Wednesday, December 24, 2014
สังคมนิยมประชาธิปไตย ทางออกหรือทางเลือก ?
สังคมนิยมประชาธิปไตย ทางออกหรือทางเลือก ?
สังคมนิยมประชาธิปไตย คือรูปแบบการปกครองที่ทางการเมืองเป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ ที่สามารถคิดค้นด้านการมีส่วนร่วมในหลายรูปแบบ ในส่วนที่เรียนรู้ปฏิบัติตาม หรือลอกเลียนแบบตามกันมาคือให้มีการเลือกตั้งโดยใช้ระบบเลือกตัวแทนเข้ามาบริหารประเทศ ส่วนรายละเอียดนั้นก็จะแตกต่างกันไป ในเงื่อนไขของการพัฒนาที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศให้มากที่สุด หลายประเทศคิดถึงระบบการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลจัดการตนเอง
ส่วนทางด้านเศรษฐกิจนั้น ใช้รูปแบบสังคมนิยม ระบบสังคมนิยมในจินตนาการตั้งอยู่บนความคิดที่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยุติธรรม ทุกคนร่วมกันทำงานเพื่อสร้างผลผลิตส่วนรวมและได้รับ สวัสดิการ พยายามกระจายรายได้โดยรัฐให้ประชาชนให้ทั่วถึงทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีรัฐสวัสดิการที่ควรมีอยู่พอสมควร ระบบสังคมนิยมไม่จำเป็นที่จะอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบเผเด็จการหรือระบอบใดระบอบหนึ่งแต่สามารถอยู่ได้ทุกระบอบเพราะเป็นเพียงระบบเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ใช่ระบอบการปกครอง
ความหมาย ธัมมิกสังคมนิยม ( พุทธทาสภิกขุ )
" ...โลกจะต้องมีระบบการปกครองที่ไม่เห็นแก่ตัวคน และให้ประกอบไปด้วยธรรมะ ระบอบการปกครองในโลกที่ไม่เห็นแก่ตัวคนตัวบุคคลคือมือใครยาวสาวได้สาวเอานี้ จะเปิดโอกาสให้ระบบการปกครองนั้นประกอบอยู่ด้วยพระธรรมหรือพระเจ้าแล้วแต่จะเรียก ไม่มีชื่อเรียกอย่างอื่น ก็เรียกไว้ก่อนว่า ระบบธัมมิกสังคมนิยม
สังคมนิยม ก็แปลว่า เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัวเอง ไม่เห็นแต่ตัวกูคนเดียว เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ จึงจะเรียกว่าสังคมนิยม แล้วการเห็นแก่สังคมนั้นต้องถูกต้องด้วย : เพราะว่าผิดก็ได้เหมือนกัน การเห็นแก่สังคมผิดๆ ก็คุมพวกไปปล้นคนอื่น หาประโยชน์มาให้แก่พวกตัวนี้ มันก็ผิด ก็เลยต้องใช้คำว่า " ธัมมิก " ประกอบอยู่ด้วยธรรมนี้ เข้ามานำหน้าไว้ว่า ธัมมิกสังคมนิยม - ระบอบที่ถือเอาประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก และประกอบไปด้วยธรรม "
ตัวอย่างประเทศที่สามารถเรียนรู้ ที่มีการจัดการรูปแบบการปกครองที่เรียกว่า " สังคมนิยม ประชาธิปไตย " โดยรูปแบบการจัดการ " รัฐสวัสดิการ " ประเทศสวีเดนคือประเทศหนึ่งของหลายประเทศ รูปแบบการปกครอง เป็นรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตยทางอ้อม โดยใช้วิธีการเลือกตั้งตัวแทนไปนั่งในสภา เป็นแบบสภาเดียว แต่ยังมีพระมหากษัตริย์ เป็นองค์พระประมุขที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ลักษณะหลักคิดวิธีการคล้ายประเทศไทย