Saturday, January 31, 2015

อนาคตย่อมสวยงามกว่าอดีต


อนาคตย่อมสวยงามกว่าอดีต

          คนเรานั้นมักจะชอบหวนรำลึกถึงเรื่องในอดีต มีคำว่า " บทสนทนาของนางสนมผมขาวล้วนเป็นเรื่องในอดีต " การที่เราไม่เคยลืมเรื่องในอดีต เพราะมักจะคิดว่าอดีตนั้นสวยงามกว่าปัจจุบัน อันว่า " วารีไม่คอยท่า เวลาไม่คอยคน " อดีตที่ผ่านไปก็ผ่านพ้น " ถึงแม้ว่าแสงแดดยามเช้าจะงดงามจับใจเพียงใด ไม่ช้าก็ได้เวลาตะวันรอน " ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ควรที่จะฝังใจแต่เรื่องในอดีต ตาของเราต้องมองไปข้างหน้าที่กว้างไกล มองไปในอนาคต ถึงจะมีซึ่งความหวัง

          นิทานเรื่องหนึ่งมีอยู่ว่า มีลุกสุนัขตัวหนึ่งกำลังวุ่นวนอยู่กับการกัดหางตัวเอง โดยหมุนตัวเวียนไปมาหลายรอบ เมื่อสุนัขตัวใหญ่เห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปถามลูกสุนัขว่า " ทำไมต้องทำแบบนั้น " ลูกสุนัขได้ยินก็ตอบว่า " ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่าความสุขนั้นหาได้เมื่อเหลียวหลัง การที่ฉันหมุนตัวรอบตัวเองก็เพราะว่าฉันกำลังแสวงหาความสุขไงล่ะ แล้วท่านไม่คิดจะแสวงหาความสุขบ้างหรือ " สุนัขตัวใหญ่ก็ตอบกลับไปว่า " ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันต้องเดินมุ่งหน้าไป แล้วความสุขจะตามหลังฉันมาเอง "

          มนุษย์เราต้องอยู่อย่างมีความหวัง อย่ามีชีวิตจมอยู่แต่เรื่องในอดีต เพราะอนาคตนั้นสวยงามกว่า มีหนทางข้างหน้าจึงจะมีความหวังอันไร้ขีดจำกัด

นกกระยางโทนกับหอยมุก


นกกระยางโทนกับหอยมุก

          หอยมุกตัวหนึ่งค่อยๆ กระดึบขึ้นมาที่ชายหาด แล้วเปิดฝาทั้งสองข้างของมันออกผึ่งแดดอย่างพออกพอใจ ทันใดนั้นมีนกกระยางโทนที่บินเลียบมาตามฝั่งคลองตัวหนึ่ง พอมันเห็นเนื้ออันขาวของหอยมุกเข้า มันก็ร่อนลงมาด้วยความอยากกินและดีใจ พอลงมาถึงพื้นก็เอาปากจิกหอยมุกทันที หอยมุกตกใจกลัวรีบหุบฝาของมัน ปากของนกกระยางโทนจึงถูกหนีบไว้แน่นเหมือนถูกคีมจับ

          นกระยางโทนพยายามจะควักเนื้อหอยมุกออกมา ส่วนหอยมุกก็ออกแรงหนีบปากนกกระยางโทนไว้จนสุดกำลัง ทำให้ต่างฝ่ายต่างทำอะไรกันไม่ได้นกกระยางโทนจึงพูดขู่ด้วยความโกรธว่า

          " วันนี้ฝนไม่ตก พรุ่งนี้ฝนก็ไม่ตก แกจะต้องถูกแดดเผาตายอยู่บนหาด ! "

           หอยมุกก็ไม่ยอมแพ้พูดว่า " ปากของแกวันนี้ถูกข้าหนีบไว้ พรุ่งนี้กยังจะถูกข้าหนีบไว้ แกจะต้องอดตายอยู่ที่นี่ ! "

