Saturday, September 07, 2013

สัตว์ร้ายปราบง่าย ใจคนสยบยาก




เห็นความพินาศของซีจิ้น ยังโอ้อวดอาวุธคม
จะหลงลุ่มอยู่รอมร่อ ยังเป็นห่วงทองคำ
วจีที่ว่า
ล่ำสัตว์เชื่องง่าย ใจคนสยบยาก
แม่น้ำลำคลองถมง่าย ใจคนเต็มยาก
น่าเชื่อยิ่งนัก มิผิดเลย

นิทัศน์อุทาหรณ์
วาระสุดท้ายของฮ่องเต้

         ท่านคงจะเคยฟังเรื่องราวของกษัตริย์โฉดเขลาเบาปัญญาแบบนี้มาก่อนเป็นแน่ พระเจ้าฮุ่ยตี้แห่งราชวงศ์จิ้นเมื่อทรงทราบว่าราษฎรอดอยากไม่มีข้าวจะกินก็ตกใจ ถามขุนนางที่เฝ้าแหนอยู่ทั้งซ้ายขวาว่า " ไม่มีข้าวกินทำไมไม่กินเนื้อล่ะ ? "

         พระเจ้าอู่ตี้ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ก่อนหน้านั้น ยิ่งเหลวไหลไร้สาระไปกว่านั้น มีสาวๆ อยู่ในวังถึงหมื่นกว่าคน แต่ละวันก็ทรงเป็นทุกข์อยู่แต่ว่า คืนนี้จะไปนอนกับนางสนมคนไหนดี ? อัครมหาเสนาบดีของพระองค์ก็เหลวไหลพอๆ กัน อาหารที่กินในจวนของอัครมหาเสนาบดีแต่ละวัน พอที่จะให้ราษฎรหนึ่งพันคนกินเป็นเวลาถึงเดือนหนึ่งเต็มๆ !


         ซ่อจิ้งขุนพลเอกในขณะนั้น เข้าใจว่าคงจะเป็นคนที่หูตาแจ่มใสที่สุดแห่งราชวงศ์จิ้น เขาเห็นว่าแผ่นดินนี้คงจะลุกเป็นไฟในไม่ช้า จึงชี้อูฐทองเหลืองที่อตั้งอยู่หน้าพระราชวังเลาะหยาง ถอนหายใจยาวด้วยความปวดร้าวว่า

          " ความรุ่งเรืองของราชสำนักจิ้น คงจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว เสียดายอูฐทองเหลืองเจ้า ไม่นานคงจถูกทอดทิ้งอยู่ในกอหญ้า ปล่อยให้คนเหยียบย่ำอย่างไร้ความปราณีเป็นแน่แท้ "

           พวกขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ในราชสำนัก ยังคงไม่สำนึก เมื่อออกขุนนางในท้องพระโรง ก็ไม่ปรึกษาหารือเรื่องกิจบ้านการเมือง แต่กลับวุ่นวายอยูกับการดื่มสุราหาความสำราญ พวกเขาชูจอกเหล้าพูดอย่างเหิมเกริมว่า

          " อาศัยกองทัพและอาวุธ ๑๘ อย่างของราชวงศ์จิ้น จะมีใครกล้ามาแตะต้องราชวงศ์จิ้นแม้สักขนสักเส้นหนึ่ง ? "

           พวกเขาคาดคะเนผิดไปอย่างฉกรรจ์ ชนชาติต่างแดนบุกเข้ามาจนถึงนครหลวงเลาะหยาง ไหวตี้พระอนุชาซึ่งสืบราชสมบัติจากพระเจ้าฮุ่ยตี้จำต้องนำขุนพลหลายคนกับครอบครัวหนีออกจากประตูวังในตอนนั้นอูฐทองเหลืองที่ตั้งอยู่หน้าวังได้ถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าสูงท่วมหัวแล้ว ชาวบ้านที่กำลังเดือดร้อนลำเค็ญเห็นพระเจ้าแผ่นดินออกมา ก็คว้าก้อนหินขว้างฮ่องเต้ด้วยความเคียดแค้นชิงชัง

          พระเจ้าไหวตี้ตะโกนบอกว่า " ข้าคือฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ ! ข้าคือ ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ ! " แต่ว่า ก้อนหินยังคงขว้างใส่พระองค์ไม่ขาดสายพระเจ้าไหวตี้จึงได้แต่ถอยกลับเข้าไปในวัง ถูกหัวหน้าของเผ่าชนซงหนูจับไปเป็นเชลย

          หัวหน้าเผ่าชนซงหนูบังคับให้พระองค์สวมเสื้อผ้าราษฎร ให้พระองค์เป็นขี้ข้าคอยรินเหล้าให้ดื่ม พระองค์มิได้คิดว่ามันเป็นเรื่องอัปยศอดสู ในใจคิดแต่เพียงว่าพระองค์ยังเป็นฮ่องเต้อยู่ คิดถึงนางสนมกำนัล คิดถึงแต่พระราชสมบัติในท้องพระคลัง ในที่สุดหัวหน้าซงหนูก็สั่งปลงพระชนม์พระเจ้าไหวตี้เสีย แล้วนำศพไปทิ้งไว้ในป่าภูเขาเป่ยหมางซาน ให้เป็นอาหารของพวกสุนัขป่าไป

           กิเลสตัณหาได้บดบังเอาใจคนไปเสียสิ้น ความตายย่างกรายเข้ามาแล้วยังคงไม่รู้สำนึก นับว่าน่าเศร้านัก คำโบราณกล่าวไว้ดีมากว่า

         " เสือสิงห์แม้ว่าดุร้าย สามารถกำราบได้ แต่การกำราบใจคนนั้นยากแสนยาก หุบเขาแม้จะลึก ก็ยังมีวันจะถมให้เต็มได้ แต่ใจคนเป็นเหมือนหนึ่งบ่อไร้ก้นบึ้ง ไม่มีวันจะถมให้เต็ม "

          คำตักเตือนอันลึกล้ำจริงใจเช่นนี้ น่าจะจดจำไว้นัก




 By หงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง ( สายธารแห่งปัญญา )

No comments:

Post a Comment