Saturday, August 30, 2014
แตกต่างราวฟ้ากับดิน
แตกต่างราวฟ้ากับดิน
มีอยู่วันหนึ่ง เย่าซานเหวยเหยียนเดินทางไปขอพบฌานาจารย์สือโถวซีเชียน ถามท่านว่า " ฉันพอจะเข้าใจเนื้อหาในพระไตรปิฎก ๑๒ บรรพแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่า ' มุ่งดวงจิต พบภาวะ สำเร็จพุทธะ ' ของอาจารย์โปรดสั่งสอน "
ฌานาจารย์ซีเชียนถามว่า " เมื่อยืนยันไม่ถูก ปฏิเสธไม่ถูกปฏิเสธแห่งการยืนยันไม่ถูก ยืนยันแห่งการปฏิเสธก็ไม่ถูก ขอถามหน่อยซิว่าจะทำอย่างไร ? "
เย่าซานคลับคล้ายเข้าถึง แต่ยังไม่สัมผัส ฌานาจารย์ซีเชียนจึงส่ายศรีษะพูดว่า " เจ้าไม่มีวาสนาที่นี่ ไปหาฌานาจารย์ม่าจูเต้าอี้ที่เจียงซีเถิด ! "
เย่าซานเดินทางไปขอพบฌานาจารย์ม่าจูที่เจียงซี ถามท่านด้วยปัญหาเดียวกัน ท่านตอบว่า " บางครั้งอาตาเรียกมันว่ายักคิ้วหลิ่วตาบางครั้งก็ไม่เรียกมันว่ายักคิ้วหลิ่วตา บางครั้งยักคิ้วหลิ่วตาคือมัน บางครั้งยักคิ้วหลิ่วตาก็มิใช่มัน เจ้าจะอธิบายย่างไร ? "
เย่าซานฟังจบ มิได้กล่าวสิ่งใด ก็ก้มลงกราบฌานาจารย์ม่าจู่
ฌานาจารย์ม่าจู่ถามว่า " เจ้าพบอะไรหรือ ไฉนก้มลงกราบอาตมา ? "
พรุ่งนี้
พรุ่งนี้
เรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้ ใช่ว่าจะสามารถทำเสร็จในวันเดียว จึงต้องทำต่อในวันพรุ่งนี้ เช่นการสอนหนังสือ บทนี้วันนี้สอนไม่จบ พรุ่งนี้ว่ากันต่อ แต่ว่าถ้าเอาทุกเรื่องเก็บไว้ทำพรุ่งนี้คงไม่ดีแน่
คนบางคนมีนิสัยผิดวันประกันพรุ่ง ชอบบอกว่าพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ในที่ประชุมถ้ามีข้อถกเถียงที่ไม่สามารถสรุปได้ ประธานที่ประชุมมักจะบอกว่า พรุ่งนี้ค่อยประชุมกันต่อ มีเรื่องบุญเรื่องกุศล ขอให้เขาช่วย เขาบอกว่า พรุ่งนี้หรือวันหลังหรือปีหน้าค่อยว่ากัน ผัดผ่อนไปเรื่อย มีโครงการก่อสร้าง ความจริงสามารถทำเสร็จในวันนี้พรุ่งนี้ แต่เขาผละงานไม่ยอมทำอย่างนี้อีกสามปี ห้าปีก็ยังไม่เห็นผลสำเร็จ สะพาน ถนนหนทาง ความจริงควรเสร็จในวันนี้แต่จนแล้วจนรอด ห้าปี สิบปีก็ยังไม่เห็นเงา
พรุ่งนี้หนอ พรุ่งนี้ เจ้าทำร้ายคนไม่น้อยเลย...
" วันนี้ถอดถุงเท้ารองเท้ายังไม่รู้พรุ่งนี้จะมาหรือเปล่า " ชีวิตคน ทุกเรื่อง ทุกอุดมการณ์ ต้องสำเร็จในวันนี้ พรุ่งนี้เป็นเพียงแค่วันสำรอง ซึ่งไม่ใช่ทุกเรื่องโยนไปทำวันพรุ่งนี้ ฝากความหวังไว้กับพรุ่งนี้ ถ้าพรุ่งนี้ฝนตกจะทำอย่างไร ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วรถไฟของพรุ่งนี้ขายหมดแล้ว คุณจะเดินทางอย่างไร พรุ่งนี้ทุกคนต่างแยกย้ายไปกันหมดแล้ว จะเรียกประชุมยังไง
เรื่องต่างๆ ในโลกนี้ ทำเสียตั้งแต่วันนี้ยังมีความหวัง รอถึงพรุ่งนี้ความหวังอาจเลือนราง
Friday, August 29, 2014
ลุงหวงแต่งลูกสาว
ลุงหวงแต่งลูกสาว
นานมาแล้วที่รัฐซ่งมีชายชราผู้หนึ่งแซ่หวง ชายชราผู้นี้เป็นคนถ่อมตัวมาก และก็พอใจที่คนทั้งหลายพากันชมว่าแกเป็นคนถ่อมตัว
ลุงหวงมีลูกสองคน กำลังเป็นสาว รูปร่างหน้าตาสวยงาม กิริยาท่าทางก็เรียบร้อยน่ารัก คนที่รู้เห็นในเรื่องนี้ได้พูดแสดงความยินดีกับลุงหวงว่า " ลุงช่างโชคดีเหลือเกินที่มีลูกสาวสวยงามน่ารักอย่างนี้ "
" หามิได้ " ลุงหวงตอบพลางสั่นศรีษะ " ลูกสาวข้าพจ้ากิริยามารยาทไม่ดีรูปร่างก็ไม่สวยงามและไม่เฉลียวฉลาด ไม่ควรชม ไม่ควรชม "
เมื่อเป็นเช่นนี้นานเข้า คนก็หลงเชื่อว่าคงจะเป็นอย่างที่ลุงหวงพูดจริงๆ ทำให้ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับลูกสาวของลุงหวงเล่าลือกันไปไกล จนลูกสาวสองคนมีอายุมากแล้วก็ยังไม่มีใครมาสู่ขอ
ที่รัฐเว่ยมีชายผู้หนึ่งภรรยาเสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนเขาก็ไม่มีเงินพอที่จะแต่งงานใหม่ เขาจึงมาขอลูกสาวของลุงหวง เมื่อเสร็จพิธีเข้าหอแล้ว พอเปิดผ้าที่คลุมหน้าเจ้าสาวออกดู ก็ปรากฎว่าเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตางดงามมากทำให้เจ้าบ่าวดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว คนทั้งหลายจึงรู้ว่าที่แล้วมาที่ลุงหวงตั้งใจพูดว่าลูกสาวของตนไม่สวยนั้นเป็นการถ่อมตัวจนเกินควร ตอนนี้คนหนุ่มทั้งหลายพากันมาขอสู่ลูกสาวที่สองของลุงหวงจนหัวบันไดไม่แห้ง
บันทึกใน " อิ่นเหวินจื่อ "
ก็เหตุผลเดียวกัน
ก็เหตุผลเดียวกัน
หลวงจีนรูปหนึ่งเดินทางไปปฏิบัติธรรมแบบฌานที่อารามของพระราชครูฮุ่ยจง ในเมืองหนานหยาง มาวันหนึ่ง หลวงจีนรูปนี้ถามพระราชครูว่า " ในคัมภีร์ว่า พุทธภาวะนั้นปกติ จิตนั้นอปกติ แล้วเหตุใดอาจารย์จึงพูดว่าจิตกับพุทธภาวะไม่แตกต่างกัน ? หรือว่าปกติกับอปกติไม่แตกต่างกัน ? "
พระราชครูตอบว่า " ท่านว่าตามคำพูด ไม่ว่าตามความหมาย ดังเช่นหน้าหนาวน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง หน้าร้อนน้ำแข็งละลายเป็นน้ำ ยามหลงภาวะจับผลึกเป็นจิต ยามสำนึกจิตละลายเป็นภาวะ จิตและภาวะคือองค์เดียว แตกต่างกันเพียงเพราะความหลงและความสำนึกของแต่ละคน "