           นกกระยางโทนกับหอยมุกต่างไม่ยอมแพ้ ต่อสู้กันหมดเรี่ยวหมดแรงขณะนั้นมีคนหาปลาคนหนึ่งถือแหเดินตามริมฝั่ง เมื่อเห็นนกกระยางโทนกับหอยมุกต่อสู้กันอยู่ ก็ตรงเข้าจับนกและหอยใส่ลงในข้องของตน

บันทึกใน " จ้านกว๋อเช่อ "

INSPIRATION ( แรงเหนี่ยวนำ )

INSPIRATION ( แรงเหนี่ยวนำ ) 

INSPIRATION

Winners love profound philosophy to inspire their minds,
That is why their works are rich in width and depth;
Talking with them is like talking with a philosopher of management

Losers use girls, games and alcohol to inspire them,
They spend a lot on their inspiration,
They spend more and more on their inspiration;
Seemingly they work for inspirers not for themselves

Liberators love the pure ultimacy to inspire them,
They live and work for salvation;
The world, asset and people are not their inspirers,
Those are as patients needing medication from them

Friday, January 30, 2015

ข้ามแม่น้ำต้องคำนับสะพาน


ข้ามแม่น้ำต้องคำนับสะพาน

          ในภาษิตจีนมีอยู่ว่า " ข้ามพ้นแม่น้ำต้องรื้อสะพาน " ซึ่งความหมายว่า ในยามที่ต้องการให้ช่วยก็จะไปไหว้วานเขา แต่เมื่อเขาช่วยจนสำเร็จก็ลืมซึ่งบุญคุณ นี่คือภาษิตของความไม่สำนึกรู้คุณคน แต่ถ้าเราสามารถที่จะสร้างนิสัยที่ว่า " ข้ามแม่น้ำแล้วหันกลับคำนับสะพาน " นั่นแสดงถึงการที่เรามีความสำนึกรู้พระคุณ และตอบแทนผู้ที่มีบุญคุณต่อเรา

          ในเวลาที่เราเดินอยู่ใต้แดดร้อน แล้วหลบเข้าไปในร่มไม้เพื่อพักผ่อน เราก็ควรรำลึกในคุณของคนที่ปลูกต้นไม้ เพื่อเราได้พักพิงหลบร้อนในวันนี้ และเมื่อได้เห็นประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่งดงามรอบตัวเรา เราก็ต้องสำนึกถึงความลำบากของคนในอดีตที่สร้างไว้ให้เรา

           เรามีบรรพบุรุษหว่านเพาะเมล็ดพันธุ์จึงได้ผลเก็บเกี่ยวในวันนี้ หากว่าไม่มีใครที่บุกเบิกทางไว้ เราก็ย่อมเสี่ยงต่ออันตรายในทางอันรกร้าง ถ้าหากไม่มีเกษตรกรทำไร้ไถนาแล้วเราจะเอาข้าวที่ไหนกินประทังชีวิต ในชีวิตมนุษย์ทุกๆ คน ก็ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเพราะฉะนั้นเราจึงควรมีจิตใจสำนึกคุณและตอบแทนให้กับสังคม

รักษาคนตายให้เป็น


รักษาคนตายให้เป็น

          ในรัฐหวู่ มีชายผู้หนึ่งชื่อกงซุนเชา เขาคุยอวดว่าเขาสามารถจะรักษาคนตายให้กลับฟื้นคืนชีพได้

          คนที่ได้ฟังเกิดสงสัยจึงถามเขาว่า " ท่านรักษาด้วยวิธีไหน ? "

          เขาตอบว่า " เวลานี้ข้าพเจ้าใช้ยารักษาคนที่ตายไปครึ่งตัวให้หายได้อยู่แล้ว ถ้าข้าพเจ้าเพิ่มยาขึ้นอีกเท่าหนึ่ง ก็สามารถรักษาคนที่ตายให้คืนชีพได้มิใช่หรือ "

บันทึกใน " หลี่สื้อชุนชิว "

SATISFACTION ( ความพอใจ )

SATISFACTION ( ความพอใจ )

SATISFACTION

Winners are proud of their achievement,
And live with it ;
Devoting themselves to continuous improvements,
And dislike working at something that provides no satisfaction

