Monday, April 28, 2014

ขาดริมฝีปากฟันย่อมเสียว


ขาดริมฝีปากฟันย่อมเสียว

        ครั้งหนึ่งรัฐจิ้นเตรียมยกทัพไปตีรัฐกว๋อ แต่กองทัพจะไปยังรัฐกว๋อได้ต้องผ่านรัฐอี๋ ฉะนั้นกษัตริย์เชี่ยนกงของรัฐจิ้นจึงส่งคนไปนำหยกสีขาวที่มีค่าชิ้นหนึ่งไปมอบให้แก่กษัตริย์ของรัฐอี๋เพื่อขอยกกองทัพผ่านไปตีรัฐกว๋อ

        มหาอำมาตย์ของรัฐอี๋ชื่อกงจือฉีได้ทูลเตือนกษัตริย์รัฐอี๋ว่า

        " พระองค์ไม่ควรจะยอมให้ผ่านเพราะรัฐอี๋กับรัฐกว๋อนั้นมีความสัมพันธ์ที่เปรียบประดุจริมฝีปากกับฟันขาดริมฝีปากฟันย่อมจะเสียว เมื่อไม่มีริมฝีปากแล้วฟันจะรักษาตัวเองได้อย่างไร ? วันนี้ถ้ายอมให้รัฐจิ้นทำลายรัฐกว๋อแล้ว วันพรุ่งรัฐอี๋ก็จะถูกทำลายตามไปด้วย "

        กษัตริย์ของรัฐอี๋ไม่ยอมฟังความเห็นนี้ รับหยกขาวที่กษัตริย์รัฐจิ้นส่งมาให้และยอมให้กองทัพผ่านไป เมื่อรัฐจิ้นตีได้รัฐกว๋อแล้วก็หวนกลับมาตีและยึดเอารัฐอี๋ดังที่มหาอำมาตย์ได้คาดไว้

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

เอาตัวรอด เมื่อใกล้ตาย


เอาตัวรอด เมื่อใกล้ตาย

         ในบทนี้เขาเปรียบเทียบให้เห็นการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่คับขันเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ ถ้าเปรียบกับสำนวนไทยอาจจะเหมือนที่ท่านสุนทรภู่กล่าวเอาไว้ว่า " รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี " เพราะในความเป็นจริงนั้นไม่มีอะไรสำคัญกว่าชีวิตอีกแล้ว

         หากจะเรียกว่า " ยอมเสียอวัยวะ " เพื่อรักษาชีวิต " ในสุภาษิตจีนก็คงมีความหมายคล้ายๆ กัน
         
         ในสำนวนบทนี้ยังอาจหมายถึงการยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงอันตรายเพื่อให้รอดชีวิตได้อีกด้วย

         แวดวงธุรกิจการค้านั้นอาจจะมองได้อีกเรื่องหนึ่งว่า การทุ่มเสี่ยงงานสำคัญเพื่อทำให้องค์กรสามารถอยู่รอดได้หรือการเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้

Sunday, April 27, 2014

สัจธรรมแห่งมรรค


สัจธรรมแห่งมรรค

          ครั้งหนึ่ง เจ้าโจวมีโอกาสไปเยี่ยมฌานาจารย์หนานเฉฺวียน จึงถามท่านว่า " มรรคคืออะไร ? " ฌานาจารย์หนานเฉฺวียนตอบว่า " มรรคคือจิตปกติ "

          เจ้าโจวรู้สึกงุนงง จึงถามต่อไปว่า " ถ้าเช่นน้ัน เราไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญเพียร ปล่อยตัวสบายตามธรรมชาติ ก็คือ ' มรรค ' แล้ว ? "

         ฌานาจารย์หนานเฉฺวียนตอบว่า " ถ้าเจ้าต้องการหาหลักยึด ก็ไม่ใช่มรรคแล้ว สิ่งที่อธิบายก็ไม่ใช่มรรคแล้ว "

         เจ้าโจวถามต่อไปว่า " แต่การบำเพ็ญเพียรโดยปราศจากหลักยึดสามารถเข้าถึง ' มรรค ' หรือ ? "

         ฌานาจา่รย์หนานเฉฺวียนจึงแนะนำสั่งสอนว่า " มรรค มิได้อยู่ที่รู้หรือไม่รู้ ถ้าบอกว่าพบมรรคแล้ว ที่ว่ารู้นั้นเป็นเพียงอุปาทานอย่างหนึ่งถ้าบอกว่าไม่รู้ ก็เปรียบดังเช่นความหลงลืม เมื่อถึงขั้นสิ้นอาสังกา ก็เปรียบดังเช่นสุญภาวะ สรรพสิ่งรวมอยู่ในสุญภาวะ ซึ่งไม่มีสภาพตรงข้าม ไม่มีทวิลักษณะ ดังเช่นน้ำดับไฟได้ ไฟต้มน้ำเดือดได้ เจ้าว่าน้ำกับไฟแตกต่างกันหรือไม่ ? "