ขณะที่เราศึกษาพระธรรม มักจะงุนงงกับศัพท์พุทธศาสนาแสมอ ขอเพียงทำความเข้าใจให้ทะลุปรุโปร่ง ในคัมภีร์ถึงจะกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างจิตกับภาวะไว้หลายแห่ง เช่น ฌาน จิตเดิมแท้ ภาวะเดิมแท้ ธรรมกาย โฉมเดิมแท้ โฉมหน้าดั้งเดิม ฯลฯ แต่ล้วนมีจุดมุ่งหมายต้องการช่วยให้เราเข้าใจตัวเองจากหลายๆ ทาง สภาพเช่นนี้ เปรียบได้กับนำทองคำมาหลอมเป็นเครื่องประดับต่างๆ เช่น ตุ้มหู กำไล ฯลฯ ซึ่งถึงจะมีลักษณะต่างกัน และหลอมหรือไม่หลอมเข้าด้วยกัน มันก็คือทองคำ
Thursday, August 28, 2014
สำคัญที่รู้ใจกัน
สำคัญที่รู้ใจกัน
คนเรารู้จักกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือรู้ใจกัน แต่ว่า การจะรู้ใจกันได้จริงๆ นั้นยากมากๆ เพราะคนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ
ในโลกนี้ไม่มีคนที่มีหน้าตาเหมือนกันทั้งสองคน และก็ไม่มีใจที่เหมือนกันทั้งสองดวง ดังนั้น การคบค้าสมาคม รู้จักคน รู้จักเรื่องราว รู้เหตุผล นั้นรู้ได้ง่าย แต่จะให้รู้ใจคนนั้นยากนัก เพราะคนรู้ใจนั้นหายาก หวีโป๋หยาและจงจื่อฉีสองขุนนางจีนโบราณซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่รู้ใจกันมาก หวีโป๋หยาถึงกับโยนขิมทิ้งด้วยความเศร้าเสียใจเมื่อรู้ว่าจงจื่อฉี เพื่อนคู่หูที่รู้ใจเสียชีวิตลง
หรือในสามก๊ก ขงเบ้งวางแผนร่วมกับจิวยี่เพื่อทำสงครามต่อต้านโจโฉได้ใช้แผนการต่างๆ จนในที่สุดสามารถทำศึกชนะกองทัพโจโฉ ทำให้โจโฉต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพราะยุทธวิธีการใช้ไฟในศึกสงครามครั้งนี้ ทั้งนี้ ตอนที่จิวยี่และขงเบ้งร่วมกันวางแผนนั้น ได้ตกลงกันว่าจะไม่พูดออกมาก่อนว่าตนคิดแผนการอะไรไว้ โดยต่างฝ่ายต่างเขียนแผนการของตนลงบนฝ่ามือ เมื่อทั้งสองคนแบมือออกมาพร้อมๆ กัน อักษรที่เขียนบนฝ่ามือของทั้งสองคนคือคำว่า " ไฟ " ต่างตกตลึงทึ่งในความเป็นอัจฉริยะของอีกฝ่าย
หรือเช่นในสมัยจ้านกว๋อ มกุฎราชกุมารตันแห่งก๊กเหยี้ยนคิดจะปลงพระชนม์ฉินอ๋อง จึงคบหากับจิงเคอ ทั้งสองเป็นสหายที่รู้ใจกัน สามารถตายแทนกันได้
หยางปู้ตีสุนัข
หยางปู้ตีสุนัข
เช้าวันหนึ่ง หยางปู้ซึ่งเป็นน้องชายของหยางจู สวมเสื้อนอกสีขาวออกไปซื้อของที่ตลาด ตอนขากลับบังเอิญเกิดฝนตก เขาจึงถอดเสื้อชั้นนอกออกเหลือแต่เสื้อชั้นในสีดำ พอเขาเดินเข้าประตูบ้าน หมาที่บ้านเลี้ยงไว้เห็นเขา ก็แยกเขี้ยวและเห่ากรรโชก เหมือนกับเขาเป็นคนแปลกหน้า หยางปู้เจอสภาพเช่นนี้รู้สึกไม่พอใจมากที่หมาจำเจ้าของไม่ได้ เขาจึงคว้าไม้ขึ้นมาไล่ตีหมา
เมื่อหยางจูพี่ชายของเขาออกมาจากบ้านเห็นเข้าก็กล่าวว่า " อย่าไปตีมันเลย แกจะไปโทษหมาได้อย่างไร ถ้าหากหมาของแกเวลาไปขากบ้านขนสีขาวพอกลับมากลายเป็นขนสีดำแกจะไม่รู้สึกประหลาดเลยหรือ ? "
บันทึกใน " เลี่ยจื่อ "
Wednesday, August 27, 2014
ปราชญ์ไม่เคยเกิดกับคนวัยหนุ่ม
ปราชญ์ไม่เคยเกิดกับคนวัยหนุ่ม
จริงหรือไม่กับคำว่า " ปราชญ์... ไม่เคยเกิดกับคนวัยหนุ่ม " ถ้าหากเรามองดูและคิดให้ลึกอย่างละเมียดละไมและใจเปิดกว้าง จะเห็นว่าคนญ่ปุ่นนั้นเขากล่าวคำนี้ได้ตรงมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง
คนหนุ่มนั้นเป็นช่วงอายุของคนที่กำลังอยู่ในภาวะคิดเร็วทำเร็วตามประสาคนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างจากช่วงวัยรุ่นและการเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบในบางครั้งการทำอะไรที่เร็วอาจจะทำให้สิ่งที่ทำนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอและต้องใช้เวลาในการค้นหาความรู้อย่างเต็มพละกำลัง เพื่อมิให้เวลาที่ผ่านมาในแต่ละวันนั้นเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
เมื่อเราลองนึกถึงนักสร้างหนังจากแดนอาทิตย์อุทัย ชื่อของ อากิระ คุโรซาวา คงเป็นอันดับแรกที่คนนึกถึง และก็ยังคงเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในวงการภาพยนต์นานาชาติ ผลงานของเขานั้นลุ่มลึกในปรัชญาของการดำเนินชีวิต ที่สร้างสรรค์ผลงานผ่านวันเวลา ผ่านความคิดในแต่ละช่วงวัยชีวิตและการทำงานของเขา
สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาทางศิลปะ คุโรซาวามีโอกาสได้สร้างหนังโดยผลงานในช่วงแรกๆ เป็นหนังที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างชัดเจน เพื่อสร้างค่านิยมแห่งความรักชาติ เช่นเรื่อง The Men Who Tread the Tiger's Tail (1945) เป็นต้น แม้จะเป็นช่วงต้นๆ ในการสร้างภาพยนต์ แต่คุโรซาวาก็มุมานะจนทลายกรอบจำกัดความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะได้
Tuesday, August 26, 2014
ไม่ใช่หินวิเศษ
ไม่ใช่หินวิเศษ