Losers are not proud of what they have done,
Envious of what others have achieved;
Ignoring that they could have done if they wisely tried enough

Liberators appreciate freedom;
They are not victims of success or failure,
They absorb the power of success,
Growing in wisdom because of it then letting it go.
They also learn the lessons of failure,
Drawing on the experience, not to repeat the mistake and let it go;
Their minds are always free enough to be happy

ที่มาของการตอบสนอง


ที่มาของการตอบสนอง

         นิทานเรื่องหนึ่งมีอยู่ว่า มีเด็กน้อยคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนภูเขาสูงแล้วร้องตะโกนลงมากลางหุบเขาว่า " ฉันเกลียดเธอ " เพราะต้องการระบายความทุกข์ที่อัดอั้นอยู่ในใจ แต่ผลปรากฏว่ามีเสียงสะท้อนมาจากภูเขาต่างๆ รอบข้างว่า " ฉันเกลียดเธอ " ทำให้เด็กน้อยตกใจร้องไห้วิ่งกลับบ้านไปบอกแม่ แม่ของเด็กน้อยนั้นก็ลูบหัวปลอบใจ แล้วก็จูงมือเด็กน้อยกลับไปที่ภูเขาลูกเดิม แม่ของเด็กน้อยก็บอกลูกว่า ให้ลูกพูดคำว่า " ฉันรักเธอ " เด็กน้อยทำตามที่แม่บอก แล้วกยิ้มออกมาได้ทั้งที่น้ำตายังไม่ทันแห้ง เพราะเด็กน้อยได้ยินเสียงสะท้อนกลับมาจากภูเขารอบข้างว่า " ฉันรักเธอ " 

         เสียงสะท้อนจากหุบเขาก็คือการตอบสนองนั่นเอง เวลาที่เราตีระฆังก็ดัง เวลาที่เราตีกลองกลองก็มีเสียง หรือการที่ลูกเต่าพยายามออกจากเปลือกไข่หรือตัวเพลี้ยที่ชอบกัดกินข้าวโพดจนกลายเป็นกาฝากที่เป็นภัย นี่ก็เป็นการตอบสนองเช่นกัน แก๊สพิษที่รั่วไหลทำให้คนตายได้ก็เป็นการตอบสนองที่มีต้นเหตุ

         การตอบสนองนี้เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของสรรพสิ่งในโลกและจักรวาลซึ่งทำปฏิกิริยากัน เป็นเหตุให้เราเห็นสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างออกไป เช่นพระจันทร์บางครั้งก็เต็มดวงบางครั้งก็ครึ่งเสี้ยว เป็นไปตามฤดูกาล และการที่เราเห็นดอกไม้บานแล้วโรยรา เราจะสัมผัสถึงงความไม่เที่ยงที่เป็นอนิจจังของโลก สัมผัสนี้ก็เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของการเห็น แม้กระทั่งสายสัมพันธ์ของลูกและแม่ที่ห่วงหาอาทรนั้นก็เป็นปฏิกิริยาตอบสนองเช่นกัน

คนที่ชอบโต้แย้ง


คนที่ชอบโต้แย้ง

          ที่อิ๋งซิวปัญญาชนคนหนึ่งซึ่งมักจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นเป็นประจำ โดยเฉพาะเขาเป็นคนชอบโต้แย้งชนิดไม่ยอมแพ้ใคร ทั้งๆ ที่เป็นการเถียงข้างๆ คูๆ ชนิดไม่มีเหตุผล

          วันหนึ่งเขาไปหาอ้ายจื่อและถามว่า " ทำไมที่ใต้เกวียนและคออูฐจึงมักแขวนกระดิ่ง ? "

          อ้ายจื่อตอบว่า " เกวียนและอูฐนั้นเทอะทะและมักจะเดินทางในเวลากลางคืน เนื่องจากเกรงว่าเวลาอยู่ในทางแคบ หลีกกันไม่ทันจะชนกันขึ้นจึงติดกระดิ่ง เมื่อฝ่ายตรงข้ามได้ยินเสียงก็จะได้เตรียมหลีกทาง "

