Saturday, May 31, 2014
หนึ่งนาที
หนึ่งนาที
" หนึ่งนาที " ยาวนานแค่ไหน ? ถ้าจะว่าสั้นก็สั้นมาก จะว่ายาวก็ยาวมาก ระหว่างความรุ่งโรจน์ ความอดสู การเกิด การตาย การได้ การเสีย คือหนึ่งนาทีเช่นกัน
คนบางคนไม่ให้ความสำคัญกับหนึ่งนาที หรือแม้แต่หนึ่งชั่วโมง หนึ่งวัน หนึ่งปี หนึ่งชีวิต ปล่อยชีวิตผ่านไปอย่างสะเปะสะปะ ไร้สาระ แต่คนบางคนให้ความสำคัญกับหนึ่งนาทีมาก วิ่งแข่งกับเวลาทุกวัน ช่วงชิงทุกวินาที คุณดูสิ... นักเรียนเร่งรีบไปโรงเรียน กลัวเข้าเรียนสาย เจ้าหน้าที่พนักงานต้องรีบไปทำงานกลัวตอกบัตรไม่ทันเวลา พวกเขาล้วนให้ความสำคัญกับเวลามาก
บางคนรู้จักใช้เวลา นาทีเดียวสามารถใช้ท่องจำสุภาษิตบทหนึ่ง คำศัพท์ภาษาอังกฤษ หรือว่าใช้เวลาหนึ่งนาทีจับมือกับผู้อื่น ส่งยิ้มให้คน ไถ่ถามทุกข์สุขผู้อื่น หนึ่งนาทีอาจทำให้เข้าได้ผลเก็บเกี่ยวเพิ่มขึ้นอย่างสุดประมาณในชีวิตบางคนอาจใช้หนึ่งนาทีแก้ไขปัญหาประเทศชาติบ้านเมือง องค์กรสมาคมแต่คนบางคนปัญหาของตัวเองมีมากมายตลอดปีตลอดชีวิตก็แก้ไม่ได้สักที ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งนาที หรือหนึ่งร้อยปี สำหรับเขาจะมีความแตกต่างอะไร
ป๋อหยาทำลายพิณ
ป๋อหยาทำลายพิณ
ป๋อหยาเป็นนักดีดพิณที่มีชื่อเสียงในสมัยชุนชิว เขามีความสามารถดีดพิณ ๗ สาย ได้ดีเป็นพิเศษ เวลาเขาดีดพิณจะมีจงจื่อฉีฟังอยู่ข้างๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ พิเริ่มลงมือดีด จิตใจของป๋อหยาก็ล่องลอยไปสู่ภูเขาไท้ซาน สายพิณที่เขาดีดก็บังเกิดเสียงที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความสูงสง่าและเด่นผงาดจงจื่อฉีอุทานออกมาว่า
" ช่างไพเราะเหลือเกิน เสียงพิณทำให้รู้สึกถึงความมหึมาเด่นสง่าของเขาไท้ซานได้ดีจริงๆ "
เมื่อเสียงพิณเงียบลง จิตใจป๋อหยาก็เริ่มคิดถึงแม่น้ำพลันเสียงพิณก็ประดุจดังคลื่นซัด สายน้ำเชี่ยวกราก จงจื่อฉีปรบมือกล่าวชมว่า
" วิเศษเหลือเกิน ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับได้เห็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่และยาวเหยียด ! "
ต่อมาป๋อหยาได้ทรายข่าวว่าจงจื่อฉีเสียชีวิต เขาก็ดึงสายพิณทั้งหมดขาดและทำลายพิณนั้นเสีย พร้อมกับประกาศว่าจะไม่ยอมดีดพิณอีกจนตลอดชีวิตเพราะเขารู้สึกว่า ในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่ฟังเสียงพิณของเขาแล้วจะเข้าใจเหมือนจงจื่อฉี
บันทึกใน " หลี่สื้อชุนชิว "
ไข่ของโคลัมบัส
ไข่ของโคลัมบัส
ในความหมายแบบตรงตัวของคำนี้นั้นคนญี่ปุ่นหมายถึง " โคลัมบัส " ผู้เป็นนักสำรวจคนสำคัญของโลกที่เดินทางไปค้นหาดินแดนในทวีปต่างๆ ที่คนยุโรปไม่รู้จัก เป็นการค้นพบสิ่งต่างๆ ที่โลกนั้นมีอยู่แล้ว
ไม่ใช่ดินแดนทีโคลัมบัสค้นพบเป็นคนแรกแต่อย่างใด และไข่ไก่ของโคลัมบัสก็ไม่ใช่เรื่องที่่น่าตื่นเต้นแต่อย่างใดเหมือนกันกับคนญี่ปุ่น
หรือในความหมายแฝงก็คือ สิ่งใดๆ ก็ตามในโลกเรานี้ ถ้าหากเราเข้าใจเรื่องดังกล่าวแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่การที่จะคิดหรือค้นพบอะไรใหม่ๆ แบบที่ยังไม่มีในโลกนี้นั้นเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งกว่า แต่ถ้าใครค้นพบได้กถือเป็นยอดคน
จนตรอก
จนตรอก
ค่ำคืนหนึ่ง ขโมยย่องเข้ามาในกุฎิของฌานาจารย์อานหนี ลักผ้าห่มที่ท่านมีเพียงผืนเดียวไป ฌานาจารย์อานหนีนอนไม่หลับเพราะหนาวมาก จึงเอากระดาษมาห่มแก้หนาว
ขณะหลบหนี ขโมยวิ่งไปชนสามเเรที่เข้าเวรยามเข้า ตกใจกลัวจนลน ก็ทิ้งผ้าห่มหนีเอาตัวรอดไว้ก่อน สามเฌรเก็ยผ้าห่มขึ้นมาแล้ว รีบเอาไปให้ฌานาจารย์อานหนีที่กุฎิ ก็เห็นอาจารย์นอนสั่นห่มกระดาษกองหนึ่งอยู่
ฌานาจารย์พอเห็นสามเฌรเอาผ้าห่มที่ถูกลักไป มาให้ ก็พูดว่า " ผ้าห่มผืนนี้มิใช่ถูกลักขโมยไปดอกหรือ ? " เจ้าเอากลับมาทำไม ในเมื่อถูกขโมยลักไปแล้ว มันก็คือของขโมย รีบเอาไปคืนให้เขาเสีย ! "
Friday, May 30, 2014
การรู้แจ้ง