เณรน้อยรูปหนึ่งชื่อ ต้าเหนียน ไม่ตั้งใจศึกษาธรรมะ กลับหลงใหลการแกะสลักพระพุทธรูปอย่างยิ่ง จึงตัดสินใจไปพบฌานาจารย์อู๋เต๋อ ขอสมัครเป็นศิษย์ เพื่อเรียนรู้วิชาแกะสลัก
ทุกครั้งที่สอน อู๋เต๋อมักเอาหินวิเศษก้อนหนึ่ง ให้ต้าเหนียนกำไว้ในมือแน่นๆ จากนั้นก็คุยนอกเรื่องนอกราวชักแม่น้ำทั้งห้า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวีธีการแกะสลักพระพุทธรูปแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นสามเดือน ฌานาจารย์เอาหินมาก้อนหนึ่ง บอกให้ต้าเหนียนกำไว้ในมือ ต้าเหนียนรับไว้ ก็รู้สึกทันทีถึงความแตกต่าง จึงพูดว่า " อาจารย์ ก้อนหินที่อาจารย์ให้วันนี้ ไม่ใช่หินวิเศษ เป็นก้อนหินธรรมดา "
อู๋เต๋อยิ้มเล็กน้อยพูดว่า " ถูกต้อง การแกะสลักพระพุทธรูปต้องอาศัยความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างจิตกับมือ บทแรกนี้ถือว่าเจ้าสอบผ่าน "
ปรับทัศนคติ
ปรับทัศนคติ
ทัศนคติก็คือความคิดเห็น คนเราถ้าคิดแต่ในทางที่ดี มองในทางที่ดี ทุกอย่างล้วนดีหมด ถ้าเป็นคนที่คุณชอบ คุณก็จะมองว่าดีว่างามสมดังที่ว่า " ในสายตาของคนรักเธอคือสาวงามไซซี " ในทางตรงกันข้ามแม้ว่าเป็นเรื่องดีแต่เขาไม่เชื่อถือ ต่อให้เป็นอารยบุคคลอยู่ตรงหน้า เขาก็มองว่าเป็นตาแก่หัวรั้นได้เช่นกัน ดังนั้น " อัตวิสัยในทัศนคติบุคคลจึงมีอิทธิพลสำคัญยิ่งต่อคนคนหนึ่ง "
มีคนถามว่า " นรกสวรรค์อยู่ที่ใด " สวรรค์นรกก็อยู่ในทัศนคติของเรานี่เอง ถ้าคุณมีทัศนคติของความพึงพอใจ แม้ว่าจะอยู่บ้านโกโรโกโสก็เป็นสวรรค์ได้ในทัศนคติของคุณ แต่ถ้าไม่มีทัศนคติของความพึงพอใจ ต่อให้อยู่คฤหาสน์หรู คุณก็อาจรู้สึกเหมือนอยู่นรก ดังนั้น ทันคติก็คือนรกสวรรค์ สวรรค์นรกอยู่ในทัศนคติของเราทุกคน
มีคนไปเที่ยวแอฟริกา เห็นชาวแอฟริกาเดินเท้าเปล่ากันหมด เขาเกิดความคิดว่า ถ้ามาสร้างโรงงานทำรองเท้าขายที่นี่ ธุรกิจต้องไปได้สวยแน่ หลังจากชวนหุ้นส่วนกลับไปลงพื้นที่สำรวจอีกครั้ง กลับมีคนเห็นว่า " ชาวแอฟริกาเดินเท้าเปล่าเป็นปกติ พวกเขาไม่เคยชินกับการใส่รองเท้า ถ้ามาผลิตรองเท้าที่นี่ใครจะซื้อ " จึงต้องรีบม้วนเสื่อกลับบ้าน
ฉะนั้น ทัศนคติหนึ่ง อาจเข้าได้ ออกได้ สำเร็จได้ ล้มเหลวได้
Sunday, August 24, 2014
นกนางนวลไม่หลงกล
นกนางนวลไม่หลงกล
ที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชอบนกนางนวลมาก ทุกๆ วันเขาจะจแวเรือออกไปในทะเลเล่นกับนกนางนวลเป็นประจำ เมื่อนานวันเข้านกนางนวลก็ไม่กลัวเขาพากันบินร่อนอยู่เหนือเรือของเขา บางครั้งก็ลงมาเกาะที่กาบเรือเพื่อพักผ่อน ยิ่งกว่านั้นในบางครั้งยังบินเข้าไปใกล้ปล่อยให้เด็กหนุ่มคนนี้ลูบขนของมันเล่นอย่างสนิทสนมอีกด้วย
วันหนึ่งขณะที่เด็กหนุ่มกลับบ้าน พ่อของเขาก้พูดว่า " ได้ข่าวว่านกนางนวลชอบแกไม่ใช่หรือ พรุ่งนี้จับมาให้พ่อสักตัว " เด็กหนุ่มก็รับปากพ่อว่าจะจับมาให้
วันหนึ่ง เมื่อเขาแจวเรือออกไปชายหาด จิตใจของเขาค่อนข้างตึงเครียด ตาของเขาจับจ้องนกนางนวลอย่างผิดปกตินกนางนวลพากันมาบินร่อนอยู่เหนือเรือของเขาเหมือนเคย แต่ไม่มีนกตัวไหนทีจะบินลงมาหาเขาเหมือนก่อนหน้านี้
บันทึกใน " เลี่ยจื่อ "
Saturday, August 23, 2014
กัปปะจมน้ำ
กัปปะจมน้ำ
บางครั้งคนี่เก่งและเชี่ยวชาญอาจจะทำงานผิดพลาดได้ถ้าไม่มีความระมัดระวังหรือประมาท ( กัปปะเป็นสัตว์ในนิยายญี่ปุ่นที่ว่ายน้ำเก่งมาก )
By ปรัชญา " ซามูไร "
ไม่ห่างไกลจากพุทธะ
ไม่ห่างไกลจากพุทธะ
สมัยราชวงศ์ถาง มีนักวรรณคดีคนหนึ่งชื่อ ไป๋จฺวีอี้ ท่านถามฌานาจารย์เหวยควน ว่า " คนเราทุกคนล้วนมีกาย ปาก และใจ ขอเรียน ถามว่าจะแยกบำเพ็ญเพียรอย่างไร ? "
ฌานาจารย์ตอบว่า " การรู้แจ้งนั้น หากด้วยกายหมายถึงการถือศีล หากด้วยปากหมายถึงการปฏิบัติธรรม หากด้วยใจหมายถึงการปฏิบัติฌาน เรียกต่างกันว่า ศีล ธรรม และฌาน ซึ่งอันที่จริงแล้วก็คือสิ่งเดียวกันเปรียบดังเช่นแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียงเป็นชื่อแม่น้ำคนละสาย แต่มันคือแม่น้ำเหมือนกัน ไหลลงสู่ทะเลเหมือนกัน ลักษณะน้ำย่อมไม่ต่างกัน ศีลคือธรรม ธรรมแยกไม่ออกจากฌาน ถึงที่สุดแล้วคือ ทำสมาธิภาวนาทำจิตว่าง เพราะฉะนั้น เราจะไปจำแนกทำไม ? "
ไป๋จฺวีอี้ยังไม่หายสงสัย " จิตเดิมแท้สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญ พึงรู้ว่ามันจะบริสุทธิ์หรือสกปรกก็ตาม ที่สำคัญคือตัวเองต้องทำให้จิตนิ่ง ไม่มีความคิดปรุงแต่ง "
ทำไมต้องออกบวช
ทำไมต้องออกบวช
สาวกคนหนึ่งถามฌานาจารย์ฝอกวง ว่า " อาจารย์ครับ อยู่บ้านก็เรียนพุทธธรรมได้ ทำไมต้องออกบวชห่มผ้าเหลือง ? "
ฌานาจารย์ฝอกวงตอบด้วยโศลกธรรมว่า " นกยูงถึงงามตระการตา ฤาเหินฟ้าบินไกลดังห่านป่า ? "
ความหมายของโศลกธรรมนีคือ การศึกษาธรรมโยมิได้ออกบวชเป็นเรื่องดี แต่ถ้าออกบวชด้วยจะดียิ่งกว่า เพราะเท่ากับละทิ้งโลกียวิสัย ทุ่มสมาธิทั้งหมดให้กับการบำเพ็ญกุศลและศึกษาพระธรรมได้ !