ความแตกต่างคือทุกอย่างที่เป็นกฎหมายการวางกฎเกณฑ์ร่วมกัน ที่นำไปสู่การปฏิบัติมีการกระทำอย่างเคารพ และยอมรับในกติกา ไม่มีการละเมิด ในทุกส่วน แม้กระทั่งระดับสูงสุดคือสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะที่นี่เขามีกติการ่วมกันว่า กฎหมายคืออำนาจสูงสุดของประเทศที่มีพลเมืองพึงปฏิบัติตามเป็นสิทธิและหน้าที่ หัวใจของการปกครองโดยวิธีนี้ ผมวิเคราะห์ว่า ถ้าจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อคนในสังคม ต้องมีคุณภาพ มีวินัย มีศีลธรรมจริยธรรม ให้เกียรติผู้อื่นๆ ที่สำคัญคือต้องรู้หน้าที่ เคารพกติกาที่ได้ถูกสร้างมาร่วมกัน
อำนาจที่นี่ไม่ถูกกระจุกไว้กับคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะความที่คนที่นี่มีกลุ่มคนที่หลากหลาย กลุ่มความคิดที่หลากหลาย กฎหมายของเขาไม่มีเลยที่จะปิดกั้นไม่ให้คนรวมกลุ่ม แม้แต่กลุ่มความคิดนั้นจะไม่เห็นด้วยกับภาครัฐ ไม่ให้ตามกฎหมายแล้ว ยังแถมมีกฎหมายให้งบประมาณการรวมกลุ่มชนด้วย เพราะเขาถือว่าการรวมกลุ่มขึ้นมาก็เพื่อสร้างสรรค์ สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นในสังคม การรวมกลุ่มที่จะถูกยกเว้น คือกลุ่มองค์กรที่มีเจตนาร้าย และ กระทำการล้มล้างผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมเท่านั้น การปกครองภายใต้กฎหมายของเขานี้เมื่อเขาว่ามันคืออำนาจสูงสุดจริงๆ ไม่มีใครแม้แต่จะกล้าคิดมาทำลายล้าง ความมั่นคงของสังคมเขาจึงมี และ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อการสร้างสรรค์ตลอดเวลา
ประเทศสวีเดนเป็นประเทศที่ถูกปกครองด้วยระบบการเมืองหลายพรรค หลายอุดมการณ์ การจะให้อุดมการณ์แนวไหนเข้ามาปกครองประเทศก็อยู่ที่ประชาชน เป็นผู้ตัดสินใจ ฉะนั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่นี่ มีค่อนข้างมาก ที่เป็นเช่นนี้ได้ดังที่กล่าวมาแล้วว่าสังคมที่นี่เป็นสังคมเปิด การร่วมหมู่ รวมกลุ่ม จัดตั้งองค์กรเป็นไปอย่างหลากหลาย ตามความสนใจ ตามกลุ่มผลประโยชน์ ตามแนวคิด พรรคการเมืองที่มีอยู่ก็หลากหลาย มีทางเลือกให้กับผู้คนในสังคม
พรรคการเมืองที่มีอยู่ในประเทศสวีเดน แยกพรรคที่มีแนวความคิดที่แตกต่างกันได้ประมาณ ๔ - ๕ แนวคิดคล้ายกันบ้าง แตกต่างกันอย่างสุดขั้วบ้าง แนวทางของพรรคการเมืองที่เด่นชัดคือ
๑. แนวทางสังคมนิยม ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกเลือกเข้ามาบริหารประเทศมากที่สุด มีอยู่สองสองพรรคการเมืองหลักที่อยู่ในแนวทางนี้ คือ พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย ( Social Democrat ) ที่มีเสียงรองรับโดยมาตรฐานอยู่ที่ ๒๙ - ๓๒ เปอร์เซนต์ และ พรรคฝ่ายซ้าย ( Vanster ) ก่อนที่ประเทศโซเวียต ที่เป็นคอมมิวนิสต์จะล่มสลายคือ พรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศสวีเดน และเป็นพรรคการเมืองที่แยกตัวออกมาจากพรรค สังคมนิยมประชาธิปไตย หลังจากการร่วมกันต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในประเทศ พรรคนี้ได้รับคะแนนเสียงอยู่ในระดับ ๔ - ๕ เปอร์เซนต์ พรรคแนวทางนี้คะแนนเสียงที่ได้รับเป็นกอบเป็นกำจะมาจากองค์กรกรรมกร ซึ่งสามาชิกอยู่กว่าสามล้านคนกว่าคนจากประชากรประมาณเก้าล้านคน