การรู้แจ้ง
คนค้าขายก็เพื่อผลกำไร คนเรียนหนังสือก็เพื่อความเข้าใจเหตุและผล ผู้บำเพ็ญเพียรก็เพื่อการบรรลุธรรม ผู้เจริญสมาธิก็เพื่อการรู้แจ้ง
การรู้แจ้ง คือการเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราเขา เข้าใจเงื่อนไขของเกหตุปัจจัย เข้าใจอนาคตกาล เข้าใจสรรพสิ่งที่มีมาร่วมกัน เพียงแต่ว่ามนุษย์บนโลกใบนี้ จะมีสักกี่คนที่รู้แจ้งเช่นนี้อย่างแท้จริง ความจริง การสงสัยเล็กน้อยตระหนักรู้เล็กน้อย การสงสัยมากตระหนักรู้มาก ไม่สงสัยไม่ตระหนักรู้ ถ้าเราทำความเข้าใจกับปัญหาชีวิตโลก รู้ว่าที่แท้มันเป็นเช่นนั้นเอง แต่การจะจัดการปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเราเขา เราท่านได้อย่างเสมอภาคและสมานฉันท์ดังนั้น เราต้องอาศัยการรู้แจ้งจึงจะทำได้สำเร็จ
การรู้แจ้ง กล่าวเป็นภาษาชาวบ้านเราคือ เราเข้าใจแล้ว เราคิดออกแล้ว เรารู้แล้ว เราชัดเจนแล้ว แต่ว่าเข้าใจจริงหรือเปล่า ชัดเจนจริงหรือเปล่า ท่าว่า " เข้าใจ " " ชัดเจน " นั้นเป็นเพียงความรู้ทั่วไปเท่านั้น การที่เราจะรู้แจ้งได้อย่างแท้จริงนั้นจำเป็นต้องตระหนักรู้ว่าเราและเขาเสมอภาค เราท่านคือส่วนเดียวกัน ความว่างคือรูป รูปคือความว่าง ถ้ากล่าวในด้านตภาคตธรรมแล้วความมีและความไม่มี ไม่ใช่สิ่งตรงข้ามแต่เป็นส่วนเดียวกัน ดังนั้น ความทุกข์ก็คือโพธิ เมื่อมีความทุกข์จึงจะสามารถเปลี่ยนเป็นโพธิได้
Thursday, May 29, 2014
ควรมุ่งใต้กลับไปเหนือ
ควรมุ่งใต้กลับไปเหนือ
มีคนภาคเหนือคนหนึ่งต้องการที่จะเดินทางไปยังรัฐฉู่ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ เขาออกเดินทางจากเชิงเขาไท้หังโดยควบม้าไปทางทิศเหนือ ระหว่างทางเขาบอกกับคนอื่นว่า " ข้าพเจ้าจะไปรัฐฉู่ ! "
มีคนบอกเขาว่า " ไปรัฐฉู่จะต้องไปทางทิศใต้ ทำไมท่านกลับไปทางทิเหนือเล่า ? "
ชายผู้นั้นตอบอย่างเชื่อมั่นว่า " ไม่เป็นไร ข้าพเจ้ามีม้าฝีเท้าดี มันวื่งได้เร็วมาก ! "
" ถึงม้าของท่านจะวิ่งได้เร็วเพียงไหน เมื่อท่านมุ่งไปทางทิศเหนือแล้วท่านไม่มีทางไปถึงรัฐฉู่แน่ๆ "
ชายผู้นั้นตอบว่า " ไม่เป็นไร ข้าพเจ้ามีเงินใช้จ่ายในการเดินทางเพียงพอ ! "
" ถึงแม้ท่านจะมีเงินมากก็เปล่าประโยชน์ เมื่อท่านไปทางทิศเหนือท่านย่อมไม่มีเงินไปถึงรัฐฉู่ "
ชายผู้นั้นตอบว่า " ไม่เป็นไร ข้าพเจ้ายังมีสารถีที่ไว้วางใจได้เขามีความสามารถในการบังคับม้ามาก ! "
คนประเภทนี้เงื่อนไขยิ่งดี ความสามารถในการบังคับม้ายิ่งเก่ง แต่ผลก็คือกลับจะยิ่งห่างจากรัฐฉู่ที่เขาต้องการจะไปมากยิ่งขึ้นทุกที
บันทึกใน " จ้านกว๋อเช่อ "
Wednesday, May 28, 2014
หมายฟ้าสูง
หมายฟ้าสูง
คนที่มีความทะเยอทะยาน มุ่งไปที่ความก้าวหน้าในชีวิต สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับสังคม
By ปรัชญา " ซามูไร "
Monday, May 26, 2014
บัณฑิตสองประเภท
บัณฑิตสองประเภท
ลูกศิษย์คนหนึ่งถามฌานาจารย์ฮุ่ยหลินฉือโซ่ว ด้วยกิริยานอบน้อมว่า " ผู้บรรลุฌาน เล่าความรู้สึกและสภาวะขณะบรรลุฌานได้หรือไม่ ? "
ฌานาจารย์ตอบว่า " ในเมื่อบรรลุฌาน ย่อมเล่าไม่ได้ "
ลูกศิษย์ถามว่า " ถ้าเช่นนั้น ขณะที่เล่าไม่ได้รู้สึกอย่างไร ? "
ฌานาจารย์ตอบว่า " คล้ายคนใบ้กินน้ำผึ้ง ! "
ลูกศิษย์ถามว่า " คนที่ยังไม่บรรลุฌานกลับพูดเก่งนัก คำพูดเหล่านั้นใช่ฌานหรือไม่ ? "
ฌานาจารย์ตอบว่า " ในเมื่อยังไม่บรรลุฌาน จะบอกว่าคำพูดเหล่านั้นคือฌานได้หรือ ? "
Sunday, May 25, 2014
ความเบิกบานใจ
ความเบิกบานใจ
ในท้องตลาดมีถั่วเปลือกแข็งสีขาวชนิดหนึ่งชาวจีนเรียกว่า " ถั่วเบิกบานใจ " เป็นขนมขบเคี้ยวที่ขาดไม่ได้เลยในวงน้ำชา คนที่ชอบสร้างบรรยากาศ ให้คนในหมู่คณะได้มีอารมณ์ขัน มีความเบิกบานใจ ก็เปรียบเหมือน " ถั่วเบิกบานใจ " เม็ดเล็กๆ เหล่านั้นเช่นกัน
ความเบิกบานในเป็นอาหารเสริมของจิตใจ คำพูดที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กๆ มักนำความเบิกบานใจมาสู่คนในบ้าน นักแสดง ตัวตลก เป็นผู้สร้างความเบิกบานใจให้ผู้ชม คนที่สุขนิยมมีเมตตากรุณา มักสร้างความเบิกบานใจให้ผู้อื่น