Friday, April 25, 2014

พละกำลัง


พละกำลัง

        มนุษย์มีพลังมนุษย์ วัตถุมีพลังของวัตถุ ธรรมชาติมีพลังของธรรมชาติ พลังคือพลังงานธรรมชาติประเภทหนึ่ง ในใจคุณมีพลังงานอะไร ก็จะบังเกิดพลังชนิดนั้น แต่คนบางคนไม่มีพลังงานภายในจิตใจจึงต้องอาศัยวัตถุภายนอกเป็นแงผลักดัน ฉะนั้น คนต่างกัน ย่อมมีวิธีการผลักดันพลังงานต่างกัน

        ในคัมภีร์พุทธศาสนาชี้ว่า เด็กทารกใช้การเปล่งเสียงร้องให้เป็นพลัง สตรีใช้จริตมารยาเป็นพลัง นักรบใช้ดาบใช้กระบี่เป็นพลัง พระโพธิสัตว์ใช้ความเมตตากรุณาเป็นพลัง

         คนสมัยนี้ บางคนใช้พลังคุณธรรมสยบคน บางคนใช้พลังอดกลั้นต่อกรกับคน บางคนใช้พลังอำนาจกดขี่คน บางคนใช้พลังทรัพย์สั่งคน คนเราไม่มีพลังไม่ได้ เฉกเช่นสิ่งปลูกสร้างที่ไม่อาจขาดพลังรองรับ ถ้าไม่มีแรงก็ไม่อาจแบกรับวัตถุหนักไว้ได้ ดังนั้นวิชากลศาสตร์จึงกลายเป็นสาขาหนึ่งในสถานศึกษา

         ในธรรมชาติ... น้ำมีพลังงานของน้ำ ไฟมีพลังของไฟ ลมมีพลังของลมแสงอาทิตย์ก็มีพลังความร้อนของมัน นอกเหนือจากธรรมชาติแล้ว พลังของมนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุด มนุษย์มีพลังทรัพย์ พลังอำนาจ พลังอาวุธ พลังความรุนแรงไปจนกระทั่งพลังแฝง พลังจิตนาการ พลังชีวิต แตไม่ว่าพลังอะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่ไพศาล สุดประมาณเท่ากับพลังจิตใจ

Tuesday, April 22, 2014

ม้าแก่รู้ทาง


ม้าแก่รู้ทาง

        ปีหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ก่วนจ้งกับสีหมิงซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ติดตามกษัตริย์หวนกง แห่งรัฐฉีทัพยาตราไปตีรัฐโก่วจู๋ ทั้งสองฝ่ายรบพุ่งกันเป็นเวลานานจนย่างเข้าฤดูหนาวจึงได้ยุติ ในขณะที่ยกทัพกลับนั้น กองทัพของรัฐฉีต้องเดินผ่านทะเลทรายที่เวิ้งว้างจึงทำให้หลงทาง ก่วนจ้งกล่าวว่า

        ม้าเป็นสัตว์ที่ฉลาด ตอนนี้ควรจะให้มันนำทาง "

        ฉะนั้นพวกเขาจึงคัดม้าแก่มาหลายตัวให้เดินนำหน้ากองทหาร ในที่สุดก็มาถึงเส้นทางที่จะยกทัพกลับ

        เมื่อคนและม้ามาถึงเขตเขาแห่งหนึ่ง หาน้ำดื่มไม่ได้เป็นเวลาหลายวันบรรดาทหารต่างกระหายน้ำจนหมดแรงเดินต่อไม่ไหว สีหมิงกล่าวว่า

        " ในฤดูหนาว มดจะทำรังอยู่ทางเนินด้านที่รับแสงพระอาทิตย์ ฤดูร้อนจะอยู่ด้านที่ไม่ถูกแสงแดด ตามปกติมดจะทำรังอยู่บนที่ที่มีตาน้ำ "

        ด้วยเหตุนี้ พวกทหารจึงพยายามช่วยกันขุดค้น ผลที่สุดก็พบตาน้ำในดินที่อยู่ใต้รังมด

        คนที่มีความเฉลียวฉลาดและความรอบรู้อย่างดีดังเช่นก่วนจ้งและสีหมิงนี้ เวลาเจออุปสรรคและความยากลำบากยังต้องเอาม้าและมดมาเป็นครูของตน


บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

รู้รสดีทั้งเปรี้ยวและหวาน


รู้รสดีทั้งเปรี้ยวและหวาน

         ความเข้าใจและเจนจัดในการใช้ชีวิตว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี



By ปรัชญา " ซามูไร " 

Sunday, April 20, 2014

ไม่ต้องเกรงใจ


ไม่ต้องเกรงใจ

         มีอยู่วันหนึ่ง ฌานาจารย์ฝอกวงได้พบเมี่ยวซุ่น จึงถามว่า " เจ้ามาปฏิบัติฌานที่นี่นาน ๑๒ ปีแล้ว เหตุใดไม่มาสนทนาธรรมกับอาตมาเลย ? "

         เมี่ยวซุ่นตอบว่า " อาจารย์ท่านไม่ว่าง ศิษย์ไม่กล้ารบกวน "

         พริบตาผ่านไปอีก ๓ ปี มีอยู่วันหนึ่ง ฌานาจารย์ฝอกวงพบเมี่ยวซุ่นอีกครั้ง จึงถามว่า " เจ้ามาอยู่ที่นี่นานมากแล้ว มีปัญหาอะไรหรือทำไมไม่สนทนาธรรมกับอาตมา ? "

        เมี่ยวซุ่นตอบอย่างนอบน้อมเช่นเดิมว่า " อาจารย์ท่านไม่ว่าง ฉันไม่กล้ารบกวนเวลาของอาจารย์ "

        ฌานาจารย์ฝอกวงรู้ว่าเมี่ยวซุ่นเสงี่ยมเจียมตัวมากไป ถ้ายังเป็นอย่างนี้ จะปฏิบัติฌานอย่างไรก็ไม่มีทางบรรลุ จึงเป็นฝ่ายบอกเมี่ยวซุ่นว่า " ปฏิบัติธรรมแบบฌาน ต้องหมั่นสนทนาค้นคว้าเสมอ ทำไมเจ้าไม่มาสนทนาธรรมกับอาตมาล่ะ ? " เมี่ยวซุ่นพนมมือไหว้แล้วตอบว่า " อาจารย์ท่านไม่ว่างเลย ศิษย์มิกล้ารบกวนเวลาสนทนาธรรมกับท่าน " ฌานาจารย์ฝอกวงได้ยิ้นเช่นนั้น จึงตวาดเสียงดังว่า " ไม่ว่าง ไม่ว่าง ไม่ว่างเพื่อใครล่ะ ? "อาตมาก็ไม่ว่างเพื่อเจ้าได้น่ะ ! "

โอกาส


โอกาส

         โอกาส ก็คือจังหวะเวลา คือเหตุปัจจัย ชีวิตมักหวังว่าจะได้พบกับโอกาสดีๆ โอกาสดีสอบเข้ามหาลัยได้ โอกาสดีได้เข้าทำงานในองค์กรใหญ่ โอกาสดีได้มีผู้อุปถัมป์ โอกาสดีมีเหตุปัจจัยมากมายเรียงหน้าเข้ามาหา ดังนั้น ชีวิตคน การมีโอกาสดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง

         โอกาสบางครั้งอาจเป็นชั่วขณะ เมื่อผ่านไปแล้วก็ไม่หวนกลับมาอีก คุณต้องยึดกุมโอกาสให้ดี ถ้าเฉียดกรายไปแล้ว ต่อให้เป็นโอกาสดีก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้ ดังนั้นจึงมีวาทะคำคมกล่าวว่า " ทองคำขึ้นตามกระแสน้ำ แต่คุณก็ต้องตื่นขึ้นแต่เช้าไปตักมันด้วย "

         บางคนก่อตั้งหอศิลปะ ให้คนได้มีโอกาสดื่มด่ำศิลปะและยกระดับจิตวิญญาณ บางคนก่อตั้งโรงเรียน เพื่อให้ผู้ใฝ่หาความรู้ได้มีโอกาสเล่าเรียน บางคนสร้างสถานพักฟื้นคนชรา เพื่อให้ผู้สูวอายุมีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขในบั้นปลายชีวิตคนเราต้องรู้จักยึดกุมโอกาสไว้และก็ต้องรู้จักสร้างโอกาสแต่คนบางคนสร้างโอกาส คนบางคนยึดกุมโอกาส คนบางคนรู้จักแต่รอโอกาส คนบางคนย่ำยีโอกาส ไม่รู้จักใช้ ปล่อยให้โอกาสผ่านไปอย่างสูญเปล่า