สมัยก่อน ในประเทศญี่ปุ่น มีพระเซ็นรูปหนึ่งชื่อซาดะคัน เดิมท่านค้นคว้าดาราศาสตร์อยู่ ๖ ปี ต่อมาปฏิบัติเซ็นอีก ๗ ปี แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงสภาวะจิตเดิมแท้ของตนเอง จึงตัดสินใจสะพายหีบหนังสือเดินทางไปประเทศจีน พำนักในวัดมีชื่อเสียงทุกแห่งตามเทือกเขาพงไพรเพื่อร่วมสนทนาธรรม พำนักในวัดมีชื่อเสียงทุกแห่งตามเทือกเขาพงไพรเพื่อร่วมสนทนาธรรม ขบปริศนาธรรม และบำเพ็ญสมาธิภาวนาจนกระทั่งผ่านไปอีก ๑๒ ปี จึงนับว่าพอจะเข้าถึงแก่นแท้ของเซ็นการศึกษาพระธรรมหาทางสำเร็จมรรคผล ก็เช่นเดียวกับการเรียนหนังสือต้องค่อยๆ ไปทีละขั้น ดังเช่นพระเซ็นซาดะคัน ใช้เวลาถึง ๒๕ ปีจึงประจักษ์ผล
Friday, August 22, 2014
สุขภาพแข็งแรงและอายุยืน
สุขภาพแข็งแรงและอายุยืน
ทุกๆ คนอยากมี " สุขภาพแข็งแรง " และมี " อายุยืน "
" อะไรคือสุขภาพแข็งแรง ? "
อะไรที่สมบูรณ์ ถูกต้อง สะอาดบริสุทธิ์ ถ้อยทีถ้อยอาศัย ทั้งหมดคือ สุขภาพแข็งแรง เช่น ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง ข้อนี้ทุกคนรู้จักดี นอกจากนี้ยังมีสุขภาพจิตแข็งแรง ที่รอเราไปทบทวน ใส่ใจ จึงจะเข้าใจได้หมด
นอกจากร่างกายและจิตใจแข็งแรงดีแล้ว ยังมีสุขภาพของอารมณ์ สุขภาพของการงาน สุขภาพของทรัพย์สมบัติ สุขาพของมนุษย์สัมพันธ์ สุขภาพของการนนับถือศาสนา ดังนั้น คนทั่วไปแม้นจะมีสุขภาพจิตแข็งแรงดี แต่ถ้าไม่มีสุขภาพในด้านอื่นๆ มาเสริมแต่งให้ร่างกายดำรงอยู่ ก็จะกลายเป็นจุดบกพร่องของชีวิต ไม่อาจนับได้ว่าเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง
" อะไรคืออายุยืน "
กวนอิ่นจื่อสอนธนู
กวนอิ่นจื่อสอนธนู
มีชายคนหนึ่งชื่อเลี่บจื่อ ได้ไปเรียนวิชายิงธนูกับกวนอิ่นจื่อ ครั้งหนึ่งเขายิงธนูถูกเป้าพอดี จึงรีบไปเล่าให้กวนอิ่นจื่อผู้เป็นอาจารย์ฟังแล้วกล่าวว่า " การเรียนของข้าพเจ้าพอจะใช้ได้แล้วกระมัง "
กวนอิ่นจื่อจึงถามเขาว่า " เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเจ้าจึงยิงธนูถูกเป้า ? "
เลี่ยจื่อตอบว่า " ข้าพเจ้าไม่ทราบ " กวนอิ่นจื่อจึงกล่าวว่า " เมื่อเจ้าไม่รู้แล้วจะกล่าวได้อย่างไรว่าเรียนสำเร็จ "
เมื่อได้คำตอบเช่นนั้น เลี่ยจื่อจึงก้มหน้าก้มตาพยายามเรียนต่อไปอีเป็นเวลสามปี แล้วเขาก็ไปหาอาจารย์ขอคำแนะนำ
กวนอิ่นจื่อผู้เป็นอาจารย์ก็ถามเขาอีกว่า " เจ้ารู้ว่าทำไมจึงยิงถูกเป้าแล้วหรือยัง ? "
เลี่ยจื่อตอบว่า " ข้าพเจ้าทราบแล้ว "
กวนอิ่นจึงบอกกับเขาว่า " ถ้าเช่นนั้นก็นับว่าใช้ได้ การเรียนยิงธนูนั้นจะยิงได้ฉมังก็ตือเมื่อเข้าใจว่าทำไมจึงยิงธนูถูกเป้า เมื่อเจ้ารู้แล้วจงจดจำเหตุผลในการยิงถูกเป้าไว้ให้แม่นยำอย่าไปฝืนกฎของมัน "
บันทึกใน " เลี่ยจื่อ "
งาม ๘ มุม
งาม ๘ มุม
คนจีนมีคำพูดอยู่คำหนึ่ง " จับฉ่าย " ซึ่งความหมายตรงตัวแปลว่า ผัก ๑๐ อย่าง แต่ถ้าเป็นความหมายเปรียบเทียบเมื่อมาใช้กับคน กลายเป็น " คนจับฉ่าย " ก็คือคนที่ทำอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ที่เห็นส่วนมากไม่ได้ดีสักอย่างเดียว !
ปรัชญาญี่ปุ่นในข้อนี้ก็ใกล้เคียงกันพอสมควร เขาเปรียบกับคนที่ดูคล่องแคล่วไปหมด หยิบจับอะไรก็ดูรวดเร็วทันใจ แต่ในความเป็นจริงนั้นดูเหมือนงานที่ทำจะไม่ค่อยดีหรือไม่เป็นเรื่องเป็นราวเท่าใดนัก และอาจจะดูไม่น่าไว้ใจเสียด้วยซ้ำ สุนทรภู่กวีเอกของไทยเคยกล่าวในทำนองที่ว่า
" รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียว ขอให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล " ซึ่งในปัจจุบันน่าจะต้องรู้มากขึ้นแต่ก็คงไม่ต้องถึงกับรู้ไปหมดเสียทุกเรื่องหรือแม้กระทั่งต้องงาม ๘ มุมอย่างปรัชญาญี่ปุ่นข้อนี้
คนที่รู้จริงและรู้กว้าง คือรู้ในทุกๆ ศาสตร์หรือพอเข้าใจในพื้นฐานและรู้สึกในสายงานที่ตนได้ร่ำเรียนมา การรู้ลึกทำให้เราทำงานไ้ดอย่างเข้าใจมากขึ้น ซึ่งก็น่าจะเพียงพอกับชีวืตที่มีคุณภาพและประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
เอ็ม เค เรสเทอรองต์ หรือ " เอ็มเค สุกี้ " ที่ตอนนี้รู้จักกันดีในฐานะร้านสุกี้ที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย เมื่อกว่า ๔๐ ปีก่อนนั้น ผู้คนแถวสยามแสควร์ นิสิตจุฬา และนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ แถบนั้น เชื่อว่ายังจำร้านอาหารที่ชื่อ " เอ็มเค " ได้ดี
โลภรัพย์บริจาคทรัพย์
โลภรัพย์บริจาคทรัพย์
ฌานาจารย์เยฺว่ฉวนมีชื่อเสียงมากในด้านจิตรกรรมภาพวาดพู่กันจีน แต่ท่านตั้งราคาสูงลิบลิ่ว จึงมีเสียงซุบซิบเล่าลือว่า ความโลภของท่านมีชื่อเสียงไม่แพ้การวาดภาพของท่าน
มาวันหนึ่ง สตรีสูงศักดิ์่านหนึ่งนิมนต์ท่านไปแสดงฝีมือที่คฤหาสน์ของนางท่ามกลางแขกเหรื่อมากมาย ขณะที่ฌานาจารย์เยฺว่ฉวนปริปากเรียกค่าตอบแทน สตรีสูงศักดิ์ผู้นั้น กลับหยามท่านต่อหน้าธารกำนัลว่า " ท่านทั้งหลายดูซิ หลวงจีนรูปนี้รู้จักแต่เงิน แม้ท่านจะมีฝีมือยอดเยี่ยม ทว่าจิตใจกลับสกปรก เพราะฉะนั้น ผลงานของท่านเหมาะที่จะประดับชายกระโปรงของฉันเท่านั้น มิคู่ควรประดับห้องรับแขกนี้ "
ฌานาจารย์เยฺว่ฉวนนิ่งเงียบไม่ตอบโต้กระไรทั้งสิ้น ยังคงยืนราคาสูงลิบลิ่วเช่นเดิม หลังจากนั้น จึงวาดภาพม้วนหนึ่งตามคำกำชับของสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้น แล้วจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนจำนวนมากล้วนสงสัยว่าเหตุใดฌานาจารย์จึงคิดจะเอาแต่เงินถึงกับไม่แยแสคำสบประมาทเหยียดหยามใดๆ ท่านคิดอย่างไรกันแน่ ?