คนเบิกบานใจเดินไปถึงที่ใด ก็เป็นที่ยินดีต้อนรับของผู้คนเสมอ เขาจึงเหมือนสายลมย็นที่พัดพาความเย็นสบายใจมาสู่ผู้คน ฉะนั้น คนเราควรให้ความเบิกบานใจแก่ตนเอง และให้ความเบิกบานใจแก่ผู้อื่นด้วย ในสังคมนี้ ถ้ามีความเบิกบานใจให้แก่กันมากหน่อย ถึงแม้ว่าโลกนี้จะขาดแคลนวัตถุ แต่จิตวิญญาณกลับอุดมสมบูรณ์
พะศรีอาริยเมตตไตรในพระพุทธศาสนาคือพระยิ้มที่เรารู้จักกัน ท่านนำความสุขความเบิกบานใจมาสู่สรรพสัตว์ พระเวสสันดรผู้ไม่ปฏิเสธความต้องการของคน เพราะตั้งปณิธานที่จะสร้างความเบิกบานใจแก่สรรพสัตว์ โลกแห่งสุขาวดีในดินแดนตะวันตก ดอกไม้ที่เบ่งบานไม่เพียงสามารถให้ความปีติยินดีแก่คนเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่การพบกับพุทธะ หรือแม้กระทั่งพระโพธิสัตว์ในปมุติทาภูมิ ล้วนเป็นผู้นำความเบิกบานใจมาให้
Friday, May 23, 2014
ไม่ยอมแต่งงานกับไม่ยอมเป็นขุนนาง
ไม่ยอมแต่งงานกับไม่ยอมเป็นขุนนาง
วันหนึ่งขณะที่เถียนเผียนพาเพื่อนฝูงกลุ่มใหญ่ไปเล่นหมากรุกและคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่ในสวน ได้มีชายชาวเมืองฉีคนหนึ่งมาขอพบเขา เถียนเผียนถามชายผู้นั้นว่ามีธุระสำคัญอะไรหรือจึงได้มาหาเขา ชายผู้นั้นตอบว่า
" ข้าพเจ้าได้ฟังคำยกย่องสรรเสริญท่านในเรื่องที่ท่านไม่อยากเป็นขุนนางจึงยินดีที่จะขอเป็นข้ารับใช้ท่าน "
" ท่านยกย่องข้าพเจ้ามากเกินไปแล้ว ! " เถียนเผียนพูดอย่างพออกพอใจ แล้วถามอย่างแสดงความถ่อมตนไปว่า " ท่านได้ทราบความคิดเห็นนี้ของข้าพเจ้าจากใคร ? "
" ทราบจากหญิงที่อยู่ข้างบ้าน "
" หญิงข้างบ้าน ? " เถียนเผียนทวนคำอย่างประหลาดใจ
" เป็นเช่นนั้นขอรับ " ชาวเมืองฉีตอบแล้วพูดต่อไปว่า " หญิงข้างบ้านข้าพเจ้าผู้นี้ หล่อนสาบานว่าชาตินี้หล่อนจะไม่แต่งงานอย่างเด็ดขาด เวลานี้หล่อนอายุสามสิบแล้ว แต่มีลูกตั้งเจ็ดคน หญิงคนนี้แม้ไม่ได้แต่งงานกลับคลอดลูกมากกว่าคนที่แต่งงานเสียอีก ท่านเองก็พูดอยู่เสมอว่าท่านเบื่อการเป็นขุนนาง แต่บ้านของท่านมีของกินของใช้แบบขุนนางอย่างครบครัน ข้าทาสบริวารก็นับร้อยท่านเองแม้จะไม่ได้เป็นขุนนาง แต่ท่าทางและอำนาจของท่านยิ่งมากกว่าขุนนางเสียอีก ท่านทราบไหม ? "
เถียนเผียนได้ฟังรู้สึกละอายรีบเดินหนีไป
บันทึกใน " จ้านกว๋อเช่อ "
Thursday, May 22, 2014
สวมหัวแกะ แต่ขายเนื้อหมา
สวมหัวแกะ แต่ขายเนื้อหมา
คำพังเพยของไทยที่ว่า " ข้างนอกสดใส ข้างในเป็นโพรง " ที่นักปราชญ์ของบ้านเรานั้นท่านเปรียบเปรยถึงสิ่งที่มองดูภายนอกวสวยงามแต่ภายในเป็นของไม่ดี เหมือนชายหนุ่มหรือหญิงสาวแสนสวยที่มองด้วยตาว่าช่างน่าดู น่าสัมผัส แต่ทว่า จิตใจภายในนั้นช่างตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ก็คล้ายในปรัชญาของญี่ปุ่นในบทนี้ที่ว่า " สวมหัวแกะ แต่ขายเนื้อหมา " ที่เขาพูดได้เปรียบเทียบเหมือนร้านขายเนื้อตามท้องตลาดที่เอาหัวแกะมาแขวนหน้าร้านหลอกลูกค้าให้เห็นว่าขายเนื้อแกะ แต่แท้จริงแล้วนั้นหลอกเอาเนื้อหมามาขาย
ถ้าเปรียบกับทางธุรกิจการค้าแล้วเรื่องนี้คือ " หนทางแห่งความวิบัติโดยแท้ " เพราะถ้าพ่อค้าหรือนักธุรกิจคนใดมีแนวความคิดนี้ตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจก็ถือว่าเลวร้ายสิ้นดี ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง ควรจะทำการค้าแบบตรงไปตรงมา มาดูสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อวงการค้าดีกว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ นิตยสาร " อแด็คมอเตอร์เวลท์ " ( AdacMotorwelt ) ซึ่งเป็นนิตยสารรถยนต์ชั้นนำของประเทศเยอรมนี ได้ทำการค้าที่คล้ายคลึงกับการจัดแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์โดยให้ลูกค้าเป็นผู้ลงคะแนนด้วยคำถามที่ว่า " แบรนด์รถยนต์แบรนด์ใดที่สร้างรถยนต์ได้ดีที่สุด และมีลูกค้าพึงพอใจเป็นจำนวนมากที่สุด " ทางนิตยสารยังทำการสำรวจเพิ่มเติมถึงความคิดเห็นอื่นๆ ทั้งในเรื่องระบบไฟฟ้า ดีไซน์ ความสะดวกสบาย รวมถึงความพึงพอใจในการขับขี่
