สดับเสียงสนุขเห่าไก่ขันที่ข้างรั้ว
คลับคล้ายดั่งลอยละล่องอยู่กลางเมฆหมอก
อยู่ในห้องหนังสือแว่วเสียงจักจั่นระงมนกการ้อง
จึงตระหนักในคุณวิเศษของความเงียบ
นิทัศน์อุทาหรณ์
กวีบนหลังลานิทานเรื่องนี้ เกิดนานมาแล้ว
แต่ละวัน เมื่อแสงเงินแสงทองลำแรกส่องขึ้นจับท้องฟ้า ชายหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาคมสัน สวมเสื้อผ้าสีขาว ขี่ลาผอมเล็กตัวหนึ่งเดินกุกๆ กักๆ ข้ามลำธาร ผ่าเข้าไปในดงไม้
เบื้องหลังลามีเด็กรับใช้สะพายถุงโบราณ ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด
คนตัดฟืนในดงไม้ต่างรู้ว่ากวีผู้ชอบแสวงหาคำไพเราะมาอีกแล้ว
กวีผู้นี้ คือหลี่เฮอ ในสมัยราชวงศ์ถัง
หน้าอกเสื้อของหลี่เฮอ สะบัดอยู่ท่ามกลางลมเช้า เขาได้ยินเสียงน้ำไหลริน ดอกแขมบินว่อน เสียงไก่ขัน สนุขเห่ามาจากกระท่อมหญ้า ในป่าเขาบนต้นไม้จักจั่นส่งเสียงร้องระงม นกกาเริงร้องก้องไพร
หลี่เฮอคลับคล้ายคลับคลาว่าตนเองล่วงพ้นไปจากโลกอลวนเขารู้สึกสะท้อนใจ แม้เสียงนกแมลงยังดังระงมอยู่ก็ตาม ในความรู้สึกของเขานี่คือความสงบอย่างแท้จริง คือดินแดนสุขาวดีที่เขาแสวงหาอยู่ เขารีบคว้าพู่กันบันทึกความรู้สึก หลังจากนั้นก็ยัดลงไปในถุงที่เด็กรับใช้สะพายอยู่
ดังนั้น หลี่เฮอก็ขับลาให้หยุดบ้างตามความพอใจ บันทึกคำกวีไว้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งตะวันตกดิน จึงได้ดึงลาให้หันหลังกลับบ้าน
ใต้แสงตะเกียงยามค่ำ เขานำคำกวีที่เขาบันทึกไว้ทั้งหมดมาเรียงร้อยให้เป็นบทกวีที่ต่อเนื่องกัน
บทกวีอันสวยงามจับใจของหลี่เฮอ จึงได้ถือกำเนิดขึ้น !
By หงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง ( สายธารแห่งปัญญา )
No comments:
Post a Comment