Friday, February 08, 2013

อาตมันในปรัชญาอุปนิษัท

อาตมันในปรัชญาอุปนิษัท

         ทฤษฎีความเชื่อใน พระพรหม หรือ พรหมมัน และ อาตมันเป็นสัจธรรมสูงสุดในปรัชญาอุปนิษัททุกยุคทุกสมัยที่ถือว่าเป็นกุญแจดอกสำคัญในการวิเคราะห์ตามความยึดถือในสมการที่ว่าพรหมมัน คืออาตมัน และ อาตมันก็คือ พรหมมัน

          ตามความหมายเดิม อาตมัน ( สันสกฤต ) หมายถึงลมหายใจหรือลมปราณของชีวิต ในความหมายจริง หมายถึง อัตตา ( บาลี ) หรือ ดวงวิญญาณที่ห่อหุ้มชีวิต วิญญาณหรืออัตตานี้เป็นเสาหลักของชีวิตมนุษย์ทุกรูปนาม เป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดไป แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายที่ไม่ใช่อัตตาจะถูกกำจัดหรือสูญสลายไปแล้วก็ตาม แต่อัตตาจะยังเป็น " ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ " หลังจากที่เราวิเคราะห์แยกเอาส่วนประกอบของกายและจิตในบุคคลออกไปแล้วก็ตาม แต่อัตตาหรือวิญญาณดังกล่าวก็จะยังคงอยู่ไม่สูญสลายไปตามร่างดังนั้น อัตตาจึงเป็นทั้ง ผู้รู้ ผู้คิด ผู้รับอารมณ์ และผู้กระทำกรรม

           มีนักปรัชญาอุปนิษัทสมัยต่อมานำมาแก้ไขปรับปรุงความเชื่อในบางส่วน โดยมีการอธิบายเพิ่มเติมว่า อัตตา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้จากองค์ความรู้ และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาบรรยายหรืออธิบายลักษณะได้ จึงไม่มีใครที่จะชี้ชัดลงไปได้ว่า อัตตา มีลักษณะอย่างไร เนื่องจาก อัตตา มีคุณลักษณะเฉพาะเกินที่จะนำมาบรรยายดังที่ชาวอุปนิษัทเรียกว่า เนติ เนติ เป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติที่อยู่เหนือความป็นวัตถุ มีลักษณะเช่นเดียวกับคำว่า " ตัวตนที่มองเห็นด้วยญาณ " ในปรัชญาเอกซิสเตนเชียลิสมของสาร์ต และคล้ายกับ " ความไม่มีอะไรเลย " ในปรัชญาจิตนิยมของเพลโต



          ปรัชญาอุปนิษัทจัดว่าเป็นประเภทจิตนิยม นักปรัชญาสำนักนี้เชื่อว่า " องค์สมบูรณ์ " คือ " ผู้รู้ " และ " ผู้รับรู้สิ่งที่ถูกรู้ " เชื่อว่า " วัตถุหรือสิ่งที่ถูกรู้ " ไม่ใช่สัตภาวะโดยตัวของมันเอง แต่เป็นเพียง " มายา " หือภาพลวงตาอันเกิดจากความงมงายหลงผิดของมนุษย์ที่ตกอยู่ในอวิทยา ( สันสกฤต ) หรือ อวิชชา ( บาลี ) ซึ่งข้อนี้ขัดแย้งกับความเชื่อในทางภววิทยาของสาร์ต ที่เชื่อว่าวิญญาณหรืออัตตามีจริง แต่เป็นวิญญาณการรับรู้ในวัตถุ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นนิรันดร์ แต่สูญสลายไปตามร่างกาย