๒. สายอนุรักษ์ธรรมชาติและุสิ่งแวดล้อม เพิ่งก่อกำเนิดขึ้นมาได้ไม่ถึงยี่สิบปี เป็นพรรคการเมืองที่คนหนุ่มคนสาวให้ความสนใจเข้าร่วมมาก นโยบายของพรรคนี้คือ การอนุรักษณ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ชื่อพรรคก็ชื่อนี้ หรือคนต่างชาติมักจะเรียกชื่อว่าพรรค กรีน ( Green ) หรือ พรรคเขียว ซึ่งพรรคทางการเมืองนี้จะจริงจังเรื่องสิ่งแวดล้อม และการบริโภคมาก เขาเป็นหูเป็นตาในเรื่องนี้แทนประชาชนทั้งประเทศได้พรรคนี้กำลังมาแรง คะแนนเสียงอยู่ในระดับ ๕ - ๑๐ เปอร์เซ็นต์ เวลาต้องเลือกลงคะแนนจัดตั้งรัฐบาล พรรคนี้มักให้คะแนนเสียงไปทางด้านแนวทางสังคมนิยม
๓. แนวเสรีนิยม คือพรรคประชาชน ( Flock Party ) คะแนนเสียงที่ได้รับส่วนใหญ่ คือผู้ประกอบการายย่อย และคนทำงานในสำนักงาน หรือระดับผู้ริหาร องค์กรจัดตั้งที่เป็นส่วนงานบริหาร ที่แยกออกมาจากรรมกร คะแนนเสียงจะไม่แน่นอน บางครั้งเกิน ๑๐ เปอร์เซนต์ บางครั้งเกือบไม่ได้เข้าไปนั่งในสภา ที่มีเกณฑ์ต่ำสุดไว้ ๔ เปอร์เซนต์ พรรคนี้เป็นที่รู้จักกันเชิงแนวคิดฝ่ายขวา คือเรามักเข้าใจแบบชาวบ้านคือแนวทางทุนนิยม พรรคนี้จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับฝ่ายขวา คือพรรคที่มีแนวทางทุนนิยมและอนุรักษ์นิยม ( คำว่าเข้าร่วม กับคำว่าสนับสนุน ผู้เขียนหมายความว่า ถ้าเข้าร่วมคือเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลคำว่าสนับสนุนคือคะแนนเสียงให้ แต่ไม่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล )
๔. แนวทางทุนนิยม ได้แก่พรรคโมเดอร์ลาสต์ เป็นพรรคฝ่ายขวาที่มีคะแนนเสียงสนับสนุนมากที่สุด สิบปลายๆ ถึงยี่สิบเปอร์เซนต์ต้นๆ แนวคิดทางระบบทุนนิยม เสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการ รายละเอียดของผู้มาลงคะแนนเสียงให้กับแต่ละพรรคก็น่าสนใจ มักเป็นไปตามนโยบายผลประโยชน์และแนวคิด
๕. พรรคสนับสนุนเกษตรกร คือพรรคเซนเตอร์ ( Center ) เสียงสนับสนุนที่ได้รับคือผู้ประกอบการทางการเกษตร ผู้เข้าร่วมในพรรคเขาก็มีฐานทางการผลิต ประเทศนี้ที่นาสนใจของพรรคการเมืองคือ เขาจะมีกิจกรรมให้กับกลุ่มองค์กรของเขา และการมีส่วนร่วมในการรักษาผลประโยชน์ พรรคการเมืองนี้เช่นเดียวกันจะมีการบริหารความรู้ร้านค้า ซึ่งเป็นลักษณะการสร้างเป็นองค์กรบริการประชาชน คะแนนเสียงพรรคนี้จะไม่มาก ประมาณ ๕ เปอร์เซนต์ พรรคนี้ถ้าฝ่ายขวาได้คะแนนเสียงข้างมากก็จะเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล
๖. พรรคทางด้านศาสนา คริสต์เตียนดีโมแครสต์ ( Christian Democrat ) หลักคิดเป็นไปตามชื่อที่เรียก มีแนวทางอนุรักษ์นิยม ใช้ศาสนาเป็นแนวทาง คะแนนเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่คือผู้เคร่งศาสนาและผู้ที่เชื่อแนวทางแก้ปัญหาสังคมโดยแนวทางนี้ มีคะแนนเสียงมากเกือบเป็นลำดับหนึ่งของฝ่ายขวา ประมาณสิบเปอร์เซนต์ขึ้น
๗. ระยะหลังๆ มีพรรคการเมือง ประเภทขวาจัดขึ้น ซึ่งเป็นที่รู้กันภายในประเทศ คือพรรคการเมืองประเภทต่อต้านสีผิว พรรคนี้ระยะหลังได้เข้าไปนั่งในสภาด้วย แต่พรรคการเมืองทั่วไปจะไม่สนใจให้เข้าร่วมกำหนดนโยบาย
จากข้อมูลระบบพรรคการเมืองการเลือกตั้ง เราจะได้เห็นพรรคการเมืองที่หลากหลายมาก ถ้าลงรายละเอียดของหลักคิดความเชื่อวิธีการจะแตกต่างกัน อย่างทุนนิยมและเสรีนิยม หรือสังคมนิยมกับพรรคฝ่ายซ้าย ซึ่งการมีพรรคการเมืองที่หลากหลาย สังคมผู้คนที่หลากหลาย มีความคิดความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ละคนที่มีสิทธิ์มีเสียงในการเลือกตั้ง เขาก็จะคิดเลือกผู้แทน แน่นอน ๑. กลุ่มก้อนที่เขาร่วมอยู่ ๒.หลักคิดวิธีการแก้ปัญหาในแต่ละช่วง ( โอกาสพลิกโผมักจะมีให้เห็นเสมอ )
จึงไม่เป็นเรื่องยากที่ประชาชนสวีเดนจะเลือกผู้แทนของเขา เขามักจะไม่สนใจว่ารัฐบาลจะต้องมีเสียงข้างมากหรือน้อย เมื่อพวกเขาตัดสินใจเลือกแล้ว นักการเมืองต้องไปทำหน้าที่ให้ประชาชนที่เลือกเขามาให้ได้ ฉะนั้นในประเทศสวีเดนจึงมีการปกครองระบบหลายพรรคการเมือง และรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศก็คือเสียงส่วนน้อยในสภา บางครั้งก็เป็นรัฐบาลร่วมหลายพรรค บางครั้งก็เป็นรัฐบาลเสียงส่วนน้อยเพียงพรรคเดียว แต่การเมืองในระบบรัฐสภาของเขาก็ไม่เคยที่จะสร้างปัญหาให้คนในสังคม
คนสวีเดนถูกฝึกฝนให้เคารพกติกา และเคารพในหน้าที่ระบบการทำงานจึงไม่สับสนแถมไม่วุ่นวาย ผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่อยู่ตรงไหนก็ทำตรงนั้น ทำให้ดีทำตามหน้าที่ เคารพสิทธิของผู้อื่น
ระบบสังคมนิยมประชาธิปไตย รูปแบบรัฐสวัสดิการคือทางเลือกในการปกครองของประเทศนี้ การใช้เงินมากมายเพื่อนำมาดูแลคนในสังคม คนในสังคมจึงต้องมีจิตใจที่พร้อมจะเสียสละไม่คิดเล็กคิดน้อย ต้องยินดีให้รัฐจัดเก็บภาษี อย่างหนักเมื่อทำงาน นอกจากภาษีของบุคคลที่มีรายได้ทั่วไปเก็บกว่า ๓๐ เปอร์เซนต์ แล้วการเก็บภาษีประเภทก้าวหน้าเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คนในสังคมเขาก็ยินดีจะจ่ายให้ การจัดเก็บภาษีจึงเป็นหัวใจของการจัดระเบียบสังคม ขจัดความอยากมีอยากได้ความเห็นแก่ตัว บางคนอาจจะไม่พอใจ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่ของสังคมเห็นด้วยก็ต้องยอมจำนน การจัดเก็บภาษีของเขานอกจากภาษีรายได้ปกติแล้ว ภาษีสมบัติ ภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน แม้แต่ภาษีเงินที่สะสมจากระบบการเก็บภาษีในทุกเรื่อง การสะสมสมบัติของคนที่นี่จึงมีน้อยมาก เขาคงไม่ต้องเป็นกังวลชีวิตอนาคต เพราะรัฐสวัสดิการดูแลให้ทุกเรื่องตั้งแต่เกิดจนตาย การดูแลของรัฐสวัสดิการ เขาใช้วิชาในการศึกษา มีตัวชี้วัดความสุขของคน เมื่อมนุษย์มีความั่นคงในชีวิตมนุษย์ไม่ต้องสะสม ไม่กังวลทำเพื่อตัวเอง สมองปรอดโปร่งที่จะได้คิดสร้างสรรค์ เมื่อคนในสังคมมีกินไม่อดอยากการก่ออาชญากรรมก็จะมีน้อย