Thursday, August 21, 2014
เรียนรู้การยอมรับผิด
เรียนรู้การยอมรับผิด
คนในวงการเมืองทั่วไปมีจุดอ่อนเหมือนกันู่อย่างหนึ่ง คือเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมรับผิด
นิสัย " เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมรับผิด " เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งของชาวจีนในชีวิต ต่อให้ทำผิดร้ายแรงแค่ไหน ก็ต้องพยายามหาเหตุผลต่างๆ นานาเช่น เวลาเปิดประชุม นัดกันเรียบร้อยว่าเริ่มเวลา ๑๐ นาฬิกา เขามาสายครึ่งชั่วโมง มาสายครึ่งชั่วโมงสมควรต้องยอมรับผิด แต่เขาไม่เพียงไม่ยอมรับผิด แต่ยังยกเหตุผลข้ออ้างต่างๆ นานา เช่นว่า วันนี้รถติดมาก กำลังจะออกจากบ้านพอดีมีโทรศัพท์ด่วนเข้ามา กำลังจะออกจากบ้านพอดีมีแขกมาเยี่ยมกำลังจะออกจากบ้านพอดีฝนตก หาร่มไม่เจอ ข้ออ้างจิปาถะ รวมความคือพยายามแก้ตัวเพื่อแสดงว่าที่เขามาสายนั้นสมควรด้วยเหตุผล ไม่ใช่ความผิด
แต่ว่า การยกเหตุผลเข้าข้างตัว ไม่อาจได้รับความเห็นใจจากผู้อื่น เพราะว่าเริ่มประชุม ๑๐ นาฬิกา เป็นข้อตกลงร่วมกันของทุกคน คุณจึงควรมาตรงต่อเวลาจึงจะถูก ไม่เช่นนั้นก็สมควรยอมรับผิด
การยอมรับผิดเป็นวัฒนธรรมที่ดีงาม พระพุทธศาสนามีคำสอนว่า ให้เรียนรู้การยอมรับผิด ขงจื้อสอนว่า ให้สำรวจตนเองวันละสามเวลา แต่ในพระพุทธศาสนาสอนให้เราต้องทบทวนความผิดตนเองอยู่ตลอดเวลา
Monday, August 18, 2014
ตุ๊กตาดินกับกิ่งท้อ
ตุ๊กตาดินกับกิ่งท้อ
ครั้งหนึ่งตุ๊กตาดินกับหุ่นไม้เดินทางมาพบกันที่ชายฝั่ง หลังจากคุยกันได้ไม่นานก็เกิดทะเลาะโต้เถียงกันขึ้น หุ่นไม้เอานิ้วชี้ที่จมูกของตุ๊กตาดินกล่าวว่า
" เอ็งจะแน่สักแค่ไหนวะ เดิมเอ็งก็เป็นเพียงก้อนดินที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ พอถึงหน้าฝนน้ำบ่าลงมา เอ็งก็จะถูกน้ำชะจนไม่เป็นรูปเป็นร่าง ! "
ตุ๊กตาดินตอบว่า " จริงๆ ข้าเป็นดินฝั่งตะวันตก พอน้ำบ่ามาข้ากจะกลายเป็นดิน แต่เป็นดินที่กลับคืนไปสู่ฝั่งตะวันตกตามเดิม แล้วเอ็งล่ะ ? "
ตุ๊กตาดินตบไหล่หุ่นไม้ " เอ็งแกะจากไม้ท้อของรัฐทิศตะวันออก พอน้ำเหนือบ่ามาก็จะพัดเอาเอ็งไป เอ็งก็จะต้องลอยละล่องไปตามน้ำ โดยไม่รู้ว่าจะลอยไปไหน "
บันทึกใน " จ้านกว๋อเช่อ "
ขนมโบะตะโมจิหล่นใส่
ขนมโบะตะโมจิหล่นใส่
ความโชคดีหรือความสุขที่ได้มาอย่างไม่น่าเชื่อและไม่เคยคาดคิดไว้
By ปรัชญา " ซามูไร "
บักฮื้อกลองหนัง
บักฮื้อกลองหนัง
สาวกคนหนึ่งขอคำแนะนำจากฌานาจารย์ฝอกวง ว่า " ในเมื่อศึกษากาลามสูตรแล้ว ขอเรียนถามว่าเราเคาะบักฮื้อ ( ปลาไม้ ) และตีกลองหนังเพื่ออะไร ? ปลามีชวิต กลองก็ทำด้วยหนังสัตว์ พฤติกรรมเช่นนี้มิขัดศีลข้อหนึ่งของพุทธศาสนาที่ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตดอกหรือ ? "
ฌานาจารย์ฝอกวงตอบด้วยโศลกธรรมว่า
" จำต้องทะลวงทะลุเมฆ ปลุกจิตเจตคึกคักไม่สัปหงก "
เหตุที่ในวัดวาอารามสงัดวิเวกมีการเคาะบักฮื้อและตีกลองหนัง ก็เพราะว่าปลาอยู่ในน้ำไม่เคยหลับตา สะท้อนว่าผู้ออกบวชต้องตื่นเสมอ หมั่นบำเพ็ญเพียรมีสติไม่เกียจคร้าน ส่วนการตีกลองหนังก็เพื่อลดกรรมทำบุญ เสียงบักฮื้อและเสียงกลองทะลวงทะลุเมฆถึงบนฟ้า หมายความว่าการบำเพ็ญเพียรช่วยให้หลุดพ้นวัฏสงสารได้ ไม่ต้องเวียนว่ายอยู่ในห้วงทุกข์ตลอดไป
ชีวิตเหมือนลูกบอล
ชีวิตเหมือนลูกบอล
พูดถึงว่าจะเปรียบเทียบชีวิตเหมือนกับอะไรดี บางคนบอกว่า " ชีวิตเหมือนฝัน " บางคนบอกว่า " ชีวิตเหมือนละคร " บางคนบอกว่า " ชีวิตเหมือนน้ำค้าง " แต่ก็มีบางคนบอกว่า " ชีวิตเหมือนกองทุกข์ " ชีวิตเหมือนแขกผู้มาเยือน " ชีวิตเหมือนม่านเมฆ " ถ้าชีวิตเป็นได้แค่ที่ยกขึ้นมาเปรียบเทียบดังกล่าวข้างต้นนี้แล้ว ชีวิตก็น่าเศร้าใจเสียจริงๆ
อันที่จริงแล้ว ชีวิต " ไม่เที่ยง " " ไม่มีอนัตตา " ดังว่าจริงๆ ชีวิตคนเไม่กี่สิบร้อนหนาว เวลาเกิดไม่มีอะไรติดตัวมา เวลาตายไม่มีอะไรติดตัวไป ถ้าไม่สร้างคุณงามความดีไว้ ไม่สร้างประโยชน์ฝากไว้แก่โลกแล้ว ชีวิตก็มาตัวเปล่าไปตัวเปล่า ดังเช่นที่ว่านั้นจริงๆ
ชีวิตเหมือนอะไร... เราอย่ามองโลกในแง่ร้ายจนเกินไปนัก เอาเป็นว่าเรามาเปรียบเทียบอย่างเป็นกลางๆ ว่า " ชีวิตเหมือนลูกบอล "
คนเราตั้งแต่วัยเด็กเข้าโรงเรียนศึกษาหาความรู้ เรียนจบทำงานสร้างฐานะ กระทั่งมีครอบครัวเป็นพ่อแม่คน เวลานี้พ่อแม่ในสายตาลูกๆ เปรียบเหมือน " บาสเกตบอล " เวลาที่เราดูการแข่งขันบาสเกตบอล นักกีฬาทั้งสองฝ่ายจะแข่งขันแย่งลูกบอล ทุกคนต่างบอกว่านั่น " บอลฉัน "
แต่เมื่อพ่อแม่เริ่มแก่ตัวลง ลูกๆ เริ่มผลักภาระหน้าที่เลี้ยงดู พี่รองบอกว่าควรเป็นหน้าที่ของพี่ใหญ่ พี่ใหญ่บอกว่าควรเป็นหน้าที่ของน้องเล็ก น้องเล็กบอกว่าควรแบ่งกันรับผิดชอบ ดังนั้น ภายใต้การจัดการของลูกๆ พ่อแม่จึงต้องไปพักอยู่บ้านนี้หนึ่งเดือน บ้านนั้นสองเดือน พ่อแม่ที่น่าสงสารในเวลานี้จึงเหมือน " ลูกวอลเล่ย์บอล " ถูกลูกๆ ผลักกันไปโยนกันมา