Saturday, April 19, 2014

จื่อห่านไม่รับหยก


จื่อห่านไม่รับหยก

         ที่รัฐซ่งมีชายคนหนึ่งหาทางไต่เต้าด้วยวิธีประจบประแจงเอาอกเอาใจ

         ครั้งหนึ่งชายผู้นี้ได้หยกที่ยังไม่ได้แกะสลักมาชิ้นหนึ่ง เขาคิดว่าโอกาสประจบประแจงเอาใจคนใหญ่คนโตมาถึงแล้ว เขาจึงรีบนำเอาหยกชิ้นนั้นไปมอบให้จื่อห่านซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่เพิ่งย้ายมาใหม่ๆ แต่จื่อห่านไม่ยอมรับ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำหน้ายิ้มแย้มและกล่าวสดุดีว่า " หยกอันมีค่าชิ้นนี้ ย่อมเหมาะแก่ท่านซึ่งเป็นผู้มีเกียรติคุณอันสูงส่ง จะนำไปใช่เท่านั้นหาเหมาะสมกับคนจำพวกละโมบทรัพย์สินกินสินบนไม่ ขอใต้เท้าจงรับไว้เถิด "

         " พูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ " จื่อห่านตอบเขาด้วยท่าทีจริงจัง " ท่านเห็นว่าหยกชิ้นนี้เป็นของล้ำค่าส่วนข้าพเจ้านั้นกลับเห็นว่าการไม่รับหยกชิ้นนี้ของท่านเป็นเรื่องที่ล้ำค่า "

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

สูงวัยแล้ว จงฟังคนรุ่นใหม่


สูงวัยแล้ว จงฟังคนรุ่นใหม่

         ในสำนวนนี้มีคำที่มีความหมายคล้ายๆ กับที่นิยมพูดกันมากในยุคปัจจุบันที่บอกว่า " คลื่นลูกเก่าต้องฟังคลื่นลูกใหม่ " ซึ่งก็คงจะเป็นเรื่องจริง

         เพราะทุกวันนั้นโลกของเราหมุนไปแบบไม่เคยหยุดพักทั้งหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดาวดวงอื่น มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นบนโลกทุกนาที คนที่หลงเวลาหลงยุคนั้นอาจจะมีชีวิตอยู่ในความลำบากหากไม่สามารถปรับตัวได้ทันท่วงที

         คนในยุคก่อนไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดเกิดขึ้นมากมายด้วยฝีมือของคนรุ่นใหม่

         กว่าที่สองพี่น้องออร์วิลไรท์จะสร้างเครื่องบินสำเร็จ คนในยุคก่อนหน้านั้นไม่เชื่อว่าจะมีเครื่องบินที่เหมือนนกยักษ์บินบนท้องฟ้าได้ หลังจากยุคสองพี่น้องออร์วิลไรท์ก็ยังไม่มีใครเชื่อว่า จะมียานอากาศที่ชื่อ " อพอลโล " ที่สามารถส่งมนุษย์โลกขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้

Friday, April 18, 2014

หลวงจีนผู้เมตตา


หลวงจีนผู้เมตตา

         ครั้งหนึ่ง ขณะที่ฌานาจารย์จื้อซุ่นนั่งสมาธิภาวนาอยู่ในป่า มีไก่ป่าบาดเจ็บตัวหนึ่งวิ่งมาหาท่าน ท่านรู้สึกเวทนาสงสาร จึงช่วยไก่ป่าตัวนั้นไว้ ครู่หนึ่ง ก็มีนายพรานวิ่งตามมาทวงไก่ป่าจากท่าน ท่านใช้ความอดทนอธิบายเรื่องเวรกรรมให้นายพรานฟังอยู่นาน แต่นายพรานไม่สนใจใยดียืนยันจะเอาไก่ป่าตัวนั้นให้จงได้

         ฌานาจารย์ตัดสินใจใช้มีดตัดหูสองข้างของตัวเอง โยนให้นายพราน แล้วถามว่า " หูสองข้างนี้พอซื้อไก่ป่าของท่านหรือไม่ ? "

         นายพรานตกตะลึง หลังจากนั้น จึงสำนึกบาป รู้ว่าอาชีพนายพรานเป็นอาชีพที่โหดร้าย

ดวงจิตที่งดงาม


ดวงจิตที่งดงาม

         ดวงจิตที่งดงาม แสดงถึงความจริงใจ ดวงจิตที่งดงาม แสดงถึงการอวยชัยให้พร ดวงจิตที่งดงาม แสดงถึงความหวังดี