          ชายชาวอิ๋งซิวกล่าวว่า " การที่บนสถูปแขวนกระดิ่งไว้ก็เพื่อกันไม่ให้่เกิดชนกันขึ้นในเวลาเดินทางตอนกลางคืนอย่างนั้นหรือ ? "

          อ้ายจื่อตอบว่า " ท่านช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย ! เนื่องจากนกกาทั้งหลายชอบทำรังในที่สูงแล้ว ก็ถ่ายมูลลงมาเปรอะเปื้อนด้วยเหตุนี้บนสถูปจึงแขวนกระดิ่งไว้ เวลาลมพัดเสียงดังของกระดิ่งก็จะไล่นกกาไป ทำให้มันไม่กล้าทำรังบนนั้น ทำไมจึงเอามาเปรียบกับเกวียนและอูฐเล่า ? "

         ชาวอิ๋งซิวพูดต่อไปว่า " การผูกกระดิ่งไว้ที่หางเหยี่ยวนั้น ก็เพราะกลัวว่านกกาจะไปทำรังที่หางของมันใช่ไหม ? "

         อ้ายจื่อฟังแล้วหัวเราะพูดว่า " ประหลาดมาก ท่านช่างเป็นคนที่ไม่เข้าใจเหตุผลอะไรเลย ! เหยี่ยวเวลาบินไปจับนกหรือเข้าไปในป่านั้นถ้าหากเชือกที่ล่ามไว้ไปพันกับต้นไม้ พอมันกระพือปีกกระดิ่งก็จะดัง ทำให้เจ้าของไปตามหามันได้ง่ายขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะพูดว่า กันไม่ให้นกกามาทำรังไดอย่างไร  "

         ชาวอิ๋งซิวถามต่อไปว่า " ในการซักศพที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้นข้างหน้ามีคนเดินสั่นกระดิ่ง ปากก็ร้องเพลง เมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาจึงต้องทำเช่นนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าเขากลัวกิ่งไม้จะพันขาเขาไว้ แต่ที่ยังไม่แน่ใจก็คือเชือกที่ล่ามขาเขาไว้นั้นทำด้วยหนังหรือทำด้วยปอ "

          อ้ายจื่อฟังแล้วรู้สึกรำคาญเต็มทนจึงตอบว่า " นั่นเป็นการเบิกทางให้แก่คนตายที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะก่อนตายเจ้าหมอนั่นชอบโต้เถียงอย่างไม่ได้เรื่องได้ราวกับคนอื่นด้วยเหตุนี้ จึงต้องสั่นกระดิ่งเพื่อให้เจ้าคนที่ตายนั้นฟังแล้วสบายอกสบายใจ "

บันทึกใน " อ้ายจื่อจ๋าซ่อ "

Tuesday, January 20, 2015

PRINCIPLES-PRACTICES ( หลักการ กับ ปฏิบัติ )

PRINCIPLES-PRACTICES ( หลักการ กับ ปฏิบัติ )

PRINCIPLES-PRACTICES

Winners apply sound principles for success,
Any principles that don't work will be revised;
They live principled lives

Losers have poor grasp of principle,
Living in a fantasy world,
That mostly can not lead to any success

Liberators set principle for the sake of the soul,
They practice blending together these principle,
Until reaching the achievable goal is attained

สวรรค์อยู่ที่ไหน



สวรรค์อยู่ที่ไหน

          มักจะมีคนถามอยู่เสมอว่า " สวรรค์อยู่ที่ไหน " ถ้าหากว่าคุณพอใจและเป็นสุขบนโลกใบนี้ คุณก็สามารถตอบได้ว่า " สวรรค์มีอยู่ในแดนดิน " แต่ถ้าคุณคิดว่าในโลกนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่มีจิตใจเลวทราม มีแต่เรื่องนินทาว่าร้าย แต่คุณรู้สึกว่ามีเพียงครอบครัวตัวเองที่อบอุ่นน่ารัก คุณก็สามารถตอบได้ว่า " สวรรค์อยู่ในบ้าน " แต่ถ้าหากว่าคุณรู้สึกในบ้านมีแต่เรื่องวุ่นวาย ไม่มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน มีเพียงความสงบยามที่คุณได้อยู่คนเดียว คุณก็สามารถตอบได้ว่า " สวรรค์อยู่ที่ใจ " แต่วันใดในจิตใจก็อาจจะเต็มไปด้วยความโมหะและโทสะ ความอาฆาตพยาบาทไม่เป็นสุขในโลกในสังคม หรือไม่พอใจต่อเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้สวรรค์อยู่ที่ไหน ? สวรรค์อาจจะอยู่ข้างๆ นรก ?

