Friday, May 13, 2016

อย่าตกเป็นทาสความรู้

อย่าตกเป็นทาสความรู้

         คำว่า "อย่าตกเป็นทาสความรู้ !" ปรากฎอยู่ในหนังสือ ฟื้นโฉมหน้าเดิมแท้ของชาวญี่ปุ่น ซึ่งเขียนโดยคุณอิเคมิตสุ ซูเคสึ ผู้ก่อตั้งบริษัทน้ำมันปริโตเลียมอิเคมิตสุ คุณอิเคมิตสุจบวิทยาลัยพาณิชยการโกเบเมื่อปี ค.ศ.๑๙๐๙ วิทยาลัยพาณิชยการโกเบในสมัยนั้น ก็คือต้นกำเนิดมหาวิทยาลัยโกเบในปัจจุบัน

         ท่านกล่าวว่า "วิทยาลัยแห่งนี้เด่นดังมาก นักเรียนที่จบจากที่นี่เกือบทุกคนเข้าทำงานในบริษัทชั้นหนึ่ง แต่ผมเป็นคนแปลก ยอมสมัครเป็นพนักงานตำแหน่งเล็กๆ ในร้านค้าแห่งหนึ่ง มีพนักงานแค่ ๓ คน คาดผ้ากันเปื้อนที่เอวทำงานในร้าน ซึ่งสำหรับยุคนั้นแล้ว เป็นเรืองประหลาดมาก ถ้าไม่ละทิ้งความคิดจบมหาวิทยาลัยชั้นสูง ก็คงทำไม่ได้ และคงไม่มีผมในทุกวันนี้ ผมละทิ้งประกาศณียบัตร และทิ้งการพึ่งพาความรู้ ก้าวสู่เส้นทางชีวิตที่ขรุขระเป็นครั้งแรกตั้งแต่นั้น

         "ผมเห็นว่า ควรใช้ความรู้อย่างยืดหยุ่นพลิกแพลง จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ความรู้โดยตัวมันเองไม่มีอะไร ถ้าต้องการฝึกความสามารถในการใช้ความรู้อย่างยืดหยุ่นพลิกแพลง จะต้องเป็นคนกอปรด้วยพลังแห่งการปฏิบัติ อีกทั้งต้องทำงานเล็กได้ จึงจะสามารถประกอบกิจการใหญ่โตถ้าเข้าบริษัทใหญ่ อยู่ในตำแหน่งค่อนข้างสูงแต่แรก ก็จะไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของลูกน้อง ไม่สามารถใช้คนอย่างยืดหยุ่นพลิกแพลง ตัวเองต้องเริ่มทำงานตั้งแต่จุดต่ำสุด จึงจะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของลูกน้อง ผมสมัครเป็นพนักงานเล็กๆ ด้วยความรู้สึกที่ต้องการไต่เต้าไปทีละขั้นๆ แบบนี้แหละ"

         ชาวจีนมีสำนวนบทหนึ่งว่า "เรียนจากต่ำบรรลุสูง" หมายความว่า เรียนรู้จากจุดต่ำสุด จึงจะสามารถบรรลุจุดสูงสุด

         ขณะที่ผมพบสำนวนบทนี้ ผมก็เกิดความรู้สึกว่า เรากำลังผลักดันส่งเสริมพฤติกรรม "เรียนจากสูงบรรลุต่ำ" ในยุคเมจินั้น มีคนจบวิทยาลัยน้อยมาก แตกต่างกับยุคนี้ คนจบวิทยาลัยพาณิชยการโกเบในยุคนั้น แต่ยอมเป็นพนักงานในร้านค้าเล็กๆ ด้วยจิตใจอะไรนั้น จึงเป็นเรืองเข้าใจยากโดยแท้

          คุณอิเคมิตสุเห็นว่า "ทุกวันนี้ ชีวิตค่อนข้างหลากหลาย พึ่งพาความรู้กันมากไป กระทั่งลืมความเป็นมนุษย์"

          หนังสือเล่มนี้พิมพ์วางจำหน่ายตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๗๑ กว่า ๒๐ ปีแล้วจะอ่านอย่างไร ก็ยังรู้สึกได้ถึงความทันสมัย เพราะสังคมของเรานับวันจะจใปลักความรู้มากขึ้น