         ดวงจิตที่งดงาม ขอพรให้โลกมีสันติภาพ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ดวงจิตที่งดงาม ขอความเป็นสิริมงคล ให้พ่อแม่สุขกายสบายใจ ดวงจิตที่งดงามอำนวยพรให้ญาติมิตรคิดหวังสิ่งใด ขอให้สมปรารถนา ดวงจิตที่งดงาม ขอพรให้สังคมรักใคร่ปรองดอง ทุกคนชื่นชมยินดี ในการบำเพ็ญเพียร ตลอดเวลาทุกเช้าค่ำ เราจะต้องมีดวงจิตที่งดงามคือการคิดดี ทำดี

         ในสังคม... คนบางคนเฝ้าหวังคนอื่นให้ทรัพย์สินเงินทองแก่ตน บ้างก็อยากให้คนอื่นมอบรางวัลเกียรติให้ตน แต่ก็มีบางคนต้องการเพียง " คุณอวยพรให้ฉันเถิด " " คุณแผ่เมตตามาให้ฉันบ้างเถิด "

         การที่เพียงแต่ขอให้ผู้อื่นสวดมนต์แผ่เมตตาให้ตน ดูผิวเผินอาจเป็นแค่คำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำ เป็นการแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้หรือที่มีความสำคัญยิ่ง

         คุณดูสิ... วัดโบราณบนเขาสูงป่าลึก เสียงระฆังสวดมนต์อ้อนวอนของพระเถระดังว่า " เมื่อระฆังดังกังวาน เสียงสวดมนต์คาถา ดังทะลุไปถึงสวรรค์ตรงดิ่งถึงนรก " คุณลองฟังให้ดี ท่านเจ้าอาวาสในป่าเขา ทุกวันพระจีน ท่านก็แสดงดวงจิตที่งดงามด้วยการอวยพรให้ประชาชนในโลกอยู่เย็นเป็นสุข รักใคร่ปรองดอง หรือเราจะไม่เคยได้รับรู้ถึงคำอวยพรจากพวกท่านหรือ ?

หยกของคนแซ่เหอ


หยกของคนแซ่เหอ

        ที่รัฐฉู่มีชายแซ่เหอได้หยกที่ยังไม่ได้เจียระไนมาก้อนหนึ่ง เขาจึงเอาหยกนี้ไปถวายกษัตริย์ลี่ของรัฐฉู่ กษัตริย์ลี่รับสั่งให้ช่างเจียระไนหยกมาดู ช่างทูลว่า

         " นี้เป็นเพียงก้อนหินธรรมดก้อนหนึ่งพะย่ะค่ะ "

         กษัตริย์ลี่ได้ฟังเช่นนี้กทรงกริ้วมาก รับสั่งลงโทษตัดขาซ้ายของชายแซ่เหอเสีย

         เมื่อกษัตริย์ลี่สิ้นพระชนม์แล้ว กษัตริย์หวู่ขึ้นครองเมือง ชายแซ่เหอก็นำหยกก้อนนั้นถวายอีก กษัตริย์หวู่รับสั่งให้ช่างแกะหยกมาดู ช่างกล่าวทูลอย่างครั้งก่อนว่าเป็นก้อนหินไม่ใช่หยก ด้วยเหตุนี้กษัตริย์หวู่จึงรับสั่งให้ลงโทษด้วยการตัดขาข้างขวาของเขาเสีย

          ต่อมาไม่นานกษัตริย์หวู่สิ้นพระชนม์ กษัตริย์เหวินขึ้นเสวยราชย์ ชายแซ่เหอจึงนำหยกก้อนนั้นไปนั่งร้องไห้ที่เชิงเขาจิง เขาร้องให้อยู่เป็เวลาสามวันจนเลือดไหลออกมาจากเบ้าตาแทนน้ำตาที่ไม่มีจะหลั่ง เมื่อกษัตริย์เหวินทรงทราบเรื่องก็ส่งคนไปหา ถามว่า 

         " คนที่ถูกตัดขานั้นมีมากมาย ทำไมท่านจึงต้องร้องไห้เสียอกเสียใจถึงขนาดนี้ ? "

         ชายแซ่เหอตอบว่า " ข้าพเจ้าไม่ได้ร้องไห้เสียใจเพราะเท้าทั้งสองถูกตัด แต่ร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจในการเห็นหยกเป็นก้อนหิน เห็นความซื่อสัตย์เป็นความเท็จ ! "