คดีกวางใต้ใบตอง
คดีกวางใต้ใบตอง
ในสมัยชุชิว ( ๗๗๐ - ๔๗๖ ปีก่อน ค.ศ. ) มีคนตัดฟืนของรัฐเจิ้งคนหนึ่งขึ้นไปตัดฟืนบนภูเขา ขณะที่เขาเดินอยู่บนเขานั้นมีกวางตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากป่าด้วยความตื่นตกใจ ชายผู้นั้นจึงเอาขวานฟันกวางที่อ้วนพีตัวนั้นตาย เดิมทีเขาคิดว่าเวลากลับบ้านค่อยแบกเอากวางกลับไป แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็กลัวว่าถ้ามีคนมาเจอก็จะเอาไปเสีย ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอากวางไปซ่อนไว้ในคูแห้งที่ไม่มีน้ำ แล้วตัดใบตองมาปิดไว้อย่างมิดชิด
เนื่องจากชายคนตัดฟืนผู้นั้นดีใจมากเกินไป ฉะนั้นเวลากลับบ้านจึงจำไมไ่ด้ว่าเขาเอากวางไปซ่อนไว้ที่ไหน พยายามหาแล้วหาอีกก็ไม่เจอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขารู้สึกแปลกใจและงุนงงมาก จนกระทั่งคิดว่าตนเองคงจะฝันไปมากกว่า ระหว่างกลับบ้าน พอเจอคนเขาก็เล่าความฝันที่แปลกประหลาดนี้ให้ฟัง มีชายเกียจคร้านคนหนึ่งเมื่อได้ฟังแล้วเขาก็จดจำคำเล่าไว้ และขึ้นเขาไปเที่ยวหากวางตัวนั้นตามที่คนตัดฟืนเล่าและบังเอิญได้พบกวางตัวนั้นที่ในคู
ชายเกียจคร้านผู้นั้นจึงแอบเอากวางกลับมาบ้านบอกกับเมียด้วยความดีใจว่า " มีคนตัดฟืนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเขาฝันว่าเขาเอาขวานจามกวางตัวหนึ่งตายแต่เกิดลืมสถานที่ที่เขาเอากวางซ่อนไว้ แต่แล้วข้าก็ไปค้นหาจนพบฝันของเขาช่างดีเหลือเกิน ! "
" อย่าเพิ่งดีใจไป " ภรรยาของเขาจุ๊ปากแล้วกล่าวต่อไปว่า " ตัวท่านเองก็คงจะกำลังฝันไปว่าคนตัดฟืนได้กวางตัวนั้นกระมัง ? มีคนตัดฟืนจริงๆ หรือ ? ท่านได้กวางตัวนี้มาก็คือท่านกำลังฝัน "
ชายเกียจคร้านตอบว่า " ข้าได้กวางมาแล้วก็แล้วกัน จะต้องไปสนใจว่าใครฝันไม่ฝันทำไม "
ส่วนชายตัดฟืนเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็ยังไม่ลืม " ความฝัน " ของตน ตกดึกเขาก็ฝันเห็นสถานที่ที่เขาเอากวางซ่อนไว้ ซ้ำยังฝันว่ากวางถูกชายเกียจคร้านผู้นั้นเอาไป รุ่งเช้า คนตัดฟืนก็เดินไปตามทางที่เขาฝันเห็นเมื่อคืนนี้ และไปถึงบ้านชายเกียจคร้านเห็นได้ว่ากวางตัวนั้นที่กลางบ้าน ทั้งสองคนต่างโต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่ากวางเป็นของตนในที่สุดก็พากันไปขึ้นศาล
เมื่อตุลาการถามความเป็นมาของเรื่องราวเสร็จก็กล่าวกับชายตัดฟืนว่า " เจ้าเป็นคนที่ได้กวางตัวนี้จริง แต่กลับพูดว่าเป็นความฝัน หลังจากนั้นก็ฝันว่ากวางถูกคนอื่นเอาไป แล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องจริง ส่วนเจ้านั้น " ตุลาการหันมาพูดกับชายที่เกียจคร้าน " เจ้าไปหากวางตัวจนพบ แต่ภรรยาของเจ้ากลับว่าเจ้าฝันไป จากนี้ก็จเห็นได้ว่า เจ้าทั้งสองล้วนแต่ฝันไปทั้งนั้น ความจริงไม่มีใครได้กวางตัวนี้เลย แต่เวลานี้มีกวางอยู่ตัวหนึ่ง ฉะนั้นเจ้าแบ่งกันคนละครึ่งตัวก็แล้วกัน "
หลังนจากกษัตริย์แห่งรัฐเจิ้งทรงฟังเรื่องชำระคดีดังกล่าวนี้แล้ว พระองค์ทรงพระสรวลตรัสว่า " ตุลาการที่ชำระคดีผู้นี้ก็กำลังฝันเหมือนกัน "
บันทึกใน " เลี่ยจื่อ "
Sunday, August 17, 2014
กระสุนปืนมิเคยวิ่งย้อนกลับ
กระสุนปืนมิเคยวิ่งย้อนกลับ
" กระสุนปืนมิเคยวิ่งย้อนกลับ " นั้นเป็นเรื่องของการแสดงสัจธรรมอีกข้อหนึ่งของมนุษย์ที่ควรสังวรใจไว้ว่า " สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ล่วงไปแล้วไม่สามารถจะย้อนเวลากลับคืนมาได้ "
คนญี่ปุ่นเขานำปรัชญาบทนี้มาเพื่อใช้เตือนสติของตนเพื่อการไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เปรียบดังกระสุนปืนเมื่อยิ่งออกไปแล้วย่อมไม่หวนกลับบางครั้งเขาหมายถึง ใช้คนให้ไปทำการหรือธุระบางอย่างและหายหน้าไปเลย หรือเวลาที่มีค่านั้นมักผ่านไปเร็วและไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้เลย
ถ้าเปรียบกับสำนวนฝรั่งสำเนียงไทยก็ต้องว่า " อันเวลาและสายน้ำนั้นไม่เคยหวนกลับมา "
มีนักศึกษามหาวิทยาลัยในบ้านเราเป็นนจำนวนมากที่ใช้เวลาถึง ๔ ปี หรือ ๕ ปี อยู่ในสถาบันการศึกษา เวลาที่ว่านั้นช่างแสนสั้นนักเพราะเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ถ้าเรามัวแต่เล่นและหลงระเริงไปกับสิ่งยั่วยุต่างๆ ที่รุมเร้ากันเข้ามามากจนเกินไป มันจะทำให้เราไม่มีเวลาที่จะศึกษาหาความรู้ในด้านอื่นๆ เพิ่มเติมซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเราได้สูญเสียโอกาสดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย
Saturday, August 16, 2014
กองอุจจาระแห้ง
กองอุจจาระแห้ง
ฌานาจารย์หลินจี้พูดกับลูกศิษย์ลูกหาในการเทศน์ครั้งหนึ่งว่า " ในเนื้อหนังของพวกเจ้า แฝงไว้ด้วยตถาคตไร้รูปหนึ่งองค์ มักเข้าออกที่ประตูด้านหน้า ผู้ที่ยังไม่พบ จะทดลองหาดูก็ไม่เสียหลาย "
ลูกศิษย์คนหนึ่งยืนขึ้ืนถามว่า " อาจารย์ ตถาคตไร้รูป คือ อะไร ? "