Tuesday, May 20, 2014
เบื้องหน้าความเป็นความตาย
เบื้องหน้าความเป็นความตาย
ฌานาจารย์จินปี้ฟงหลังจากลุถึงฌานแล้ว ก็ละวางทุกสิ่งได้ยกเว้นบาตรหยกที่ท่านใช้บิณฑบาต ท่านรักชนิดไม่ห่างกาย
ครั้งถึงวาระท่านสิ้นอายุขัย พวกยมทูตก็มาคอยจับวิญญาณท่าน ท่านจึงนั่งสมาธิดับขันธ์ในฌานสมาบัติไป
พวกยมทูตคอยแล้วคอยเล่า ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะท่านไม่ออกจากฌาน จึงไปขอคำแนะนำจากเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าที่ก็บอกยมทูตว่า " จิ้ปี้ฟงรักและหวงบาตรหยกของท่านมาก ถ้าหาทางเอาบาตรมาได้ ท่านจะพะวักพะวน สมาธิไม่นิ่ง ต้องออกจากฌานสมาบัติ "
พวกยมทูตพบบาตรหยกก็เอามาโยนเล่น จิ้นปี้ฟงร้อนใจ รีบออกจากฌานหวังชิงบาตรคืน พวกยมทูตเต้นแร้งเต้นกาพูดว่า " ดีมาก เชิญท่านไปพบมัจจุราชด้วยกัน ! " ฌานาจารย์ได้ยินดังนั้น ก็กระจ่างวูบ รู้ว่าความรักโลภชั่วขณะเกือบทำลายมรรคผลที่ท่านบำเพ็ญเพียรมานาน จึงรีบทุบบาตรแตก นั่งสมาธิดับขันธ์ในฌานสมาบัติใหม่ หลังจากเขียนกวีทิ้งไว้บทหนึ่งมีความว่า " ถ้ามัดสุญตาได้ ค่อยมาจับจิ้นปี้ฟง "
Monday, May 19, 2014
ปั้นแต่งตัวเอง
ปั้นแต่งตัวเอง
พ่อแม่อยากปั้นลูกชายหญิงให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ครูอาจารย์อยากปั้นลูกศิษย์ของตัว ปรารถนาให้เขามีความสามารถโดดเด่นยิ่งๆ ขึ้นไป พอค้า นักธุรกิจทุกวงการ อยากปั้นแต่งลูกหลานรุ่นต่อไปให้เจริญรอยตามอุดมการณ์ของตน
แต่ว่าชั่วชีวิตของคนเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือกรปั้นแต่งตัวเอง คุณอยากปั้นตัวเองให้เป็นนักการเมือง หรือว่าจะปั้นตัวเองให้เป็นมหาเศรษฐี ในบรรดาการหมายมุ่งปั้นแต่งทั้งหลาย สิ่งสำคัญที่สุดคือการปั้นตัวเองให้เป็นคนซื่อสัตย์เที่ยงตรงโดยสมบูรณ์
คุณดูสิ... ปัจจุบันมีนักปั้นรูปมากมาย รูปเหมือนที่ปั้นออกมา บ้างมีรูปลักษณ์ภายนอกดูสวยงาม แต่ภายในไม่ครบคนสมัยนี้ปั้นแต่งตัวเอง ซึ่งก็ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน คือภายนอกดูดี แต่ภายในขาดการบ่มเพาะคุณธรรม ไม่มีสติปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ
คนสมัยนี้ยอมที่จะจ่ายเงินเป็นหมื่น เพื่อลดความอ้วนให้รูปร่างสะโอดสะอง แต่ขาดความงามภายใน การผ่าตัดเสริมความงาม ก็เพื่อปั้นแต่งณูปลักษณ์ภายนอก แต่กลับละเลยความเอาใจใส่ความงามภายใน
Friday, May 16, 2014
หมาจิ้งจอกอิงอำนาจเสือ
หมาจิ้งจอกอิงอำนาจเสือ
ในจำนวนรัฐที่เข้มแข็ง ๗ รัฐในสมัยจ้านกว๋อนั้นรัฐฉู่นับว่าเป็นรัฐที่เจริญเข้มแข็งรัฐหนึ่ง ครั้งหนึ่งกษัตริย์ชวนแห่งรัฐฉู่ได้ตรัสถามขุนนางผู้ใหญ่ทั้งซ้ายขวาว่า
" ข้าพเจ้าได้ฟังมาว่ารัฐด้านเหนือต่างมีความเกรงกลัวนายพลเจาซีซี่ของเรามากใช่ใหม ? "
บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ต่างมองหน้ากัน ไม่กล้าทูลตอบเพราะต่างเกรงว่าถ้าตอบไม่ดีก็จะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่ก็อาจทำให้นายพลเจาซีซี่ไม่พอใจได้
ในขณะนั้นมีขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งชื่อเจียงอี่ได้ออกมาทูลว่า " ข้าพระองค์มีนิทานเรื่องหนึ่งที่จะเล่าถวาย พระองค์ทรงยินดีจะฟังข้าพระองค์เล่าหรือไม่พะยพค่ะ "
กษัตริย์แห่งรัฐฉู่ทรงพยักหน้าพระพักต์ เจียงอี่จึงเล่านิทานว่า