         กษัตริย์เหวินจึงรับสั่งให้ช่างเจียระไนหยกก้อนนั้นดู ในทีสุดก็ปรากฎว่าเป็นหยกจริงหาใช่ก้อนหินไม่ ต่อมาหยกชิ้นนี้ได้ถูกขนานนามว่า " หยกของคนแซ่เหอ "

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "


Tuesday, April 15, 2014

ยืน ๕ ลี้กลางหมอก


ยืน ๕ ลี้กลางหมอก

         การทำงานโดยไม่เห็นความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า เหมือนยืนอยู่ท่ามกลางสายหมอกที่มองไม่เห็น



By ปรัชญา " ซามูไร "

จองเวรไม่สิ้นสุด


จองเวรไม่สิ้นสุด

         ครั้งหนึ่งในสมัยเด็ก ขณะที่ฌานาจารย์ทงฮุ่ยกำลังตักน้ำในบ่อ ชาวประมงคนหนึ่งเดินเฉียดผ่านไป ปลาตัวหนึ่งดิ้นดีดตัวออกาจากข้องใส่ปลาของชาวประมงคนนั้น หล่นผลุงลงในถังน้ำของท่าน ท่านโกรธมากทุบปลาตัวนั้นตายทันที

          สามสิบปีให้หลัง แม่ทัพคนหนึ่งชื่อ จางจฺวิ้น นำไพร่พลมาถึงด่านกวนจง ขณะผ่านหน้าอารามที่ฌานาจารย์ทงฮุ่ยพำนักอาศัย นิสัยพลันเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน พกเกาทัณฑ์บุกเข้าไปในหอพระธรรม จ้องหน้าฌานาจารย์ด้วยแววตาโกรธแค้น ฌานาจารย์ทงฮุ่ยกลับหัวเราะพูดว่า " ท่านมาแล้ว อาตมาคอยท่านมานานแล้ว "

          จางจฺวิ้นงุนงง ไม่รู้ทำอะไรต่อไปอีก จึงพูดว่า " ข้าถึงจไม่เคยพบท่านมาก่อน แต่พอเห็นท่านเท่านั้น ก็รู้สึกเคียดแค้นชิงชังจนอยากจะฆ่าท่านให้ถึงตาย โดยที่ข้าก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด "

Monday, April 14, 2014

ผู้อุปถัมป์อยู่ที่ใด


ผู้อุปถัมป์อยู่ที่ใด

         การเป็นคนในสังคม เมื่อต้องประสบกับอุปสรรคความยากลำบากก็มักจะคิดฝันว่า อยากมีผู้อุปถัมป์เป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือ ผู้อุปถัมป์ของเราอยู่ที่ใด

         คนบางคน... คาดหวังว่าจะมีผู้อุปถัมป์อยู่ในครอบครัว เช่น ลูกพี่ลูกน้อง ลุงป้า น้าอา อาจเป็นผู้อุปถัมป์ของเรา แต่ว่าทุกบ้านล้วนมีปัญหาโลกแตกอุปสรรคขวากหนามของเราจะมอบให้ญาติพี่น้องเหล่านี้ มาช่วยเราแบกรับภาระคงไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนัก

        คนบางคน... เอาเพื่อนเป็นผู้อุปถัมป์ ในบรรดาเพื่อนๆ อาจมีเพื่อนที่มีมิตรจิตมิตรใจอยู่ แต่ว่าคุณเคยเป็นผู้อุปถัมป์ของเพื่อนบ้างหรือเปล่า ถ้าคุณไม่เคยแล้วจะคาดหวังให้เพื่อนเป็นผู้อุปถัมป์ของคุณได้อย่างไร

Saturday, April 12, 2014

ชาวเมืองเยียะไม่สวมหมวกและรองเท้า


ชาวเมืองเยียะไม่สวมหมวกและรองเท้า

        มีผัวเมียคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในนครหลวงของรัฐหลู่ ผัวมีฝีมือในการใช้ต้นหญ้าถักรองเท้า ส่วนเมียเก่งในการทอผ้าป่าน จึงมีฐานะพอกินพอใช้ด้วยการอาศัยฝีมือของตน

         ผัวเมียคู่นี้ได้ยินคนพูดกันอยู่บ่อยๆ ว่า รัฐเยียะนั้นเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ วันหนึ่งผัวเมียสองคนนี้จึงจัดแจงเก็บข้าวของเตรียมตัวจะเดินทางไปอยู่รัฐเยียะ เพื่อบ้านเห็นเข้าก็บอกเขาว่า " ถ้าย้ายไปอยู่เมืองเยียะพวกท่านจะต้องยากจนไม่มีข้าวสารกรอกหม้อแน่ๆ "

