Saturday, September 29, 2012

ดวงตาเห็นสัจธรรม




ท่านเต๋อซันบรรลุธรรม

         ท่านเต๋อซันได้ข่าวว่าศาสนาพุทธนิกายเซนเจริญรุ่งเรืองมากทางตอนใต้ของประเทศจีน ท่านรู้สึกไม่พอใจมาก ถึงกับบ่นพึมพัมว่า " ศาสนาพุทธลึกซึ้งและกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง หลายคนบวชเรียนชั่วชีวิตยังไม่บรรลุธรรมไอ่พวกคนทางใต้ กล้าดีอย่างไรจึงคุยโวว่าธรรมมะของพวกเขาชี้ตรงใจชี้แนะทีเดียวก็บรรลุธรรมได้โดยฉับพลัน อาตมาจะไปเปิดโปงพวกนั้น "

         ว่าแล้ว ท่านเต๋อซันก็หาบคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรหาบใหญ่เดินทางออกจากมณฑลเสฉวน มุ่งหน้าสู่เมืองหลี่หยางในมณฑลหูหนัน



         มาถึงเมืองหลี่หยาง ท่านเต๋อซันรู้สึกหิว เหลือบไปเห็นข้างทางมีแม่ค้าคนหนึ่งกำลังขายขนมเปี๊ยะอยู่ ท่านจึงวางหาบคัมภีร์ลง ตั้งใจว่าจะซื้อขนมสักชิ้นมาแก้หิว

         แม่ค้าถามท่านเต๋อซัน ด้วยความแปลกใจว่า " ที่ท่านหาบมานี้คืออะไร "

         ท่านเต์อซันบอกว่า " คัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร "

         แม่ค้ากล่าวว่า " ข้ามีข้อข้องใจเกี่ยวกับคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร อยากจะเรียนถามท่าน หากท่านตอบได้ ของว่างนี้ก็จะให้ท่านฟรีๆ แต่ถ้าตอบไม่ได้ ของว่างนี้ก็จะไม่ขายให้ท่าน "

         ท่านเต๋อซันนึกขำในใจ " เป็นแค่แม่ค้าธรรมดาๆ คนหนึ่ง ริจะมาถกคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรกับเรา ชิชะ นี่มันเท่ากับสอนหนังสือสังฆราชชัดๆ "

         ท่านเต๋อซันเชิดหน้า กล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า " เชิญถามเถิดโยม "

         แม่ค้าถามว่า " ในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรเขียนไว้ว่า ' จิตในอดีตไม่ว่าง จิตปัจจุบันไม่ว่าง จิตอนาคตก็ไม่ว่าง ' ถ้าเช่นนั้น ขอถามท่านสักหน่อยเถิดว่า ของว่างที่ท่านต้องการนั้นคือของว่างอันใด "

        ท่านเต๋อซันอึ้งไปทันที รีบหาบคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรที่ท่านเคารพนับถือและสุดหวงแหนเดินหนีจากไป

         ครั้นมาถึงวัดถ้ำมังกรที่ท่านฉงซิ่นจำวัดอยู่ ท่านเต๋อซันก็ตะโกนโหวกเหวกขึ้นว่า " ได้ยินกิตติศัพท์วัดถ้ำมังกรมานาน แต่พอมาถึง ไม่ยักจะเห็นถ้ำ ไม่ยักจะเห็นมังกร "

         ท่านฉงซิ่นรีบออกมาคำนับ แล้วตอบว่า " ที่มองไม่เห็น ก็เพราะตัวของท่านอยู่ในถำมังกร จึงมองไม่เห็นถ้ำ ไม่เห็นมังกร "

         ท่านเต๋อซันจนด้วยวาจา จึงขอศึกษาธรรมมะอยู่กับท่านฉงซิ่น

        ดึกแล้ว ท่านเต๋อซันยังไม่ลาจากไป
  
        ท่านฉงซิ่นถามว่า " ดึกแล้ว ทำไมท่านยังไม่กลับอีก "

        ท่านเต๋อซันจึงเดินออกไปข้างนอก แต่แล้วก็เดินกลับเข้ามาอีกพูดว่า " ข้างนอกมืดมาก "

        ท่านฉงซิ่นจึงจุดเทียนเล่มหนึ่งส่งให้ท่านเต๋อซัน แต่พอท่านเต๋อซันยื่นมือมารับ ท่านฉงซิ่นกลับเป่าเทียนเล่มนั้นดับเสีย

       ท่านเต๋อซันบรรลุธรรมในบัดดล ที่แท้การรู้ถึงพระธรรมคำสอนเป็นเรื่องที่วอนขอจากภายนอกมิได้ ดังนั้น ท่านจึงเอาคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตาสูตรที่เก็บรักษาเป็นอย่างดีมาหลายปี เผาทิ้งเสียในวัดนั้น

       ต่อมา มีคนถามท่านว่า " พระโพธิสัตว์คืออะไร "

       ท่านเต๋อซันเงื้อไม้พลองขึ้นฟาด พร้อมออกปากไล่ว่า " ออกไป อย่ามาพูดจาเหลวไหลที่นี่ "

       เมื่อมีคนถามท่านว่า " พระอรหันต์คืออะไร "

       ท่านเต๋อซันตอบว่า " พระอรหันต์ก็คือหมาจิ้งจอกสวรรค์ "

      ไม่มีใครเข้าใจคำพูดและการกระทำของท่านเต๋อซัน จนกระทั่งท่านเต๋อซันตั้งวัดเซนของตนเองขึ้น ท่านจึงสรุปธรรมมะที่ท่านบรรลุให้ลูกศิษย์ฟังว่า