ฌานาจารย์หลินจี้ได้ยินคำถาม ก็รีบใช้มือตะปบตัวลูกศิษย์คนนั้นถามว่า " เจ้าพูดซิ เจ้าเห็นว่าคืออะไร ? "
ขณะที่ลูกศิษย์ขยับปากจะตอบนั้น ฌานาจารย์หลินจี้ก็ผลักตัวลูกศิษย์ไปข้างหน้า แล้วพูดว่า " ตถาคตไร้รูป คือ กองอุจจาระแห้งนี้ " พูดจบ ก็เดินออกจากธรรมศาลา
ฌานาจารย์หลินจี้เปรียบตถาคตไร้รูปกับกองอุจจาระแห้ง เพื่อบอกลูกศิษย์ให้แจ่มแจ้งว่า ตถาคตไร้รูป " องค์นั้น " มิได้อยู่ที่รูปลักษณ์ อย่าคิดว่าคืออะไรที่ตัวเองคิด
Friday, August 15, 2014
สัจธรรมแห่งอนิจจัง
สัจธรรมแห่งอนิจจัง
" คนไม่มีดีพันวัน ดอกไม้ไม่บานร้อยวัน " นี่คือความจริงของอนิจจัง " พระจันทร์ยังมีข้างขึ้นข้างแรม มีจันทร์เสี้ยวเต็มดวง คนก็มีเช้าดีบ่ายร้าย " นี่คือความหมายของอนิจจังไม่เที่ยง
อนิจจัง หมายถึงการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนย้ายถ่ายเท มนุษย์และสรพสิ่งบนโลกใบนี้ สิ่งมีชีวิต ไม่มีชีวิต มีสิ่งใดบ้างที่ไม่มีการโยกย้ายเปลี่ยนแปลง
อนิจจัง ไม่จำกัดอยู่ที่ใดคนหนึ่ง เรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันมีความหมายในมุมกว้าง อนิจจังไม่ถูกครอบงำโดยอำนาจน้อยใหญ่ มันมีความหมายที่มีลักษณะเสมอภาค สรรพสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีปรากฏการณ์ของอนิจจัง จึงกล่าว " อนิจจัง " คือสัจธรรม
ในโลกนี้มีสิ่งงดงามมากมาย เพราะว่ามีอนิจจัง มันจึงเป็นสิ่งบกพร่องเยาวชนหน้าตาหมดจดงดงาม แต่ไม่อาจดำรงคงอยู่ตลอดไป ชื่อเสียงอำนาจก็ไม่ดำรงอยู่ตลอดไปเช่นกัน กระทั่งทรัพย์สมบัติมีมาก็มีไป แม้แต่ร่างกายเราตามผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่าโครงสร้างของเซลล์ ในร่างกายเราเมื่อวานนี้ต่างกับวันนี้ ตัวเราในวันนี้ก็ไม่ใช่ตัวเราในวันพรุ่งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้ายถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดล้วนเป็นอนิจจังไม่เที่ยง
คนเมืองชี่ห่วงฟ้าถล่ม
คนเมืองชี่ห่วงฟ้าถล่ม
มีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งชื่อเมืองชี่ ในเมืองนี้มีชายผู้หนึ่งที่ชอบคิดแต่เรื่องสัพเพเหระ เขาคิดไปๆ ก็คิดว่าฟ้าอาจจะถล่มลงมาเมื่อไรก็ได้ แผ่นดินก็อาจจะยุบลงไปกะทันหัน เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็ไม่มีความสุข ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนดี เขายิ่งคิดก็ยิ่งวิตกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
มีชายผู้หนึ่งรู้เรื่องนี้เข้าก็นึกขำในใจ และได้มาแนะเขาว่า " ฟ้านั้นเป็นเพียงการรวมตัวขึ้นของอากาศไม่ว่าที่ไหนก็มีอากาศทั้งนั้น คนเรามีชีวิตและหายใจอยู่ท่ามกลางอากาศ เมื่อเป็นเช่นนี้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาได้อย่างไร "
ชายชาวเมืองผู้นั้นถามต่อไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า " เอาล่ะ ถ้าหากฟ้าเป็นการรวมตัวของอากาศแล้วพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวล่ะจะไม่หล่นลงมาหรือ ? "
" ไม่ ไม่หล่นลงมาแน่ๆ " ชายผู้นั้นตอบ " พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวก็เป็นกลุ่มอากาศที่เปล่งแสงได้ ถึงแม้จะหล่นลงมาถูกหัวคนเข้าก็ไม่เป็นอันตราย "
คนเมืองชี่ฟังแล้วยังไม่ค่อยวางใจ ถามต่อไปว่า " ถ้าแผ่นดินถล่มลงไปจะทำอย่างไร ? "
ชายผู้นั้นตอบว่า " แผ่นดินเป็นการรับทับถมกันขึ้นของก้อนดิน ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นดินทั้งนั้นแล้วจะถล่มลงไปได้อย่างไร "
ชาวเมืองชี่คนนั้นฟังแล้วก็เห็นจริง รู้สึกสบายใจเหมือนกับยกก้อนหินที่ทับอกออก ส่วนชายคนที่ช่วยแนะนำก็รู้สึกพอใจมาก
บันทึกใน " เลี่ยจื่อ "
Wednesday, August 13, 2014
หลงทาง
หลงทาง
สาวกคนหนึ่งถามฌานาจารย์ฝอกวงว่า " อาจารย์ ในคัมภีร์มีโศลกธรรมว่า ' บูชาร้อยพันพระสงฆ์ มิสู้บูชานักพรตไร้ใจ ' ไม่ทราบว่าร้อยพันพระสงฆ์มีบาปอันใด ? หนึ่งนักพรตไร้ใจมีกุศลอันใด ? "
ฌานาจารย์ฝอกวงจึงเอื้อนโศลกธรรมอีกสองบาทว่า " เมฆขาวลอยวนคลุมหุบเหว นกมากมายกลับรังไม่ถูก "
โศลกบทนี้มีความหมายว่า การบูชาพระสงฆ์ร้อยพันรูปทั่วสิบทิศเท่ากับมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งกลับจะทำให้ตัวเองหลงทาง แต่ถ้าบูชานักพรตไร้ใจหนึ่งรูป ก็จะอยู่เหนือสิ่งทั่งปวงด้วยปัญญาที่ไม่มีการแบ่งแยก
คนเราถ้าจิตยึดมั่นถือมั่นมากไป ในใจย่อมมีพันเงื่อนหมื่นปมผู้ใดตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ย่อมไม่อาจกระทำการใดๆ ตามปกติ ดังเช่นคนที่ปลูกไม้หวังผล ต้องการให้ต้นไม้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รีบผลิดอกออกผล แต่ละวันจะแวะไปดแล้วดูอีก ทุกครั้งที่ดูจะรดน้ำด้วย ใส่ปุ๋ย ขอถามหน่อยว่าต้นไม้ต้นนี้เจริญเติบโตตามปกติได้หรือไม่ ?