         ผัวเมียคู่นั้นฟังแล้วไม่พอใจกล่าวว่า " เราสองคนถักรองเท้าหญ้าเป็นทอผ้าป่านได้ การกินอยู่ก็ประหยัด ฉะนั้นอีกไม่นานเราก็รวย "

         เพื่อนบ้านกล่าวว่า " รองเท้าหญ้าทำขึ้นเพื่อสวมเท้า แต่เมืองเยียะนั้นเป็นเมืองที่มีน้ำอยู่ทั่วไป ด้วยเหตุนี้คนเมืองเยียะจึงเดินตีนเปล่าไม่ใส่รองเท้า ส่วนผ้าป่านก็ใช้สำหรับเย็บหมวก แต่เมื่องเยียะมีฝนตกชุก คนเมืองเยียะแต่ไหนแต่ไรมาไม่มีใครสวมหมวก "

         ผัวเมียสองคนฟังแล้วนิ่งอึ้งถามว่า " เป็นจริงอย่างนั้นหรือ ? "

         เพื่อนบ้านหัวเราะพูดว่า " ทำไมจะไม่จริง ถึงแม้ท่านทั้งสองจะมีฝีมือจริงแต่เมื่อไปในเมืองทีไม่สามารถใช้ฝีมือแล้ว ก็จะต้องอดอยากยากจนไม่มีอะไรจะยาไส้ "

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ " 

Friday, April 11, 2014

เชือกเส้นเดียว... มิอาจแก้ไขได้


เชือกเส้นเดียว... มิอาจแก้ไขได้

         หากใครเคยเห็นกองฟางที่ชาวนาญี่ปุ่นมัดเป็นกองๆ ตามท้องนา ถ้าเป็นคนที่ช่างสังเกตหน่อยจะเห็นได้ว่า กองฟางที่ใหญ่โตเหล่านั้นถูกมัดด้วยเชือกฟางหลายเส้น ทำไมต้องใช้เชือกฟางหลายเส้น คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว

         ก็เพราะกองฟางมันใหญ่เกินกว่าทีจะใช้เชือกเส้นเดียวมามัดมันได้ทั้งหมด !

         คนญี่ปุ่นนั้นเขาเปรียบเทียบกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคนเราซึ่งบางครั้งมันใหญ่หรือมีจำนวนปัญหามากเกินกว่าที่จะแก้ปัญหานั้นได้ด้วยวิธีธรรมดา เขาได้แฝงไว้กับการแก้ปัญหาที่ต้องใช้สติปัญญาหรือความช่วยเหลือจากคนอื่น ทำนองเดียวกับการใช้การระดมสมองและสติปัญญา
ของหลายๆ คนหรือใช้วิธีการที่พลิกแพลง เปรียบเทียบเชือกหลายเส้นที่รวมกันเพื่อความแข็งแรงแน่นหนามากยิ่งขึ้น

นิทานเรื่องชอบรับประทานอาหารเหลือ


นิทานเรื่องชอบรับประทานอาหารเหลือ

         นิทานเรื่อง ชอบรับประทานอาหารเหลือ เล่าว่า มีครอบครัวฐานะปานกลางครอบครัวหนึ่ง มีพ่อแม่และบุตรธิดาสามคน สามีทำงาน บุตรธิดาเรียนหนังสือ เวลาสามีกลับบ้าน มักจะพูดกับภรรยาว่า " คุณโชคดีจริงๆ ทั้งวันอยู่บ้านไม่ต้องทำอะไร ผมอยู่ข้างนอกทำงานหาเลี้ยงครอบครัว มีเรื่องหนักใจทุกวัน " ภรรยาอดกลั้น นิ่งเงียบไม่โต้ตอบคำพูดของสามีที่พูดเช่นนี้เสมอ เพราะนี่คือคุณสมบัติที่ดีของแม่ศรีเรือน บุตรธิดาเรียนหนังสือในโรงเรียน พอกลับเข้าบ้านก็บ่น ร้องหาจะกินข้าว จะพักผ่อน อ้างว่าตนเองอยู่โรงเรียนเรียนหนังสือเหน็ดเหนื่อย หนักหนาสาหัส บางทีก็โทษแม่ว่า แม่อยู่แต่บ้านไม่ได้ทำอะไรไม่รู้ดอกว่าอยู่โรงเรียนลำบากแค่ไหน