          มีนิทานขำขันอยู่เรื่องหนึ่งว่า เดิมทีนั้นสวรรค์อยู่ข้างๆ นรก ซึ่งต่างก็มีรั้วกั้นแบบไม่แข็งแรง วันหนึ่งเกิดพายุพัดเข้าใส่ รั้วจึงพัง เจ้าแห่งสวรรค์และพยายมต่างก็ตกลงกันว่าจะส่งวิศวกรและทนายความ อีกทั้งนายธนาคาร มาเป็นสมาชิกสภาการบูรณะซ่อมแซม แต่เจ้าสวรรค์ก็ไม่ได้ส่งใครมาเลยแม้แต่คเดียว ในที่สุดพญายมทนไม่ไหวได้ส่งสารเจรจาครั้งสุดท้ายไปถึงเจ้าสวรรค์ว่าเจ้าสวรรค์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลร้ายที่จะตามมาภายหลัง เพราะการไม่มีรั้วกั้นของสวรรค์และนรก แต่เจ้าสวรรค์ก็พูดอย่างจนปัญญาว่า " ฮ้าย... ช่างน่ารันทดใจเสียจริง ในสวรรค์ของข้าไม่มีบุคลากรเอาเสียเลย ? "

เรียนวิชาฆ่ามังกร



เรียนวิชาฆ่ามังกร

          มีชายคนหนึ่งชื่อจูเพิงม่าน เขาเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้ และด้วยความปรารถนาที่จะเป็นคนมิวิชาความรู้ชนิดที่คนอื่นไม่มี คือวิชาฆ่ามังกร เขาจึงขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วนำทองพันตำลึงติดตัวเดินทางรอนแรมไปขอสมัครเป็นลูกศิษย์ของหลีอี้เพื่อเรียนวิชาฆ่ามังกร

          เขาเรียนอยู่เป็นเวลานานสามปี สำเร็จแล้วก็เดินทางกลับ เมื่อมีคนถามเขาว่าไปเรียนวิชาอะไรมา เขาก็ตอบอย่างภาคภูมิใจว่าเรียนวิชาฆ่ามังกร พร้อมกันนั้นก็เล่าถึงวิชาฆ่ามังกรว่าจะต้องจับมังกรอย่างไร ลงมือฆ่าอย่างไร และยังทำไม้ทำมือประกอบไปกับการเล่าด้วย

          คนที่ฟังเขาพูดต่างก็พากันหัวเราะ ถามเขาว่า " มังกรที่จะให้แกฆ่านั้นอยู่ที่ไหน ? "

          จูเพิงม่านเจอคำถามเช่นนั้นก็รู้ตัวว่า ความเป็นจริงในโลกนี้ไม่มีมังกร ฉะนั้นความสามารถของเขาอุตส่าห์ลงทุนไปเรียนมจึงเสียเปล่าไม่เกิดประโยชน์เลยแม้แต่น้อย

บันทึกใน " จวงจื่อ "