      " ที่นี่ของอาตมาไม่มีพระไม่มีเจ้า พระโพธิธรรมเป็นเพียงหมาจิ้งจอกเฒ่า พระพุทธเจ้าเป็นเพียงขี้แห้งๆ กองหนึ่ง พระมัญชูศรีโพธิสัตว์กับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ก็เป็นเพียงคนหาบขี้ ศีล สมาธิ ปัญญา คือปุถุชนคนสามัญ โพธิญาณ นิพพาน คือไม้หลักผูกลา คัมภีร์พระสูตรทั้งหลายแหล่เป็นแค่สมุดบัญชีพญายม เป็นกระดาษเช็ดก้น บาปบุญคุณโทษ จิตเดิมแท้คือผีเฝ้าสุสาน แม้แต่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย "

แง่คิด

       ท้าทายอิทธิพลเก่า อำนาจเก่า อย่างกล้าหาญ

       เมื่อท่านเต๋อซันซึ่งได้รับการศึกษาตามแบบแผนในศาสนาพุทธมานาน พบความจริงว่า สิ่งที่ท่านรู้ สิ่งที่ท่านนับถืออยู่นั้น เป็นเพียงรูปแบบมิใช่แก่นแท้ของศาสนา คัมภีร์ที่ท่องบ่นเป็นเพียงมนต์ขลังที่ช่วยเสริมสร้างกรอบความคิดเก่าๆ ให้ดูศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามยิ่งขึ้น หาใช่สัจธรรมจริงแท้ไม่ ท่านเต๋อซันจึงท้าทายความเชื่อเก่าๆ ด้วยการกระชากพระศาสดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คำสอน ลงมาจากหิ้ง ท่านเต๋อซันตบหัวศาสนิกชนแรงๆ ด้วยคำพูดหยาบคายทำลายความรู้สึก เพื่อให้คนกลับไปคิดทบทวนว่าคุณนับถืออะไรในศาสนากันแน่ คุณกราบไว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่ตัวเองจะได้นิพพานจากสิ่งศักดิ์สธิ์ หรือคุณกราบไว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือสัจธรรม และคุณกำลังเรียนสัจธรรม

        วิทยาศาสตร์เปรียบเสมือนเทียนแห่งปัญญา สามารถส่องสว่างทั่วทุกมุมโลกให้กระจ่างชัดได้ แต่ที่ที่เทียนส่องไปถึงนั้นก็ยังคงเป็นบริเวณอันจำกัด โลกที่วิทยาศาสตร์รู้จักนั้น ถึงอย่างไรก็มีอยู่อย่างจำกัด แต่โลกที่คนเรายังไม่รู้จักกลับมีอยู่อย่างไม่จำกัด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งที่เรามองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด อธิบายไม่ได้ เราควรจะทำอย่างไร

        พระเจ้าเป็นตัวแทนแห่งอำนาจอิทธิพล ถ้าหากอำนาจอิทธิพลเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การทำตามอำนาจอิทธิพลที่ถูกต้อง มันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าอำนาจอิทธิพลเป็นสิ่งผิดล่ะ เรามิตกอยู่ในความหลงผิดดอกหรือ

        สมมติว่าอำนาจอิทธิพลในสังคม แต่ก่อนเคยเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าปัจจุบันมันจะยังถูกต้องเสมอไป สัจธรรมในอดีต ไม่แน่นักว่าเวลานี้อาจกลายเป็นทฤษฎีบ้าบอคอแตกไปแล้วก็ได้ ดังเช่นทฤษฎีโลกแบนนั่นปะไร

        ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงต้องกล้าหาญพอที่จะลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจอิทธิพลเก่าๆ โดยอำนาจอิทธิพลที่ไม่ถูกต้อง

         การท้าทายอำนาจอิทธิพล จะต้องอาศัยความกล้าหาญอันยิงยวด ถ้าอ่อนแอ ก็อย่าพูดเลยว่าจะท้าทาย

         อำนาจอิทธิพล มันเป็นอะไรที่ใหญ่โตเข้มแข็งมากๆ ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นสิ่งที่อนุรักษ์ ดิ้อรั้น ทรงอานุภาพยิ่ง

         ส่วนคนที่ไปท้าทายนั้น แรกเริ่มมักจะอ่อนแอที่สุด เล็กกระจิดริดที่สุด เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่เข้าใจมากที่สุด

         ถ้าหากคุณคิดจะท้าทายอำนาจอิทธิพลบางอย่างละก็ คุณจะตกใจกลัวรูปลักษณ์ภายนอกที่ใหญ่โตเข้มแข็งของสิ่งนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด และยิ่งไม่ควรคร่ำครวญกับความพ่ายแพ้ล้มเหลวที่รออยู่ตรงหน้า สิ่งที่คุณควรจะมีคือ ความกล้าหาญ เสริมความกล้าหาญเข้าไป จนกว่าจะได้ชัยชนะในขั้นสุดท้าย

        น่าเสียดายที่ในหมู่พวกเรา ส่วนใหญ่จะพ่ายแพ้กันตั้งแต่ก้าวแรก

        แต่ว่า มีเพียงความกล้าหาญอย่างเดียว มันยังไม่พอ โดยเฉพาะในแวดวงวัฒนธรรมความคิดและแวดวงวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้ที่ผู้ท้าทายจะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขที่ว่า เขาจะต้องมีจุดยืนที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ เช่น ต้องรู้เขารู้เรา ต้องยึดกุมความคิดที่ก้าวหน้าที่สุด เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด หลากหลายที่สุด ฯลฯ

        ห้ามต่อสู้ห้ามท้าทายอย่างหลับหูหลับตา หรือมือบอดเด็ดขาด เพราะคุณจะตกม้าตายอนาถ






By สุภาณี  ปิยพสุนทรา ( สว่าง อย่าง เซน )
       

No comments:

Post a Comment