ไม่ยอมแต่งงานกับไม่ยอมเป็นขุนนาง
วันหนึ่งขณะที่เถียนเผียนพาเพื่อนฝูงกลุ่มใหญ่ไปเล่นหมากรุกและคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ในสวน ได้มีชายชาวเมืองฉีคนหนึ่งมาขอพบเขา เถียนเผียนถามชายผู้นั้นว่ามีธุระสำคัญอะไรหรือจึงได้มาหาเขา ชายผู้นั้นตอบว่า
" ข้าพเจ้าได้ฟังคำยกย่องสรรเสริญท่านในเรื่องที่ท่านไม่อยากเป็นขุนนางจึงยินดีที่จะขอเป็นข้ารับใช้ท่าน "
" ท่านยกย่องข้าพเจ้ามากเกินไปแล้ว ! " เถียนเผียนพูดอย่างพออกพอใจ แล้วถามอย่างแสดงความถ่อมตนไปว่า " ท่านได้ทราบความคิดเห็นนี้ของข้าพเจ้าจากใคร ? "
" ทราบจากหญิงที่อยู่ข้างบ้าน "
" หญิงข้างบ้าน ? " เถียนเผียนทวนคำอย่างประหลาดใจ
" เป็นเช่นนั้นขอรับ " ชาวเมืองฉีตอบแล้วพูดต่อไปว่า " หญิงข้างบ้านข้าพเจ้าผู้นี้ หล่อนสาบานว่าชาตินี้หล่อนจะไม่แต่งงานอย่างเด็ดขาด เวลานี้หล่อนอายุสามสิบแล้ว แต่มีลูกตั้งเจ็ดคน หญิงคนนี้แม้ไม่ได้แต่งงานกลับคลอดลูกมากกว่าคนที่แต่งงานเสียอีก ท่านเองก็พูดอยู่เสมอว่าท่านเบื่อการเป็นขุนนาง แต่บ้านของท่านมีของกินของใช้แบบขุนนางอย่างครบครัน ข้าทาสบริวารก็นับร้อยท่านเองแม้จะไม่ได้เป็นขุนนาง แต่ท่าทางและอำนาจของท่านยิ่งมากกว่าขุนนางเสียอีก ท่านทราบไหม ? "
เถียนเผียนได้ฟังรู้สึกละอายรีบเดินหนีไป
บันทึกใน " จ้านกว๋อเช่อ "
มุมมองปรัชญา
ไม่ยอมแต่งงานแต่มีลูกเจ็ดคน ไม่เป็นขุนนางแต่มีสภาพยิ่งกว่าขุนนาง
การเปรียบเทียบของชาวเมืองฉีผู้นี้ดีมาก พอพูดออกมาก็ฉีกหน้ากากของเถียนเผียนได้ในทันที การที่จะวินิจฉัยคนหนึ่ง ไม่ใช่พิจารณาแต่เพียงคำพูดของเขาเท่านั้น หากยังจำเป็นจะต้องดูการกระทำของเขาด้วย การจำแนกกลุ่มบุคคลหรือประเทศใดประเทศหนึ่งก็เช่นเดียวกัน จะดูแต่เพียงคำประกาศหรือคำแถลงเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ที่สำคัญที่สุดนั้นจะต้องดูว่าในทางเป็นจริงมีพฤติการณ์อย่างไรด้วย
By ปรัชญาชีวิตใน สุภาษิตจีน
No comments:
Post a Comment