          นักปรัชญาอุปนิษัทยืนยันว่า อัตตา เป็นผู้รู้ จึงไม่ใช่วัตถุหรือสิ่งที่ถูกรู้ อัตตาจะถูกรู้ได้ก็ด้วยการบำเพ็ญโยคะ ผู้ปฏิบัติโยคะเข้าถึงความเป็นอัตตา ( พระพรหม ) ได้ขณะที่จิตเกิด ปีติ สุข ในระหว่างการทำสมาธิภาวนาเกิดความรู้แจ้งในปัญญา จนจิตเกิดความบริสุทธิ์ตกอยู่ในเอกัคคตา ก็จะสามารถเข้าถึง " พระองค์ " ผู้ปราศจากสัดส่วนใดๆ นี่คือแนวความคิดของชาวอุปนิษัทในการหาวิธีเข้าถึงและทำความรู้จักกับ " องค์อาตมัน "

          [ โปรดสังเกตว่า แม้การปฏิบัติสมาธิภาวนาในลักษณะเช่นนี้จะสามารถสร้างพลังจิตได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจทำให้จิตในขณะที่เข้าสมาธิติดอยู่ในอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น ทำให้มองเห็น " พระพุทธรูปเป็นดวงแก้ว " ลอยปรากฏขณะนั่งสมาธิภาวนา ดังที่เจ้าอาวาสวัดชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ได้เคยสอนแสดงต่อศิษยานุศิย์มาแล้ว ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นการบิดเบือนคำสอนหลักในทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะนิกายเถรวาทเป็นอย่างยิ่ง - ผู้เขียน ]

          ปรัชญาอุปนิษัทกล่าวว่า การทำความรู้แจ้งใน อัตตา หรือใน อาตมัน ก็เท่ากับการทำให้เกิดการรู้แจ้งในพรหม เพราะว่า อัตตา หรือ อาตมัน ก็คือสิ่งเดียวกันกับพรหม แต่พรหมเป็นสิ่งสูงสุดของจักรวาลเป็นสิ่งที่รับรู้ได้โดยการเข้าฌาน ส่วน อัตตา คือสิ่งที่สถิตอยู่ในตัวของมนุษย์ ดังนั้นการรู้จักอัตตาก็เท่ากับการรู้แจ้งในพรหม และการที่จะเข้าถึงพรหมได้ก็ด้วยฌานความรู้ต่อการบรรลุโมกษะ อุปนิษัทถือว่าฌานความรู้ดังกล่าวไม่ใช่เครื่องนำไปสู่การหลุดพ้น แต่มันคือสภาวะแห่งความหลุดพ้นในตัวของมันเอง

           นักปรัชญาอุปนิษัทยืนยันว่า ในความเป็นจริง อัตตา ที่สถิตอยู่ในตัวมนุษย์ถูกบดบังด้วย อวิชชา ( บาลี ) หรือ อวิทยา ( สันสกฤต ) จึงยังไม่สามารถหลุดพ้น ต้องเวียนว่ายอยุ่ในสังสารวัฎอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมนุษย์จะหลุดพ้นจากวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์สามารถกำจัดอวิทยาทำความรู้แจ้งในอัตตาเข้าถึงองค์พระพรหม

           ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารในปรัชญาอุปนิษัทและสามารถบรรลุได้มิใช่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ ในโลแห่งวัตถุ แต่ต้องเป็นการแสวงหาความรู้ในญาณวิทยาเพื่อการกำจัดอวิทยาหรือความไม่รู้หรือความเข้าใจผิด อันถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิให้สิ้นไปเสียก่อน จึงจะทำให้มนุษย์หลุดพ้นเข้าถึงองค์พระพรหม ปรัชญาอุปนิษัท กล่าวว่า

           " ดังเช่นสายธารแห่งแม่คงคาที่ไหลรวมลงสู่มหานทีย่อมสลัดทิ้งแห่งรูปและนาม ผู้ที่รู้แจ้ง ปราศจากรูปและนาม ( อาตมัน ) ย่อมไปรวมเป็นสิ่งเดียวกันกับ ( ปรมาตมัน ) พระองค์ที่สถิตอยู่สูงยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด ทรงอยู่เหนือความทุกข์โศกทรงข้ามพ้นความชั่วบาป เป็นอิสระจากเงื่อนปมอันมืดมนแห่งอวิทยาในจิตใจ สถิตอยุ่จวบชั่วนิรันดร์กาล "





By แก่นพุทธธรรม

No comments:

Post a Comment