Sunday, January 04, 2015

สังคมอุดมการณ์




สังคมอุดมการณ์

          หลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา มนุษยชาติเราล้วนมีความใฝ่ฝันถึงสังคมที่ดีงาม นักสู้ผู้กล้ามากมายที่อุทิศชีวิตทั้งชีวิต เพื่อสร้างสรรค์สังคมอุดมการณ์ เราต่างรังเกียจการกดขี่ขูดรีด รังเกียจการข่มเหงเบียดเบียนบีฑา แบ่งแยกชนชั้นวรรณะ ผู้คนส่วนน้อยเสพสุข ไร้สาระบนความทุกข์ยากของคนส่วนใหญ่ แม้แต่พระเจ้าก็ยังทนดูไม่ได้ สามพันปีที่แล้ว พระเจ้าสั่งให้โมเสสพาคนอิสราเอลฝ่าข้ามทะเลแดงหนีออกมาจากกดขี่ปกครองของอียิปต์ มุ่งหน้าไปสู่แผ่นดินคานาอันที่พระเจ้าทรงสัญญาว่า จะเป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย น้ำนมและน้ำผึ้ง ที่ไหลนองไปทั่วแผ่นดิน แม้จะต้องเสี่ยงตายเพราะกองทัพอียิปต์ไล่ล่ามาอย่างกระชั้นชิด ถึงจะมีเพียงแค่สองมือเปล่า แต่ทุกคนก็จิตหนึ่งใจเดียวที่จะไปให้ถึงแผ่นดินคานาอัน

          ในหมู่คนที่นับถือศาสนาคริสต์ เชื่อกันว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกทรงเป็นเจ้าของทุกสรรพสิ่ง บนโลกใบนี้ เราเป็นแต่เพียงผู้อารักขา พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มี " ตะลันต์ " ( Talent ) ที่แตกต่างกันเพื่อให้ขับเคลื่อนสังคมให้ดำรงอยู่ได้ มีหมอ มีวิศวกร แล้วต้องมีกรรมกร ชาวนา มนุษย์ต่างกันที่การทำหน้าที่ มิใช่ชาติตระกูล ชนชั้น วรรณะ พระเจ้ามุ่งหมายให้มนุษย์ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน คนที่รู้มากกว่า แข็งแรงกว่าช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า โลกนี้จึงจะสงบสันติสุข เราทุกคนต่างดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยกำลังการผลิตของคนทั้งสังคม ลองพิจารณาจากข้าวหนึ่งจานตรงหน้าเรา ต้องมีชาวนาปลูกข้าว มีกรรมกรสร้างถนน มีผู้คนมากมายในระบบตลาด เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ต้องมีคนปลูกฝ้าย มีคนทอผ้า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ นานา ผ่านมือผู้คนทั้งสังคม ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นการร่วมมือกัน อย่างสร้างสรรค์ของพระเจ้า และมวลมนุษยชาติ มนุษย์ทำหน้าที่หว่านเมล็ดข้าวลงนา แต่พระเจ้าทำให้พืชพันธ์ทั้งหลายเจริญเติบโต ทรงสร้างแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก ทองแดง ดีบุก ให้เราขุดค้นขึ้นมาใช้ ฉะนั้นผลผลิตทั้งหลาย จึงมิใช่สิทธิของผู้หนึ่งผู้ใด ที่จะครอบครอง การถือสิทธิ์ครอบครองอย่างไม่ชอบธรรมแบบนี้ จึงเป็นการฉ้อโกงพระเจ้า เราจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าผู้ยิ่งใหญ่คนไหนในประวัติศาสตร์ ไม่เคยมีใครที่ผลักดันสังคมได้ขนาดนี้ และไม่เคยมีวงศ์ตระกูลไหนเลย ที่สามารถครอบครองสมบัติของแผ่นดินนี้ได้อย่างถาวร ชั่วลูก ชั่วหลาน ชั่วนิรันดร

          นักปฏิวัติผู้ยิ่งใหญ่ของเรา พระสมณโคดม ท่านก็ทรงเล็งเห็นถึงความจริงข้อนี้ ท่านถือกำเนิดในสังคมอินเดียแต่โบราณ ที่มีการยึดมั่นกับความเชื่อ เรื่องการแบ่งชั้น วรรณะ ตามหลักศาสนาประจำชาติอย่างหนักแน่นมั่นคง เมื่อทรงตรัสรู้ธรรม และ รู้ถึงความเป็นไปของโ,กอย่างแจ่มแจ้ง จึงทรงปฏิเสธโครงสร้างของสังคมแบบนั้น และสร้างชุมชนของพระองค์ขึ้นมาใหม่ โดยมีหลักการดังนี้