นานมาแล้วมีเสือโคร่งตัวหนึ่งออกตระเวนเพื่อจับสัตว์กินเป็นอาหารในป่า มันจับได้สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งสุนัขจิ้งจอกจึงกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า " แกน่ะหรือจะกล้ากินข้า ! ข้าเป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาปกครองดูแลสัตว์ทั้งหลาย ถ้าแกกินข้าก็จะเป็นการฝ่าฝืนเจตนาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะเป็นความผิดอย่างใหญ่หลวง ! " เสือโคร่งได้ฟังเช่นนั้นก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สุนัขจิ้งจอกจึงรีบพูดต่อไปว่า " ถ้าแกไม่เชื่อ ข้าจะพาแกเดินผ่านหน้าสัตว์ทั้งหลายไปแล้วแกดูเอาเองว่าสัตว์เหล่านั้นกลัวข้าหรือไม่ ! " เมื่อเสือตกลงสุนัขจิ้งจอกจึงเดินด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ส่วนเสือเดินเหลียวซ้ายแลขวาตามมาข้างหลัง เมื่อสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในป่าเห็นเสอโคร่งเดินมาต่างก็ตกใจกลัวส่งเสียงร้องแล้วพากันหลบหนีไป เสือไม่รู้ว่าสัตว์เหล่านั้นหวาดกลัวตน คิดว่ากลัวสุนัขจิ้งจอก ฉะนั้น จึงยอมรับนับถือสุนัขจิ้งจอกอย่างเต็มที่
พอเล่ามาถึงตอนนี้ เจียงอี่ย้อนกลับมาทูลว่า " ปัจจุบันพระองค์มอบผืนแผ่นดินของรัฐและกองทัพให้นายพลเจาซีซี่เป็นผู้ครองควบคุม การที่รัฐด้านเหนือหวาดกลัวนายพลเจาซีซี่นั้น ความจริงก็คือหวาดกลัวกำลังที่เข้มแข็งของพระองค์ ประดุจดังสัตว์ทั้งหลายกลัวเสือฉะนั้น "
บันทึกใน " จ้านกว๋อเชื่อ "
Thursday, May 15, 2014
เข้าเมืองไหนก็ต้องเป็นชาวเมืองนั้น
เข้าเมืองไหนก็ต้องเป็นชาวเมืองนั้น
ในเรื่องนี้เขาได้พยายามเปรียบเทียบให้เห็นถึงการปรับตัวให้เขากับสภาพแวดล้อมที่เข้าไปอาศัยอยู่ อาจเทียบกับสำนวนไทยได้ว่า " เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม " หรือจะเป็นจิ้งจกที่ต้องเปลี่ยนสีตามสภาวะแวดล้อมก็อาจจะไม่ผิดนัก
By ปรัชญา " ซามูไร "
Wednesday, May 14, 2014
จิตปกติเดิมแท้
จิตปกติเดิมแท้
จฺวีตุ้นต้องการรู้แจ้งเห็นจริงในพุทธธรรม จึงเดินทางไปศึกษาธรรมะกับฌานาจารย์ช่ยเหวย แต่ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ยังไม่ได้รับคำแนะนำอะไร จึงขอพบฌานาจารย์ชุ่ยเหวย พูดกับท่านอย่างจริงใจว่า " ศิษอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ไฉนอาจารย์ไม่แนะนำสั่งสอนบ้าง ? " ฌานาจารย์ช่ยเหวย ตอบอย่างไม่เกรงใจว่า " บนอะไหรือ ? "
จฺวีตุ้นจากไปด้วยความผิดหวัง แต่ไม่ท้อแท้ จึงไปศึกษาธรรมะกับฌานาจารย์เซฺวียนเจี้ยน ผ่านไปอีกหลายเดือน ก็ยังไม่ได้เรียนรู้อะไรลึกซึ้งเช่นเดิม จึงรวบรวมความกล้า ขอคำแนะนำจากฌานาจารย์เซฺวียนเจี้ยน ว่า " อาจารย์เทศนาธรรม มีชื่อเสียงขจรขจาย ฉันมาอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้ว ไฉนอาจารย์ไม่แนะนำสอนสั่งแม่แต่คำเดียว ? "
ฌานาจารย์เซฺวียนเจี้ยนก็ตอบอย่างไม่เกรงใจว่า " เจ้าบ่นอะไรหรือ ? "
Tuesday, May 13, 2014
เจิงชานฆ่าคน
เจิงชานฆ่าคน
เจิงชานเป็นคนที่พำนักอู ่ในเมืองเฟ่ยของรัฐหลู่ บังเอิญในเมืองนั้นมีคนที่ชื่อและแซ่เดียวกับเขาไปฆ่าคนตาย คนที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกับเจิงชาน เมื่อทราบเรื่องก็รีบนำข่าวไปแจ้งแก่แม่เจิงชานว่า
" แย่แล้ว เจิงชานฆ่าคนตาย "
ขณะนั้นแม่ของเจิงชานกำลังทอผ้าอยู่ใกล้หน้าต่าง หล่อมแม้แต่หน้าก็ไม่ยอมเงยขึ้นมามอง ตอบว่า
" เป็นไปไม่ได้ที่ลูกชายของฉันจะฆ่าคน "
อีกสักครู่ก็มีเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งมาแจ้งข่าวว่า " เจิงชานฆ่าคนตาย ! " แม่ของเจิงชานก็ยังคงไม่เชื่อ
ต่อมาอีกสักครู่เพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งก็มาบอกว่า
" รีบหนีเถอะ เจิงชานไปฆ่าคนตายแล้ว ! "
ตอนนี้แม่ของเจิงชานเริ่มรู้สึกกลัว หล่อนผละจากหูกทอผ้ารีบปีนกำแพงหนีไป
บันทึกใน " จ้านกว๋อเช่อ "
Saturday, May 10, 2014
ปัดทรายด้วยเท้าหลัง
ปัดทรายด้วยเท้าหลัง
การไม่สำนึกในบุญคุณของผู้อื่นและนำความเดือดร้อนมาสู่ผู้มีพระคุณ
By ปรัชญา " ซามูไร "
Friday, May 09, 2014
เคารพแต่ไม่ถูกผูกมัด
เคารพแต่ไม่ถูกผูกมัด
