เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๑ )
ชีวิตชาวนาไทย
โดยปกติเราจะได้ยินคำกล่าวว่า " ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ และในน้ำมีปลาในนามีข้าว " คำกล่าวเช่นนี้เป็นความจริง ก็เพราะว่าชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงประชาชนทั้งประเทศ ข้าวไม่เพียงแต่เป็นอาหารหลักของประเทศเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าวได้กลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญอย่างหนึ่งด้วยดังนั้น ชาวนาจึงเป็นกำลังสำคัญทีสุดของประเทศด้วย
ชาวนาจึงทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำตลอดทั้งปี เพราะหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวประจำปีแล้วพวกเขาก็จะเริ่มปลูกข้าวนาปรัง หรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ต่ออีก หรือไม่ก็เลี้ยงปศุสัตว๋หรือสัตว์อื่นๆ เช่น ปลา และเป็ด เป็นต้น โดยปกติปลาจะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในนาข้าว ดังนั้น ต้นกล้าและปลาจะเติบโตพร้อมๆ กัน โดยธรรมชาติในที่เดียวกัน เมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ชาวนาก็จะมีทั้งปลาและข้าวไว้บริโภคในฤดูแล้ง ที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย ถ้าเราท่องเที่ยวไปตามต่างจังหวัดก็จะพบชาวนากำลังตกปลาบนหลังคาบ้านของเขาตามริมถนน ดังนั้น จึงมีคำทักทายในหมู่คนไทยเมื่อพบปะกันก็จะเริ่มทักทายกันว่า " คุณจะไปไหน " แล้วก็ตามด้วยประโยคคำพูดว่า " คุณกินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง " ที่จริงแล้วข้าวกับปลานี้เป็นอาหารหลักของคนไทยมานานแล้ว
ส่วนใหญ่ข้าวจะปลูกกันมากในภาคกลาง ซึ่งจนถึงกับบางครั้งเรียกภาคกลางว่า " อู่ข้าวอู่น้ำ " ของเอเชีย ทั้งนี้ก็เพราะพื้นที่อุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ไพศาล และมีน้ำเพียงพอต่อการทำการเกษตรกรรมอาชีพทำนาเป็นอาชีพดั้งเดิมของไทย ที่สืบทอดมายังอนุชนรุ่นหลัง โดยส่วนใหญ่แล้วชาวนาจะใช้ชีวิตอยู่โดยสงบเงียบในชนบท
แต่อนิจจา อาชีพนี้กำลังถูกคุกคามด้วยสาเหตุหลายสิ่งหลายอย่างเป็นต้นว่า ข้าวเปลือกมีราคาตกต่ำ ขาดแคลนน้ำสำหรับการปลูกข้าวนาปรัง และการก่อสร้างบ้านจัดสรรหรือแหล่งพาณิชย์ ซึ่งบ่อยครั้งที่นำมาซึ่งมลพิษยังบริเวณใกล้เคียง ยิ่งไปกว่านั้นคนรุ่นใหม่ก็มีท่าทีว่าจะละทิ้งอาชีพดั้งเดิมที่สืบทอดมาหลายศตวรรษนี้ เพื่อไปทำงานในโรงงานในเมือง หรือไม่ก็หาอาชีพอื่นที่มีรายได้ดีกว่านี้
ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องช่วยกระดูกสันหลังของชาติของเราให้ดำเนินอาชีพต่อปได้แล้วมิฉะนั้นพวกเขาก็คงจะยังชีพอยู่ไม่ได้ เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคเหล่านี้ เมื่อใดก็ตามที่ชาวนาถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องเลิกอาชีพนี้ พวกเราก็เห็นจะต้องนำข้าวเข้ามาเพื่อบริโภคเป็นแน่ และถ้าหากว่าเหตุการณ์เป็นอย่างนั้น อาชีพของบรรพบุรุษของเราก็คงจะสูญไปและประเทศไทยก็คงจะไม่ได้ชื่อว่าเป็น " อู่ข้าวอู่น้ำ " ของโลกอีกต่อไป
By Essays on Thailand
No comments:
Post a Comment