต่ไปสวามิภักดิ์กษัตริย์รัฐเว่ยและได้รับตำแหน่งเป็นนายพล ได้ช่วยเหลือกษัตริย์เว่ยทำลายรัฐจงซาน การที่เขากินเนื้อลูกชายก็เพื่อเป็นการประจบกษัตริย์รัฐเว่ย แสดงว่าเขามีจิตใจจงรักภักดีอย่างที่สุด แม้แต่ลูกชายที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเขาก็ไม่ได้คำนึงถึง แต่แล้วผลที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม กษัตริย์รัฐเว่ยกลับไม่ไว้วางพระทัยในตัวเขา
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ?
การพัฒนาของสรรพสิ่งนั้นย่อมมีขีดขั้นี่แน่นอนของมัน ถ้าหากเกินขีดนั้นไปแล้ว ก็จะทำให้เรื่องเปลี่ยนไปสู่ด้านที่ตรงข้ามกับเจตจำนงของตน การกินเนื้อลูกชายตนเองของเล่อหยางเป็นการกระทำที่เกินเหตุ ฉะนั้นกษัตริย์แห่งรัฐเว่ยจึงทรงเห็นว่า ถึงแม้เขาจะมีความดีความชอบในการรบอย่างใหญ่หลวง แต่เขาก็เป็นคนที่น่ากลัว จึงทรงระแวงในตัวเขา
By ปรัชญาชีวิตใน สุภาษิตจีน
No comments:
Post a Comment