Thursday, September 27, 2012

ไร้ซึ่งความหวาดกลัว


ไร้ซึ่งความหวาดกลัว

          เล่ากันว่า มีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ใจกล้ามาก ทุกเย็นเขาจะเดินทางเข้าไปในป่าลึกตามลำพังคนเดียว เพื่อนั่งสมาธิในถ้ำอันวิเวก

          พวกวัยรุ่นในหมู่บ้านคิดจะทดสอบความใจกล้าของพระธุดงค์รูปนี้

          เส้นทางจากวัดสู่ถ้ำอันวิเวก ต้องผ่านป่าสนรกครึ้มแห่งหนึ่ง กิ่งสนห้อยระโยงระยาง บางกิ่งโน้มต่ำระหัวผู้เดินผ่าน

          แผนทโมนๆ ของพวกวัยรุ่นมีอยู่ว่า พวกเขาจะขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นสน รอให้พระธุดงค์เดินผ่านในตอนกลางคืน พวกเขาก็จะเอื้อมมือออกมาจับหัวโล้นๆ ของพระธุดงค์เล่น รับรองพระธุดงค์จะต้องตกใจกลัว วิ่งหนีหกล้มหกลุกให้ได้หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งแน่ๆ


          และแล้ว ดึกวันนั้น วัยรุ่นกลุ่มนั้นก็ทำตามแผน พวกเขาขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ข้างฝ่ายพระธุดงค์ก็เดินผ่านป่าสนไปตามเวลาอันเป็นกิจวัตร วัยรุ่นกลุ่มนั้นรีบเอื้อมมือไปจับหัวโล้นๆ ของพระธุดงค์เอาไว้ พวกเขาคิดว่า มืดๆ แบบนี้ พระธุดงค์ไม่กลัวผี แหกปากร้องลั่น ก็ให้มันรู้ไป

          ที่ใหนได้ พระธุดงค์ไม่ตกใจกลัวแม้แต่น้อย ท่านยืนเฉย ปล่อยให้วัยรุ่นจับหัวโล้นๆ ของท่านเล่นจนหนำใจ

          ความสงบนิ่งของพระธุดงค์ ทำให้กลุ่มวัยรุ่นแปลกใจ และสุดท้ายก็กลับตกเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง พวกเขารีบชักมือกลับ ในขณะที่พระธุดงค์ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

          " สมแล้วที่เป็นพระผู้มีสติ ใจกล้าจริงๆ "

          พวกวัยรุ่นจับกลุ่มคุยกันหลังก่อเหตุ ทุกคนยอมศิโรราบให้กับความใจกล้าของพระธุดงค์ท่านนี้ แต่ลูกพี่ใหญ่ยังแคลงใจอยู่ว่า พระธุดงค์ไม่กลัวผีจริงหรือ หรือว่าท่านกลัวจนใบ้กิน คิดเช่นนี้แล้ว พวกเขาจึงแห่กันไปหาพระธุดงค์ในเช้าวันต่อมา

        พวกเขาถามพระธุดงค์ว่า " พระอาจารย์ ช่วงนี้มีข่าวแปลกๆ ได้ยินว่า ทุกเย็น จะมีภูตผีปีศาจออกอาละวาด ท่านได้ข่าวบ้างหรือไม่ ? "

        พระธุดงค์กล่าวว่า " ภูตผีปีศาจ เป็นเพียงมายาภาพที่คนเราสร้างขึ้น "

        หัวโจกวัยรุ่นแหย่ว่า " หรือครับ ? แต่เมื่อคืนนี้ มีคนเดินผ่านป่าสน เขาบอกว่าถูกผีจับหัวจริงๆ นะครับ "

        พระธุดงค์กล่าวเสียงเรียบเฉยว่า " เมื่อคืน อาตมาก็ถูกจับหัวหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่ภูตผีปีศาจ เป็นแค่วัยรุ่นจอมทโมนในหมู่บ้าน "

         พระธุดงค์พูดอย่างใจเย็นว่า " มือที่จับหัวอาตมา ทั้งใหญ่ทั้งหนาแถมยังอุ่นอีกต่างหาก ถ้าเป็นมือผี มันก็ต้องเย็นเฉียบสิ "

         วัยรุ่นกลุ่มนั้นอึ้งกิมกี่ไปเลย ไม่อยากเชื่อเลยว่า ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนั้น พระธุดงค์จะยังมีสติพิจารณาวิเคราะห์ได้ว่า มือที่ใหญ่หยาบและอุ่นนั้นเป็นมือของวัยรุ่นในหมู่บ้าน มีสติได้ขนาดนี้ ช่างเก่งจริงๆ