นอกจากการเงินของรัฐที่ได้จากการเก็บภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว รัฐยังมีรายได้จากกิจกรรมของรัฐเองด้วย การจะจัดการเรื่องสวัสดิการให้ได้ดีรัฐจะต้องมีเงิน ฉะนั้นรัฐจึงต้องมีกิจการเป็นของรัฐ ในระบบการค้าเสรีรัฐไม่ไดหวงห้าม แต่รัฐก็เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อการหารายได้เข้ารัฐด้วย บริษัทใหญ่ๆ และเกี่ยวกับความมั่นคงในประเทศรัฐจะเป็นผู้เข้าดูแลจัดการ และพร้อมที่จะแข่งขันกับภาคเอกชน หรือเข้าถือหุ้นเพื่อการดูแรงงาน ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่ศึกษาได้ จะเอาแบบอย่างหรือไม่เอาเราก็สามารถเรียนรู้นำมาเผยแพร่ เพื่อให้คนในสังคมเรียนรู้ได้ เพื่อตัดสินใจ หรือจะนำมาประยุกต์เพื่อนำทางสู่สังคมไทย
รัฐสวัสดิการ หัวใจของแนวคิดคือการขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม สร้างความเสมอภาคให้เกิดขึ้นในสังคม ระบบการแข่งขันมีกฎกติกาที่ให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน เริ่มต้นอย่างไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ ทุกครัวเรือนจะได้รับการดูแลเริ่มต้นจากครรภ์มารดา โอกาสทางการศึกษา ที่พักอาศัย อาชีพการงาน ระบบสาธารณูปโภคที่ดี ไม่ต้องหาเงินมาเสริมเติมแต่งให้เกิดความสะดวกสบายกว่าผู้อื่น แม้วัยบั้นปลายของชีวิตรัฐก็จัดการเลี้ยงดูให้
ในประเทศสวีเดนที่มีการวางระบบให้กับคนในสังคมอย่างคิดว่าคนคือคน ทุกคนมีสิทธิที่จะได้อยู่ได้รับอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมายความเชื่อของระบบคือมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมจะต้องได้รับการบริการทางสังคมขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ประเทศสวีเดนมีการปกครองรูปแบบสังคมนิยมประชาธิปไตยโดยการปกครองดูแลได้รับฉันทามติจากประชาชนที่คัดเลือกตัวแทนมาสู่การบริหารประเทศ ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบสังคมนิยมในรูปแบบรัฐสวัสดิการ ที่รัฐต้องดูแลประชาชนให้มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ต้องผ่านประสบการณ์และการเรียนรู้ หัวใจของการปกครองในระบอบนี้คือ ผู้นำต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในประชาชน เห็นคนเป็นคน ทุกคนในสังคมมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ไม่ปล่อยปละละเลยดูดาย ทำเพื่อความสุขแห่งตนเพียงผู้เดียว
By สุทธิธรรม เลขวิวัฒน์
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment