Sunday, May 12, 2013

รูปลักษณ์แสนลำบาก

รูปลักษณ์แสนลำบาก

          ในสำนวนนี้แสดงถึงการปิดบังสิ่งแท้จริงที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ ความต้องการที่ต้องเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครล่วงรู้ได้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อาจจะทำนองเดียวกับคำว่า " ผ้าขี้ริ้วห่อทอง " ในสำนวนไทย

           และถ้าเป็นในด้านกลยุทธ์ทางการค้าคงคล้ายๆ กับการที่บริษัทหนึ่งจะออกผลิตภัณฑ์สินค้าหรือทำการตลาดที่สำคัญ แต่ยังคงเก็บงำความลับให้บริษัทคู่แข่งตายใจว่า ในห้วงเวลานั้นบริษัทอยู่ในสภาพย่ำแย่หรือไม่มีโครงงานสำคัญที่จะออกมา แต่เมื่อถึงเวลาปล่อยผลิตภัณฑ์สินค้าออกมาสู่ตลาดจนคู่แข่งตั้งตัวไม่ทัน

          และมีส่วนละม้ายใกล้เคียงกับหนึ่งในกลยุทธ์ในตำราพิชัยสงครามของท่านปรมาจารย์ซุนวูในบทที่ว่า " แสร้งถอย โจมตีได้ คล้ายโจมตีไม่ได้ " ที่ท่านซุนวูได้เขียนสอนท่านแม่ทัพนายกองไว้กว่าสองพันปี ในทำนองการสร้างภาพลักษณ์กองทัพที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามชะล่าใจจนไม่มีการเตรียมรับมือ เมื่อเข้าโจมตีก็จะประสบความสำเร็จทันที หรืออย่างน้อยก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามขาดความกระตือรือร้นในการทำศึกสงคราม

           ญี่ปุ่นและจีนนั้นมีการถ่ายเททางวัฒนธรรมและความเชื่อกันมาเป็นพันปีและอาจจะมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกันซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ



           ในสำนวน " รูปลักษณ์แสนลำบาก " ถือว่าเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญที่ใช้ลวงหลอกให้คู่แข่งหรือฝ่ายตรงกันข้ามประมาทหรือชะล่าใจด้วยการยอมทนลำบากหรือยอมบาดเจ็บเสียเองด้วย

           การแข่งขันทางด้านการตลาดของเครื่องดื่มที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านของเมืองไทยที่มีเจ้าตลาดอยู่สองค่ายก็คือ " โค้ก " กับ " เป็ปซี่ " ที่เป็นคู่กัด ตลอดกาล หลายคนรู้ดีว่าทั้งสองค่ายมีการปิดบังอำพรางกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อไม่ให้คู่แข่งขันได้เปรียบมาโดยตลอด

           การรุกตลาดครั้งใหม่ของ " โค้ก " ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๑ นั้นยังจัดว่ามีการทำกิจกรรมใหญ่โตรอบด้าน มีการสื่อสารถึงผู้บริโภคอย่างเต็มที่อย่างครบวงจร พร้อมทั้งออกภาพยนตร์โฆษณาชุดใหญ่ " Happiness Factory " ความยาว ๙๐ วินาที ซึ่งมีฉายทั้งในทีวีและโรงภาพยนตร์

           เพียงแต่ด้วยนโยบายของ บริษัท โคคา - โคลา ( ประเทศไทย ) ไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขงบการตลาดหรือส่วนแบ่งตลาดได้ นางชื่นหทัย  วรรธนะดิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โคคา - โคลา ( ประเทศไทย ) จึงให้สัมภาษณ์ได้แต่เพียงว่า " จากทั้งกิจกรรมและการสื่อสารออกไปของแคมเปญนี้ จะสามารถกระตุ้นให้คนรับรู้ในแคมเปญนี้ได้ ๘๕ % "

           แม้จะไม่มีตัวเลขการตลาดหรือเป้าหมายว่าการรุกใหญ่ครั้งนี้ของ " โค้ก " ต้องการส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นสักเท่าไร แต่ " โค้ก " ก็สร้างสีสันให้ตลาดน้ำดำคึกคักมากขึ้นโดยทันที

           ด้าน " เป็ปซี่ " ไม่น้อยหน้าเช่นกัน หลังจาก " โค้ก " เปิดตัวบิ้กแคมเปญไปหมาดๆ " เป็ปซี่ " ก็ออกมาประกาศปรับโฉมใหม่ทันที ด้วยงบ ๒๐ - ๓๐ ล้านบาท ในช่วง ๒ - ๓ เดือนแรกของปี พ.ศ.๒๕๕๐ โดยนายชาลี  จิตจรุงพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เป็ปซี่ - โคลาฯ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไว้ว่า

            เกมรุกของ " เป็ปซี่ " เริ่มด้วยการปรับกลยุทธ์การตลาด จากเดิมที่เคยใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ ๓๖๐ องศา สื่อสารให้ผู้บริโภคได้รู้จักกับแบรนด์เป็ปซี่มาเป็นกลยุทธ์ " 3D มาร์เก็ตติ้ง " ซึ่งเป็นการทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับความเป็นเป็ปซี่มากขึ้น ทั้งตัวสินค้าและกิจกรรมต่างๆ โดยเริ่มจากการได้สัมผัสกับแพ็กเกจจิ้งใหม่ของเป็ปซี่

            โดยมีการเปลี่ยนลวดลายบนกระป๋องเป็ปซี่และบรรจุภัณฑ์ทุกประเภทยกเว้นแบบขวดคืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ " ชีวิตเต็มที่ได้อีกเยอะ เป็ปซี่... เต็มที่เลย " ซึ่งเป็นการสื่อสารถึงความเป็นตัวตนของคนรุ่นใหม่มากขึ้น พร้อมทั้งการสื่อสารผ่านช่องทาง New Media ที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่อย่าง เว็บไซต์ www.pepsithai.com คอนเซ็ปต์ " ชีวิตเต็มที่ได้อีกเยอะ เป็ปซี่... เต็มที่เลย " ถือเป็นอีกหนึ่งแคมเปญภายใต้คอนเซ็ปต์ " เป็ปซี่เต็มที่กับชีวิต " ที่ " เป็ปซี่ " ใช้มาแล้ว ๗ ปี

             ทั้งสองค่ายนี้ในแต่ละปีนั้นใช้งบประมาณมหาศาลในการที่จะแย่งชิงการเป็นเจ้าครองตลาดน้ำดำในเมืองไทย ซึ่งบางครั้งก็ต้องสูญเสียเงิน บุคลากรโอกาสทางการตลาดไปเป็นเรื่องปกติในการต่อสู้ในทางการค้า ซึ่งทั้งนี้ก็เพื่อการคว้าชัยชนะอย่างเด็ดขาดนั่นเอง





By ปรัชญา " ซามูไร "

No comments:

Post a Comment