         วันหนึ่งเป็นวันหยุด ภรรยาจึงกล่าวกับสามีและลูกๆ ว่าจะกลับบ้านไปเยี่ยมแม่ ขอลาหยุดหนึ่งวัน งานบ้านรบกวนให้ทุกคนช่วยทำแทน เนื่องจากสามีเป็นนักบริหารวิทยาศาสตร์ จึงจัดการออกคำสั่งตัวเองรับผิดชอบเรื่อปรุงอาหารสามมื้อ ลูกสาวอายุ ๑๗ รับผิดชอบเด็ดผัก ล้างผัก เตรียมตะเกียบจานชาม ลูกชายคนรองรับผิดชอบรดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า เก็บเศษไม้ ใบหญ้า ลูกสาวคนเล็กอายุ ๑๓ เนื่องจากยังเล็ก จึงรับผิดชอบปัดกวาดเช็ดถู ดูแลความสะอาด

ความหมายของชีวิต


ความหมายของชีวิต

         ครั้งหนึ่ง ฌานาจารย์อิ่นฟงไปเยี่ยมฌานาจารย์หนันเฉฺวียนประจวบเหมาะพบลูกศิษย์ท่านกำลังศึกษาธรรมแบบฌานอยู่ ฌานาจารย์หนันเฉฺวียนชี้ไปที่แจกันใส่น้ำใบหนึ่งถามว่า " แจกันสัมฤทธิ์คือวิสัย ในแจกันมีน้ำ ผู้ใดเอาน้ำออกมาได้โดยไม่กระทบวิสัย ?"

         ขณะที่ลุกศิษย์ลูกหาท่านต่างมองหน้ากันและกันด้วยความจนปัญญา ฌานาจารย์อิ่นฟงก็หยิบแจกันมาเทน้ำใส่มือโดยไม่พูดไม่จา

         ทุกคนต่างตกตะลึง มองฌานาจารย์อิ่นฟง ด้วยแววตางุนงงฌานาจารย์อิ่นฟง จึงพูดว่า " แจกันคือวิสัย น้ำก็คือวิสัย แจกันใส่น้ำคือวิสัยสองวิสัย เอาน้ำออกมาก็คือกระทบวิสัย ท่านทั้งหลายอย่าได้ยอมให้คำพูดต่างๆ สะกดความคิดไว้ก่อน "

         ผู้ใดเอาน้ำออกมาได้โดยไม่กระทบวิสัย ? นี่คือคำที่สะกดความคิดคนทั้งหลายไว้ก่อน คนทั่วไปมักให้ความสำคัญกับถ้อยคำหรือทฤษฎีที่สมมติขึ้น ทว่าบางครั้งทฤษฎีก็ทำให้เราหกหัวหดหาง ขังตัวเองไว้ในกรอบไม่กล้าแสวงหาแนวทางและวิธีการใหม่ๆ ตามสภาพที่เป็นจริง

Thursday, April 10, 2014

จับจุดสำคัญ ตึงหย่อนตามสบาย




ชีวิตคนที่แท้จริงเป็นดังหุ่น
ถ้ายึดกุมเชือกอยู่ในมือ
ไม่สับสนวุ่นวาย
ก็เชิดได้อย่างเสรี
เต้นหรือหยุดอยู่กับเรา
ไม่ถูกชักใยโดยคนอื่น
จึงหลุดพ้นไปจากเวทีนั้น

นิทัศน์อุทาหรณ์

ไปดูเขาเชิดหุ่นกันเถิด !

         ที่ลานกว้างหน้าวัด มีไม้กระดาน ผ้าใบ ตั้งเป็นเวทีขึ้นมาแล้วตอนนี้มีเสียงฆ้องกลองส่งเสียงดังสนั่น ละครหุ่นกำลังจะเริ่มแสดงแล้ว

         ไป๋ซู่เจิน ดื่มเหล้าเหลืองในตอนเที่ยงวัน แล้วลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ชั่วอึดใจเดียว กลายเป็นงูขาวใหญ่ตัวหนึ่ง ทำเอา่สี่เซียนผู้สามีเข่าอ่อน สั่นสะท้านไปทั่งตัวด้วยความกลัว

         ไป่เฮ่อกับกุ้ยฮวาเด็กหญิงสองคนพี่น้องนั่งเบียดกันอยู่ม้าตัวหนึ่ง เหมือนถูกตะปูตอกตรึง
อยู่บนนั้น นัยน์ตาจ้องดูไป๋ซู่เจินที่อยู่บนเวทีอย่างไม่กะพริบ ดูเข็มขัดปักดิ้นทองของหล่อน ดูผิวเนื้อที่สะอาดของหล่อนดูชายเสื้อที่ปลิวไปตามลมเหมือนกำลังบินของหล่อนสองคนพี่น้องชอบไป๋ซู่เจินเหลอเกิน