Saturday, November 09, 2013

ผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ย่อมรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า




ป่วยจึงรู้ความแข็งแรงว่าวิเศษ
วุ่นวายจึงรู้ความสงบเป็นความสุข
นี้เพราะขาดการเล็งเห็นก่อน
ได้ดีเพราะโชคช่วย แต่รู้ว่าคือรากเหง้าแห่งความวิบัติ
รักชีวิตกลัวตาย แต่รู้สาเหตุแห่งความตาย
นี้จึงเป็นความเฉียบแหลม


นิทัศน์อุทาหรณ์



วาจาของก่วนจง

         ก่อนที่ก่วนจงอัครมหาเสนาบดีแห่งแคว้นฉีถึงจะถึงแก่กรรม ได้ฝากวาจาไว้แก่ฉีหวนกงเจ้านายของตนว่า ขอให้ตีตัวออกห่างจากคน ๔ คนคือ อี้เหยา ซู่เตียว ฉางจืออู และกงจื่อฉี่ฟาง เพื่อหลีกเลี่ยงภันพิบัติที่จะเกิดแก่หวนฉีกงในภายหน้า

          แต่ฉีหวนกงไม่เชื่อว่า คนทั้ง ๔ จะทรยศทำร้ายตนได้ แย้งวาจาของก่วนจ้ง

          " ท่านก่วนจ้ง อี้เหยาเคยฆ่าลูกชายของเขาเอาเหนื้อมาทำอาหารให้เรากินในตอนที่เราอยากจะกินเนื้อ ซู่เตียวถึงกับยอมเจ็บตัวเพื่อรับใช้เรา ฉางจืออูก็ช่วยขับไล่พวกภูติผีปีศาจรักษาโรคให้กับเรา จะไม่ไว้วางใจเขาได้อย่างไร ? ส่วนกงจื่อฉีฟางก็ติดตามเรามานานถึง ๑๕ ปี แม้บิดาถึงแก่กรรมก็ยังไม่กล้ากลับไปทำศพ คนเหล่านี้ เราเห็นว่าไม่มีอะไรที่น่าสงสัยว่าจะไม่ซื่อเลย "


          " ท่านอ๋อง " ก่วนจงเน้นอีก " ท่านผิดแล้ว ! ใครบ้างไม่รักลูกในใส้ของตัวเอง อี้หยาฆ่าได้แม้กระทั่งลูกรักของตน นับประสาอะไรกับท่าน ? มนุษย์ทุกรูปนามล้วนแต่ทะนุถนอมร่างของตน ซู่เตียวยอมแม้แต่การแยกร่างของตนออก ฉะนี้แล้ว นับประสาอะไรกับท่าน ? ส่วนที่ว่ามีโรคภัยไข้เจ็บเพราะภูติผีปีศาจเบียดเบียนเอานั้น ท่านควรจะดูแลรักษาร่างกายให้ดี อย่าเชื่อฉางจืออูจนเกินไปนัก มิฉะนั้นแล้วเขาจะอาศัยอำนาจอิทธิพลสร้างข่าวลือขึ้นหลอกลวงคนทั้งหลาย ให้เกิดความงมงายกันทั่วไป ยังมีอีก ใครบ้างไม่รักบิดาตน ? กงจื่อฉี่ฟางเพียงแต่หวั่นเกรงในเดชานุภาพของท่าน แม้บิดาจะถึงแก่กรรมก็ใจแข็งไม่ยอมกลับไปเซ่นไหว้ตามธรรมเนียม นับประสาอะไรกับท่าน ? "

           " ใช่ วาจาท่านมีเหตุผลดี " หลังจากก่วนจ้งถึงแก่กรรมแล้ว ฉีหวนกงก็เนรเทศทั้ง ๔ ออกนอกแคว้นไป

          แต่ผลของมันกลับกลายเป็นว่า

          ฉีหวนกงเสวยอาหารไม่ถูกปาก เพราะขาดอี้หยาซึ่งเป็นพ่อครัวคอยดูแลใกล้ชิด

          ในวังเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง เพราะขาดซู่เตียวหัวหน้าขันทีคอยควบคุม โรคภัยไข้เจ็บก็รุมเร้า เพราะขาดฉางจืออูคอยให้การรักษาพยาบาล

           กิจการบ้านเมืองก็วุ่นวาย เพราะขาดกงจื่อฟางคอยบริการ

           ฉีหวนกงทนต่อสภาพเช่นนี้ไม่ได้ เห็นว่าคำเตือนของก่วนจ้งสร้างความลำบากยุ่งยากให้แก่ตน จึงตามตัวคนทั้ง ๔ กลับมา

           ในปีรุ่งขึ้น ฉีหวนกงก็ล้มป่วยลง ฉางจืออูรีบอกไปป่าวประกาศนอกวังว่า " ฉีหวนกงใกล้สิ้นชีพแล้ว " ร่วมมือกับอี้เหยาและซู่เตียวก่อกบฏ ส่วนกงจื่อฉี่ฟางยึดพื้นที่ส่วนหนึ่ง นำไปสวามิภักดิ์มอบให้กับแคว้นอุ้ย

           เมื่อฉีหวนกงทราบข่าว ก็ถอนหายใจว่า " ท่านก่วนจ้งเล็งเห็นการณ์ไกลนัก เมื่อเราตายแล้วจะมีหน้าไปพบเขาในปรโลกได้อย่างไร ? "

           ฉีหวนกงสิ้นชีวิตแล้ว ซากศพนอนอยู่เดียวดายในวัง อำนาจวาสนาในอดีตช่วยอะไรไม่ได้ ไม่มีใครไปเหลียวแลแม้สักคน ยิ่งกว่าคนสิ้นไร้ไม้ตอกเสียอีก คนที่ฉีหวนกงไว้วางใจเป็นที่สุด กำลังวุ่นอยู่กับการแย่งอำนาจซึ่งกันและกันอยู่อุตลุด !

           ด้วยเหตุนี้เอง คนเราเมื่อเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นแล้วจึงจะรู้คุณค่าของสุขภาพ เมื่ออยู่ในกลียุค จึงจะรู้คุณค่าของความสงบเรียบร้อยนี้ล้วนมิใช่เป็นการเล็งเห็นก่อนทั้งสิ้น

           ถ้าสามารถจะรู้ก่อนล่วงหน้าว่า ความสุขที่บังเอิญได้มาเพราะโชคช่วยนั้น เป็นรากเหง้าแห่งภัยพิบัติ หรือการรักตัวกลัวตาย เป็นต้นเหตุแห่งการมรณะก่อนเวลาอันควร ซึ่งเป็นความเข้าใจในลางบอกเหตุล่วงหน้าที่คนอื่นไม่สามารถจะมองเห็นได้ จึงจะเป็นความปรีชาสามารถอย่างแท้จริง





 By หงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง ( สายธารแห่งปัญญา )

No comments:

Post a Comment