แง่คิด

        รู้แจ้งไม่หวาดกลัว

        อาการสงบนิ่งของพระเซนเกิดจากสัญชาตญาณบวกกับความกล้าหาญ ซึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการนั่งสมาธิเข้าฌาณเป็นประจำ หรือมีตัว " รู้ " นั่นเอง

        รู้แจ้งเพราะอยู่เหนือความหวาดกลัว

        พระเซนรู้ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดาของมนุษย์ไม่มีมนุษย์คนไหนหนีพ้นความตาย เมื่อเวลาชีวิตของคนคนหนึ่งหมดลงเขาก็ต้องจากโลกนี้ไป ดังนั้น ท่านจึงไม่กลัวตาย

        เมื่อไม่กลัวตาย จะกลัวทำไมกับผี

        ที่คนเรากลัวผี ก็เพราะกลัวตาย กลัวผีจะมาเอาชีวิต มาทำร้าย มาทำลายให้เราถึงแก่ความตาย หากไม่กลัวตายจริงๆ ก็ต้องไม่กลัวผี

        แต่แม้จะไม่กลัวผี ทว่าจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ใครบ้างจะไม่ตกใจ

        คนที่ไม่ตกใจเมื่อถูกจู่โจม คือคนมีสติ คนมีสติจะสามารถจัดการกับเหตุจู่โจมได้อย่างเป็นฝ่ายกระทำคนที่ขาดสติ เมื่อถูกจู่โจม จะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ กลายเป็นเหยื่อของชะตากรรม

        คนในโลกนี้มีหลายประเภท บนไม้เท้าของบาร์ต๊อกคีตกวีชาวฮังการีสลักคำพูดคำหนึ่งไว้ว่า " ฉันได้ทำลายอุปสรรคทั้งปวงแล้ว " แต่สำหรับคาฟกานักประพันธ์ชาวออสเตรียผู้หดหู่ เขากลับนำเอาคำคำนี้มาสลับประธานกับกรรม เป็น " อุปสรรคทั้งปวงได้ทำลายฉันลงแล้ว "

        จะเห็นได้ว่า เกิดเป็นคนเหมือนกัน แต่คนบางคนเข้มแข็งมาก เอาชนะอุปสรรคขวากหนามได้สารพัด ในขณะที่คนบางคนอ่อนแอมากพ่อยแพ้ได้ทุกเรื่อง

        มันเป็นความจริงที่ว่า " ฉัน " กับ " ชะตากรรม " มักขับเคี่ยวกันอย่างเอาเป็นเอาตายเสมอ ถ้า " ฉัน " รอด " ชะตากรรม " ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ถ้า " ฉัน " พลาดท่าเสียที " ชะตากรรม " ก็เป็นฝ่ายชนะ

        ใครอยู่ ใครไป ขึ้นอยู่กับว่า ใครแข็งแกร่งกว่ากัน

        โลกใบนี้เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง สุขทุกข์แปรผัน เมื่อเกิดมาแล้ว ชีวิตของคนทุกคนก็มีสิทธิ์ประสบกับเหตุไม่คาดฝัน เราจะต้องยกระดับความสามารถในการเอาชนะอุปสรรค ต้องตื่นตัวพร้อมอยู่เสมอ เมื่อถูกท้าทาย จะได้ไม่ตื่นตระหนก มีสติพอที่จะนำเอาความรู้ ความเชื่อมั่นในตนเองออกมาแก้ไขปัญหาได้ด้วยอาการอันสงบนิ่ง

       ความเชื่อมั่นในตนเองกับความเข้มแข็งเป็นเหตุและผลของกันและกัน

       ความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นอาวุธที่มีอานุภาพที่สุดในการเอาชนะทุกสิ่งอย่าง

       ขณะเดียวกัน ความเข้มแข็งก็เป็นรากฐานอันมั่นคงของความเชื่อมั่น

       ต้องเข้มแข็ง จึงจะเอาชนะความกลัว แปรวิกฤตเป็นโอกาสได้

       ในทางกลับกัน ความเชื่อมั่นในตัวเองก็เป็นมูลเหตุแห่งความเข้มแข็ง หากปราศจากความเชื่อมั่นแล้วไซร้ คนเราก็เข้มแข็งไม่ได้


       เพราะเชื่อมั่น เราจึงเข้มแข็ง 
เพราะเข้มแข็ง เราจึงเชื่อมั่น

 



By สุภาณี  ปิยพสุนทรา ( สว่าง อย่าง เซน )  

No comments:

Post a Comment