Sunday, September 30, 2012

ปัจจุบัน



ธรรมะปัจจุบัน

         หิมะเพิ่งจะหยุดตก ท่านเหวินอี้ก็มาอำลาพระอาจารย์กุ้ยเซิน บอกว่าจะไปธุดงค์สักระยะหนึ่ง

         ท่านกุ้ยเซินรู้สึกว่าท่านเหวินอี้ควรจะอยู่ศึกษาให้ลึกซึ้งกว่านี้ แต่ท่านไม่สะดวกที่จะรั้งไว้ จึงเดินมาส่งที่ประตูวัด แล้วกล่าวว่า

         " ใครๆ ก็รู้ว่าโลกทั้งสามภูมิเป็นโลกสมมติที่จิตสร้างขึ้น สรรพสิ่งแตกต่างเพราะการแยกแยะ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถามเจ้าว่า... " พูดพลางชี้ไปยังก้อนหินก้อนหนึ่งในลานวัด ถามว่า " หินก้อนนี้อยู่ในใจหรืออยู่นอกใจ "


         ท่านเหวินอี้ตอบตามตำราเซนที่ศึกษาร่ำเรียนมาว่า " อยู่ในใจ "

         ท่านกุ้ยเซินกล่าวว่า " พระธุดงค์ที่ต้องเดินธุดงค์ไปทั่ว แต่กลับแบกหินก้อนใหญ่ไว้ในใจ ไม่หนักแย่ดอกหรือ ? "

         ท่านเหวินอี้อึ้งไปในทันที ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี จึงวางสัมภาระลง แล้วอยู่ศึกษาธรรมะกับท่านกุ้ยเซินต่อไป

         เดือนกว่ามานี้ ท่านเหวินอี้ขยันหมั่นศึกษามากยิ่งขึ้น ทุกเช้าเย็น ท่านจะมาสรุปธรรมะที่ท่านค้นพบให้ท่านกุ้ยเซินฟัง แต่ก็ถูกท่านกุ้ยเซินโต้แย้งทุกครั้งไป

          สุดท้ายท่านเหวินอี้รู้สึกอับจนหนทาง ท่านกุ้ยเซินจึงพูดอย่างเมตตาว่า " อันธรรมะนั้น แท้จริงก็คือขณะจิตปัจจุบัน "

          ท่านเหวินอี้บรรลุธรรมในบัดดล ท่านซาบซึ้งมาก นำเอาคำสอนนี้เผยแพร่ไปทั่ว เต๋อเส้าลูกศิษย์ของท่านก็เข้าใจธรรมะข้อนี้อย่างลึกซึ้งเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากโศลกบทนี้ที่เขามอบให้อาจารย์

          บนยอดดอยแห่งธรรม มิใช่แดนคน

         นอกใจไร้กฏ มองไปทางใด เห็นแต่เขาเขียว

         บทสรุปของโศลกบทนี้ก็คือ " ธรรมะคือขณะจิตปัจจุบัน " คนที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุด ก็คือเทพ แล้วคนที่เป็นเทพนั้นสิงสถิตอยู่ที่ไหน ก็อยู่ตามป่าตามเขานั่นเอง

         พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ สรวงก็คือโลกปัจจุบัน ธรรมะคือ ความจริง ไม่ต้องจัดฉาก ไม่ต้องไปค้นหาที่ใหน มองไปก็เจอะเจอ เพราะความเป็นจริงดำรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง

         ท่านอี้เหวินชื่นชมโศลกบทนี้อย่างยิ่ง ถึงกับกล่าวว่า " แค่โศลกบทนี้ ก็ตั้งนิกายเซนที่เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเราได้แล้ว "

         ต่อมา ท่านเต๋อเส้าได้สรุปธรรมะนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า " ธรรมะคือปัจจุบัน ทุกสิ่งลงตัว ประหนึ่งอนัตตา ไม่ขาดไม่เกิน "

แง่คิด

         มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

         คนที่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษาอยู่ มักจะคิดว่า ชีวิตในวัยเรียนมันช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่มีความหมายเอาเสียเลย อีกหน่อย รอให้ทำงานแล้ว นั่นแหละถึงจะเรียกว่าชีวิต

         คนที่ตระหนี่ถี่เหนียวก็ชอบคิดว่า ตอนนี้ต้องประหยัดกินประหยัดใช้ มีชีวิตอยู่อย่างซกมกซังกะตายไปวันๆ รอให้อีกหน่อยแต่งงานแต่งการมีครอบครัวเสียก่อน ชีวิตจึงจะเริ่มต้นอย่างแท้จริง
   
         เราชอบเอาปัจจุบันไปเก็บดองไว้  ทั้งๆ ที่มันไม่งอกไม่เงย แถมยังต้องเสี่ยงกับภาวะที่นับแต่จะด้อยค่าลง ความจริง ชีวิตมันดำรงอยู่ในทุกที่ทุกเวลา เพียงแต่เราไม่มีอุปกรณ์ที่จะไปมองเห็นมันเท่านั้นเอง สิ่งที่เราพอจะทำได้จึงมีเพียงแค่ถนอมรักปัจจุบันให้มากๆ เพราะเรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน


        มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นยังไง ถ้าถามเซน เซนจะตอบว่าก็คือการมีสมาธิ ขณะทำสิ่งใดก็ให้รู้ว่ากำลังทำสิ่งนั้น เวลากินข้าวก็กินข้าว เวลาหลับก็นอนหลับ อย่างนี้แหละที่เรียกว่ามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ถ้าถามว่า เรื่องอะไรสำคัญที่สุด วันอะไรสำคัญที่สุด ใครสำคัญที่สุดสำหรับเรา หลายท่านอาจตอบว่า " เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันก็คือ ได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ร่ำรวยเงินทอง ได้ซื้อบ้าน ซื้อรถ คนที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันก็คือ พ่อแม่ ลูกเมีย วันที่สำคัญที่สุดก็คือ วันสอบเข้ามหาวิทยาลัย วันแต่งงาน วันสอบสัมภาษณ์เข้าทำงาน "

        แต่ข้าพเจ้าอยากจะบอกทุกท่านว่า ที่ตอบมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่

        เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนี้ คนที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่อยู่กับเรา ทำงานกับเราในขณะนี้ วันเวลาที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เวลานี้

        นี่แหละคือสิ่งที่เรยกกันว่า มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน

        อยากมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ก็จะต้องพึงพอใจกับปัจจุบัน ต้องเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเราในวินาทีนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว ต้องเชื่อมั่นว่า ชีวิตของเรากำลังพัฒนาไปในทางที่ดีที่สุด





By สุภาพร  ปิยพสุนทรา ( สว่าง อย่าง เซน )