ฌานาจารย์เสฺวียนเชื่อเป็นศิษย์ของพระเว่ยหล่าง มหาครูบา ( พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ ของจีน ) หลังจากท่านบรรลุธรรมแล้ว ได้ภิกขาจารไปทั่วทุกหนแห่ง มาวันหนึ่ง ท่านพบฌานาจารย์หย่งเจียโดยบังเอิญ ทั้งสองคุยกันถูกคอมาก คล้ายรู้จักกันมานาน เพราะเหตุนี้เอง ฌานาจารย์หย่งเจียจึงมีโอกาสได้ไปเยี่ยมคารวะพระเว่ยหล่าง มหาครูบา ที่เฉาซี โดยการแนะนำของฌานาจารย์เสฺวียนเชื่อ
ฌานาจารย์หย่งเจียขณะพบพระเว่ยหล่าง มหาครูบา ไม่ไหว้ ไม่ถาม เพียงถือไม้เท้าเดินวนรอบตัวท่าน ๓ รอบ แล้วหยุดที่ข้างหน้าท่านยืนนิ่งสำรวมหลังจากกระแทกไม้เท้าบนดินหนึ่งทีเป็นการคารวะ
พระเว่ยหล่าง มหาครูบา เห็นเช่นนั้น จึงกล่าวว่า " บรรชิตมีวินัยสามพัน เจ้าภิกขาจารมาจากที่ใด ไฉนหลงละเลิงดังนี้ ท่าทียโส ไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตา ? "
Thursday, May 08, 2014
มหาสมุทร
มหาสมุทร
มหาสมุทรมีคุณูปการอะไรต่อมวลมนุษยชาติหรือ ? มหาสมุทรให้ความรู้อะไรแก่มวลมนุษยชาติหรือ ? มหาสมุทรสามารถปรับปรุงอากาศให้ทรัพยากรธรรมชาติแก่มนุษย์ได้หยิบใช้ไม่มีที่สิ้นสุด มหาสมุทรมีความกว้างใหญ่ ประเทศที่อยู่ติดทะเลมีความเจริญรวดเร็วกว่า ประเทศไม่อยู่ติดทะเลมักจะล้าหลังพัฒนาช้ากว่า
มหาสมุทรก่อกำเนิดสรรพสิ่งในวรรณกรรมตะวันตก ได้ให้นิยามความหมายของมหาสมุทรไว้มากมาย มหาสมุทรเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่รู้ เต็มไปด้วยพลังชีวิต มหาสมุทรกว้างใหญ่สุดประมาณแต่ก็ไร้น้ำใจมากๆ มหาสมุทรสามารถแล่นเรือได้ แต่ก็คว่ำเรือได้เช่นกัน ดังนั้น ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีสองด้าน ไม่ควรมองสรุปเพียงด้านเดียว
พุทธธรรมในพระพุทธศาสนามักนำมหาสมุทรมาเป็นเครื่องอุปมา เช่น " พุทธธรรมดุจมหาสมุทร ผู้ศัรทธาจึงจะเข้าถึง ผู้มีปัญญาจึงจะโปรดได้ " " จิตกว้างดุจมหาสมุทร บ่มเพาะบัววิสุทธิ์ทั้งกายใจ " " รู้ลึกในคัมภีร์ สติปัญญาดุจมหาสมุทร " " ค้นหามณ๊ล้ำค่าในทะเลธรรม " หรือจะเป็น " ทะเลแห่งปัญญา" " ทะเลแห่งสติ " " ทะเลธรรม " เป็นต้น ความกว้างใหญ่สุดประมาณของพุทธธรรม ไม่มีอะไรจะเปรียบปานได้ จึงต้องใช้ทะเลที่ไร้ขอบเขตสุดประมาณมาเป็นเครื่องสรรเสริญพุทธธรรม
น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้
น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้
รัฐฉีเป็นรัฐที่มีอาณาเขตติดรัฐหลู่ แต่กษัตริย์มู่กงแห่งรัฐหลู่กลับไม่ยินดีสร้างสัมพันธไมตรีกับรัฐฉี พระองค์ได้ให้พระราชบุตรและพระราชธิดาไปอภิเษกสมรสและเป็นขุนนางที่รัฐจิ้นและรัฐฉู่ซึ่งห่างไกลจากรัฐหลู่มาก พระองค์ทรงดำริว่า เมื่อทรงทำเช่นนี้เวลาเกิดความลำบากเดือดร้อนขึ้น ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐจิ้นและรัฐฉู่
มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งชื่อหลีจู๋ได้ทูลถามกษัตริย์มู่กงแห่งรัฐหลู่ว่า
" สมมุติว่า ที่นี่มีคนตกไปในคลองและกำลังจะจมน้ำตาย คนที่อยู่บนฝั่งต่างพูดว่า " ชาวเมืองเยียะเป็นคนว่ายน้ำเก่ง รับส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากรัฐเยียะเถอะ " พระองค์ว่าจะช่วยคนที่กำลังจะจมน้ำตายนี้ได้ไหม ? "
กษัตริย์มู่กงทรงพระสรวลตรัสว่า " โง่เหลือเกิน รัฐเยียะอยู่ไกลออกอย่างนั้น ถึงแม้ชาวเยียะจะว่ายน้ำเก่งปานไหน คนที่ตกน้ำก็จะต้องตายแน่ๆ "
หลีจู๋ทูลถามอีกว่า " ถ้าหากนครหลวงของรัฐหลูเกิดอัคคีภัยร้ายแรงแล้วมีคนกราบทูลพระองค์ว่า ' ทะเลเป็นแหล่งมีน้ำมากที่สุดรีบส่งคนไปขนน้ำทะเลมาดับไฟเถิด ' พระองค์คิดว่าจะเป็นไปได้ไหม ? "
" เป็นไปไม่ได้ " กษัตริย์มู่กงดำรัสตอบ " กว่าน้ำทะเลจะมมาถึงนครหลวงก็กลายเป็นเถ้าถ่านไฟแล้ว "
หลีจู๋กล่าวว่า " ถูกแล้ว ที่เรียกว่า " น้ำไกลไม่อาจดับไฟไหม้ " ปัจจุบันรัฐจิ้นกับรัฐฉู่ถึงแม้จะเจริญรุ่งเรืองมาก แต่รัฐทั้งสองนี้อยู่ไกลรัฐหลู่ ด้วยเหตุนี้ในยามที่รัฐหลู่เกิดภยันตรายก็ย่อมจะเหมือนกับน้ำที่อยู่ไกลไม่อาจช่วยดับไฟที่อยู่ใกล้ได้ ตรงกันข้ามรัฐฉีกับรัฐหลู่เป็นรัฐที่มีอาณาเขตติดกันการไม่เจริญพันธไมตรีกับรัฐฉีเป็นภัยอย่างยิ่ง ! "
บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "
Tuesday, May 06, 2014
ปีนต้นไม้ หาปลาบนอากาศ
ปีนต้นไม้ หาปลาบนอากาศ
เป็นเรื่องตลกแถมโง่อีกต่างมากๆ ในการที่คนเราจะปีนขึ้นไปหาปลาบนต้นไม้แทนที่จะหาในน้ำ เพราะไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตามย่อมไม่มีทางหาปลาที่ต้องการมาได้
คนญี่ปุ่นนั้นเขาเปรียบเหมือนว่าการทำงานด้วยวิธีการที่ผิดพลาด หรือไม่ตรงกับเป้าหมายนั้น ไม่สามารถจะประสบความสำเร็จหรือไปสู่สิ่งที่มุ่งหวังได้
เหมือนกับที่เรานั้นต้องการที่จะไปสู่เป้าหมายที่รอคอยอยู่ เช่น อยากจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย แต่การทำงานของเรานั้นไม่มีการทุ่มเทลงไปในกิจการที่ทำอยู่ ไม่มีความเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจ กล้าที่จะลงทุน ดังนั้นเป้าหมายที่อยากจะได้คงไม่มีวันที่จะมาถึงแน่นอน
ปล่อยวางแบบฌาน
ปล่อยวางแบบฌาน
พระอุปัฏฐากของฌานาจารย์ฝ่าชิ่งหลังจากอ่าน ' บันทึกต้งซ่านลู่ ' แล้ว พูดด้วยน้ำเสียงปลงว่า " คนสมัยโบราณเห็นการเกิดการตายเป็นเรื่องธรรมดา นี่เป็นเรื่องประหลาดโดยแท้ " ฌานาจารย์ได้ยินเช่นนั้น จึงพูดว่า " เมื่ออาตมานั่งสมาธิดับขันธ์ในฌานสมาบัติไป หากเจ้าเรียกอาตมากลับมาได้ แสดงว่าอาตมาเกิดดับโดยอิสรเสรี เห็นการเกิดการตายเป็นเรื่องธรรมดา "
พระอุปัฏฐากมองหน้าอาจารย์ด้วยความฉงน อาจารย์ก็ทำนายล่วงหน้าว่าตนจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ถึงตอนนั้นสังขารท่านซึ่งประกอบขึ้นมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะแตกดับกระจัดกระจายไปรอบทิศ จึงขอให้นำเถ้าสังขารท่านหว่านโปรยในสายลม อย่านำไปฝังเด็ดขาด เพราะเป็นการเบียดเบียนที่ดินชาวบ้านทำบุญทำทานให้วัด
เมื่อถึงวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ฌานาจารย์ฝ่าชิ่งไดนำปัจจัยต่างๆ ที่ท่านยังมีเหลืออยู่บ้างแจกจ่ายแก่หลวงจีนในวัด พอเสียงโมงยามแรกดังขึ้นในค่ำนั้น ท่านก็นั่งสมาธิ ดับขันธ์ในฌานสมาบัติไป
Monday, May 05, 2014
สนุกกับสิ่งที่ทำ
สนุกกับสิ่งที่ทำ
คนเราทุกคนไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรจะต้องรู้สึกสนุก การรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำนั้นจึงจะทำได้นานทำได้ดี เช่นสนุกกับการเรียนหนังสือ สนุกกับการทำงาน สนุกกับการวาดรูป สนุกกับการร้องเพลง หรือสนุกกับชีวิต สนุกกับการท่องเที่ยว ชีวิตจึงจะดำเนินำไปอย่างมีความหวังและมีความหมาย
ความสนุกมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี สนุกในด้านดีจึงจะมีความเคยชินที่ดี เช่น คุณรู้สึกสนุกกับการเรียนภาษาต่างๆ หรือคุณรู้สึกสนุกกับวรรณกรรม คุณก็จะชื่นชอบการเขียนบทความต่างๆ ถ้าเป็นความสนุกในด้านลบ เช่น เล่นการพนัน สำมะเลเทเมา ไม่เอาการเอางานเมื่อสนุกในสิ่งที่ไม่ดีสร้างความเคยชินที่ไม่ดี ไปถึงที่ไหนย่อมมีแต่คนตำหนิไม่อยากคบหา
นิสัยสนุกนี้ไม่ไช่มีมาตั้งแต่เกิด และก็ไม่ไช่ว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับความชื่นชอบอะไรเป็นพิเศษ นิสัยสนุกในด้านบวกเกิดจากการบ่มเพาะ คนเราจะไม่มีนิสัยสนุกกับการเรียนไม่ได้ ไม่มีความสนุกกับการให้บริการไม่ได้ ขอเพียงแต่มีทัศนคติที่ดีก็บ่มเพาะนิสัยสนุกในด้านบวกได้
เมื่อรู้สึกสนุกกับชีวิตแล้ว วันเวลาจะปผ่านไปอย่างร่าเริงแจ่มใส เหมือนชีวิตอยู่บนสวรรค์วิมานชั้นฟ้า คนบางคนไม่เพียงไม่สนุกกับงานที่ทำ ไม่สนุกกับชีวิต หรือรู้สึกว่าชีวิตที่ดำเนินไปช่างจืดชืดน่าเบื่อหน่าย การมีชีวิตแบบนี้อยู่ไปจะมีความหมายอะไร
Sunday, May 04, 2014
เปี่ยนเชี่ยขว้างเข็มหิน
เปี่ยนเชี่ยขว้างเข็มหิน
กษัตริย์ฉินหวู่แห่งรัฐทรงประชวรด้วยพระยอด ( ฝี ) ขึ้นที่โหนกพระปรางพระองค์รู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก จึงตรัสสั่งให้ไปตามเปี่ยนเชี่ยแพทย์ผู้มีความสามารถมาตรวจและรักษา เปี่ยนเชี่ยถวายการตรวจอย่างละเอียดแล้วทูลว่า
" จำเป็นจะต้องถวายการผ่าตัดพรุ่งนี้ข้าพระองค์จะนำเครื่องมือมาพะย่ะค่ะ "
เมื่อหมอเปี่ยนเชี่ยกลับไปแล้ว พวกขุนนางทั้งหลายก็พอกันเข้ามากราบทูลเตือนกษัตริย์ฉินหวู่ว่า
" พระยอดที่เกิดแก่พระองค์นั้น เกิดที่ด้านหน้าพระกรรณตรงใต้พระเนตรทำการผ่าตัดไม่แน่ว่าจะหายหรือได้ผล ตรงกันข้ามอาจทำให้พระองค์ต้องเสียพระเนตรและพระกรรณได้ "
วันรุ่งขึ้น พอหมอเปี่ยนเชี่ยมาเพื่อถวายการผ่าตัด กษัตริย์ฉินหวู่ก็ตรัสว่าพระองค์ไม่มีพระประสงค์จะทำการผ่าตัด และได้นำเอาเหตุผลที่พวกขุนนางทูลนั้นเล่าให้เปี่ยนเชี่ยฟัง เปี่ยนเชี่ยฟังแล้วไม่พอใจมาก เขาเอาเข็มหินขว้างลงบนพื้นกล่าวว่า
" พระองค์หารือกับผู้ที่มีความรู้ แต่กลับถูกพวกที่ไม่มีความรู้ทำให้เสียการ ! "
บันทึกใน " จ้านกว๋อเช่อ "
ไล่แมลงที่หัวตัวเองก่อน
ไล่แมลงที่หัวตัวเองก่อน
การให้ความช่วยเหลือคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ที่ดียิ่งกว่านั้นควรดูแลตัวเองให้ดีก่อนช่วยเหลือคนอื่น
By ปรัชญา " ซามูไร "
Saturday, May 03, 2014
ไม่ลืมสังขารสกปรก
ไม่ลืมสังขารสกปรก
ครั้งหนึ่ง ฌานาจารย์อู๋เกินนั่งสมาธิในฌานสมาบัติติดต่อกันสามวัน หลวงจีนทั้งหลายนึกว่าท่านดับขันธ์ในฌานสมาบัติแล้ว จึงนำร่างของท่านไปประชุมเพลิงหลังประกอบพิธีทางศาสนาแล้ว เมื่อฌานาจารย์อู๋เกินออกจากฌาน หาสังขารตัวเองไม่พบ จึงคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงเศร้าอาดูรสุดแสนว่า " ร่างของอาตมาอยู่ที่ไหน ? " โดยเฉพาะในตอนกลางคืน เสียงของท่านยิ่งฟังยิ่งวังเวงชวนขนลุก พระเณรในอารามล้วนประหวั่นพรั่นพรึงนอนไม่หลับ
เมื่อฌานาจารย์เมี่ยวคงรู้เรื่องนี้แล้ว จึงเข้าไปอยู่ในกุฎิที่ฌานาจารย์อู่เกิน เคยใช้เข้าสมาบัติในตอนกลางคืน พอดึกสงัด ก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญของฌานาจารย์อู๋เกินตามรายงาน ฌานาจารย์เมี่ยงคงจึงพูดปลอบใจว่า " ร่างของท่านอยู่ในดิน " ฌานาจารย์อู๋เกินรีบมุดลงไปในดินหาร่างของตัวเอง ไม่นานก็มุดขึ้นมาคร่ำครวญด้วยน้ำเสียงเศร้าอาดูรเช่นเดิมว่า " ในดินไม่มีร่างของอาตมา "
Friday, May 02, 2014
โรคชาด้าน
โรคชาด้าน
ร่างกายสูญเสียสมรรถภาพการทำงาน แม้แต่การตอบสนองของกล้ามเนื้อก็ถดถอย นี่ีคือลักษณะอาการ " โรคชา " ร่างกายรู้สึกชาด้านแสดงว่ามีโรค " จิตใจชาด้าน " เช่นได้รับรู้ถึงความทุกข์ยากของคนในสังคม แต่ไม่บังเกิดเมตตากรุณาจิต หรือเห็นปัญหาของสังคม แต่ไม่เกิดปัญหาคิดแก้ไข อาการเหล่านี้เรียกว่าจิตวิญญาณชาด้าน
บุคคลในวงการเมืองไม่รู้จักความละอาย หน้าด้านหน้าทน เป็นเพราะคนในวงการเมืองมีนิสัยชาด้าน ในสังคม... คนบางคนไม่กระตือรือร้นทำการงานเกิดความชาด้านต่องาน คนบางคนพูดจาขวางหูขวางตา เป็นเพราะเขาชาด้านต่อมนุษย์สัมพันธ์
คนบางคนต้องใช้ยาชา เพื่อที่จะรักษาความเจ็บป่วยของร่างกาย เพื่อลดความเจ็บปวด คนบางคนใช้เหล้าแก้กลุ้ม หวังใช้ความมึนเมาทำให้ชาด้านชั่วขณะ สังคมทุกวันนี้ เยาวชนบางคนติดสิ่งเสพติด ยาบ้า ยาอี นี่คือความชาด้านของจิตวิญญาณและความเป็นคน
พ่อค้านายทุนผลิตสินค้าไม่ได้คุณภาพ นี่คือความชาด้านของสังคม สื่อมวลชนรายงานแต่ด้านเลวไม่รายงานด้านดี นี่คือความชาด้านของวงการสื่อสานมวลชน ในวันนี้... ทั่วทั้งสังคมนับตั้งแต่ตัวบุคคลที่ขาดคุณธรรมประจำใจไม่ยอมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ทำตัวตกต่ำ ไม่รู้จักขยันขันแข็งใฝ่หาความก้าวหน้า ตลอดจนการวิพากษ์วิจารณ์ของคนในสังคมก็ขาดซึ่งความยุติธรรมความไม่โปร่งใสทางการเมือง ทั้งหมดนี้คือความชาด้านทางคุณธรรมของสังคม
Subscribe to:
Posts (Atom)