Friday, August 08, 2014
มีสิทธิ์ครอบครองและมีสิทธิ์ใช้
มีสิทธิ์ครอบครองและมีสิทธิ์ใช้
" มีที่นาหมื่นไร่ แต่วันหนึ่งกินข้าวได้เท่าใด มีห้องหับนับพัน แต่พื้นที่ใช้หลับนอนเพียงไม่กี่ศอก " ท่านเคยคิดถึงบ้างหรือเปล่า ในชีวิตนี้... ท่านมีสิทธิ์ครอบครองจริงๆ เท่าใด และมีสิทธิ์ได้ใช้จริงๆ เท่าใด
ด้านกาลเวลา แม้ว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะมีอายุได้ถึงร้อยปี แต่ท่านเคยมีเวลาว่างสบายๆ เป็นของตัวเองสักเท่าใด ดังที่กษัตริย์สเปน พระเจ้า Abderram ที่ ๓ ซึ่งครองราชย์เป็นเวลา ๕๐ ปี เมื่อทรงสละราชสมบัติ ทรงตรัสด้วยความสะเทือนใจสุดประมาณว่า " ชีวิตข้าพเจ้า วันเวลาที่สุขสบาย ที่เป็นของข้าพเจ้าจริงๆ มีเพียง ๑๔ วันเท่านั้น " แม้ว่าท่านจะมีบ้านช่องใหญ่โตหรูหราห้องหับนับพัน แต่ท่านเคยหลับอย่างเป็นสุขโดยไม่ฝันเลยบ้างไหม ? ท่านมีครอบครัว แต่คนในครอบครัวเป็นของท่านหรือเปล่า ท่านมีธุรกิจมากมาย ธุรกิจเหล่านั้นพึ่งได้บ้างไหม ?
ในโลกนี้... สิ่งที่ท่านมีสิทธิ์ครอบครอง ไม่แน่ว่าท่านจะมีสิทธิ์ได้ใช้ สิ่งที่ท่านไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่มีสิทธิ์ได้ใช้มัน
ข้าพเจ้าไม่มีตึกใหญ่โตสักหลัง แต่หลังคากันสาดหน้าตึกของท่าน ข้าพเจ้าสามารถใช้ยืนหลบฝนชั่วคราวได้ ไม้ดอกในสวนดอกไม้ของท่าน ข้าพเจ้าขอมองจากริมรั่วเข้าไปชื่นชมมันสักนิดน่าจะได้นะ
นักลัทธิหรูกับเสื้อผ้าสำนักหรู
นักลัทธิหรูกับเสื้อผ้าสำนักหรู
ครั้งหนึ่งจวงจื่อซึ่งเป็นฝ่ายลัทธิเต๋าได้พบกับไอกงกษัตริย์ของรัฐหลู่ กษัตริย์ของรัฐหลู่ทรงเย้ยหยันเขาโดยตรัสว่า " ในรัฐหลู่นี้เต็มไปด้วยนักลัทธิหรู ( พวกนับถือปรัชญาสำนักขงจื้อ ) ยากจะหาคนที่ยินดีเป็นสาวกท่าน "
" ข้าพเจ้ามีความเห็นตรงกันข้าม " จวงจื่อกล่าว " ข้าพเจ้าเห้นว่าในรัฐหลู่นี้คนศรัทธาลัทธิหรูมีน้อยมาก "
กษัตริย์ไอกงทรงพระสรวลตรัสว่า " ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่าคนในรัฐหลู่นี้ต่างสวมเสื้อผ้าแบบหรูทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จะพูดว่ามีน้อยได้อย่างไร "
จวงจื่อทูลตอบว่า " ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่า ชาวลัทธิหรูนั้นเมื่อสวมหมวกกจะรู้ฤดูกาล พอสวมรองเท้าที่ทำด้วยปอและป่านก็จะรู้สภาพของดิน สายรัดเอวที่มีหยกห้อยอยู่นั้นทำให้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัย "
" ถูกแล้ว ถูกแล้ว ! " กษัตริย์ไอกงทรงตรัสอย่างพอพระทัย
จวงจื่อกล่าวต่อไปว่า " ในเมื่อพสกนิกรเข้าใจในเหตุผลข้อนี้แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ดังกล่าวนี้ ตรงกันข้ามบุคคลผู้สวมเสื้อผ้าแบบนี้ไม่แน่นักว่าจะเข้าใจเหตุผลดังกล่าว "
กษัตริย์ไอกงทรงสั่นพระเศียรแสดงว่าไม่เห็นด้วย
จวงจื่อจึงทูลว่า " ถ้าหากพระองค์ทรงสงสัย ข้าพเจ้าขอทูลให้พระองค์ทดลองดูโดยประกาศพระราชโองการไปทั่วทั้งรัฐว่า หากผู้ใดไม่สามารถรู้สภาพฤดูกาล สภาพของพื้นพิภพแล้วยังแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบสำนักหรูผู้นั้นจะต้องโทษประหารชีวิต "
หลังจากกษัตริย์ไอกงแห่งรัฐหลูประกาศพระราชโองการได้เพียง ๕ วันเท่านั้น ทั่วทั้งรัฐหลู่ก็ไม่มีใครกล้าแต่งกายเช่นนั้นอีก
บันทึกใน " จวงจื่อ "
พูดเก่ง ก็ต้องฟังเก่งด้วย
พูดเก่ง ก็ต้องฟังเก่งด้วย
คำปรัชญาญี่ปุ่นในเรื่องนี้เป็นการสังเกตในเรื่องมารยาทและบทบาทของคน เขาเชื่อกันว่า " คนที่พูดเก่งจริงๆ นั้นย่อมจะฟังคนอื่นพูดเก่งด้วย " เพราะน่าจะเป็นการให้เกียรติผู้ร่วมสนทนาและจะนำพาไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีและยั่งยืนต่อไป หลายคนเป็นนักพูดที่ดี สามารถโน้มน้าวจิตใจคนเป็นจำนวนมากให้เชื่อและคล้อยตามได้ แต่น่าเสียดายเขาเหล่านั้นไม่ใช่นักฟังที่ดี
ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ ( Dwight Eisenhower ) สมัยที่เขาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพสัมพันธมิตรในยุโรป เขาเป็นแหล่งข่าวที่น่ารักของนักข่าวทุกคน เพราะเขาสามารถตอบคำถามของนักข่าวได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค แต่ 10 ปีต่อมาเมื่อไอเซนฮาวร์ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักข่าวกลุ่มเดิมที่เคยชื่นชมเขาก็เริ่มบ่น เมื่อไอเซนฮาวร์ไม่สามารถตอบคำถามนักข่าวได้ตรงประเด็น ไอเซนฮาวร์ไม่รู้ตัวว่าเขาเองนั้นเป็นนักฟังที่ไม่ดีนัก
เพราะตลอดเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ช่วยของเขาได้รวบรวมคำถามของบรรดาสื่อมวลชนมาให้เขาอ่านก่อนการแถลงข่าวอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แต่พอเขาขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีต่อจากประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ ( Franklin D. Roosevelt ) และประธานาธิบดีแฮร์รี่ ทรูแมน ( Harry Truman ) ซึ่งทั้งสองเป็นนักฟังที่ดี และชอบให้ผู้สื่อข่าวตั้งคำถามได้อย่างอิสระ ไอเซนฮาวร์ก็ทำตามอย่างประธานาธิบดีรุ่นก่อน โดยไม่รู้ว่าตนเองไม่ใช่นักฟังที่ดี เพราะเขาไม่เคยฟังคำถามใดๆ จากผู้สื่อข่าวเลย เอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว
Subscribe to:
Posts (Atom)