          คุณอิเคมิตสุชอบ "เจียระไนหินเป็นหยกด้วยความยากลำบาก" มากที่สุด ท่านกล่าวอีกว่า " ต้องพยายามเดินเส้นทางยากลำบากเท่าที่จะเป็นไปได้ "ต้องเป็นคนที่เคยผ่าน...มาแล้ว" ท่านกล่าวว่า "เพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่างนั้น มีหนทางอยู่ ๒ สาย สายหนึงเป็นทางที่เดินสบายอย่างยิ่ง อีกสายหนึ่งเป็นทางที่เดินลำบากอย่างยิ่ง ไม่ว่าเดินทางที่ลำบากหรือทางที่สบาย ล้วนบรรลุเป้าหมายได้ แต่ถ้าถามผมว่าต้องการเดินทางไหน ผมจะเลือกทางที่ลำบาก พูดในแง่ความรู้ทั่วไป นี่เป็นเรื่องโง่มาก อันที่จริง มีแต่เดินทางที่ลำบากเท่านั้น จึงจะสามารถบ่มเพาะพลังแห่งการปฏิบัติขึ้นมา

          "รักชั่วหามเสา" ภาษิตสอนเรามาอย่างนี้ คนยอมหามเสา มีอยู่ไม่มาก สุดท้ายจึงกลายเป็น "เรียนจากสูงบรรลุต่ำ" นี่มิใช่ความจริงที่เสียดสีความคิดของมนุษย์อย่างยิ่งดอกหรือ !?







by อิบูคิ ทาคาชิ, โทขุระ โทราโอะ ( คนฉลาดแสร้งโง่ )

GIVE AND TAKE (การให้และการรับ)

GIVE AND TAKE (การให้และการรับ)

GIVE AND TAKE

Winners try to return any favours they are given,
Hence other people are happy to give to them again,

Losers like to get something for nothing,
They live with a 'take-only' policy,
Other people learn not to give to them again

Liberators when offered something of value,
Immediately offer something of value back,
The cycle of giving and receiving is rewarding for all

การให้และการรับ

ผู้ประสบความสำเร็จนิยมการสนองคุณคน
ผู้คนจึงยินดีที่จะทำดีต่อเขาอีก

ผู้ล้มเหลวมักยึดนโยบาย "เอาลูกเดียว"
ผู้คนค่อยๆ เรียนรู้ที่จะหลีกหนีให้ห่างไกลเขา

ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นเมื่อได้รับคุณค่าใด
ก็จะให้บางคุณค่าที่ตนมีให้ทันที
วงจรการให้และการรับ จึงทำให้จักรแห่งความเจริญหมุน






By ไชย ณ พล

คนกับปลาและห่านป่า

คนกับปลาและห่านป่า

         ในรัฐฉีมีผู้ดีคนหนึ่งแซ่เถียน เขาชอบจัดเลี้ยงแขกจำนวนมากที่คฤหาสน์ของเขาอย่างเอิกเกริกเป็นประจำ

         วันหนึ่ง เขาจัดเลี้ยงใหญ่โตขึ้นที่ห้องโถงอันโอ่อ่าในคฤหาสน์ของเขา แขกที่มาบางคนนำปลาติดมือมากำนัล บางคนก็เอาห่านป่ามาเป็นของขวัญ เจ้าภาพเห็นแล้วพอใจมาก กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า "ฟ้าช่างโปรดปรานพวกเราเหลือเกิน ! พวกท่านลองคิดดูซิ ปลา ห่านป่า เหล่านี้ล้วนเกิดมาเพื่อให้พวกเราได้กินอย่างอร่อยทั้งนั้นมิใช่หรือ ?" พวกแขกที่มาในงานเลี้ยงต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

         ในที่นั้นยังมีเด็กของบ้านแซ่เปาอายุเพียงสิบสองขวบได้ฟังแล้วก็พูดขึ้นว่า "ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่าน คนที่เป็นสิ่งหนึ่งในจำนวนนับแสนนับล้านสิ่งของบนโลกนี้ แต่เนื่องจากความใหญ่เล็กและสติปัญญาที่ต่างกันในหมู่สัตว์จึงมีสภาพที่สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก หาใช่ฟ้าดินกำหนดมาให้จำพวกหนึ่งกินอีกจำพวกหนึ่งไม่ มนุษย์รู้จักเลือกสรรสิ่งที่ตนสามารถกินเป็นอาหารได้มากินนั้น เป็นเพราะฟ้าดินสร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์กินกระนั้นหรือ ? ถ้าเช่นนั้นยุงกินเลือดคน เสือและหมาป่ากินเนื้อมนุษย์ ก็เป็นเพราะฟ้าดินสร้างคนขึ้นมาสำหรับให้มันกินใช่ไหม ?"


บันทึกใน "เลี่ยจื่อ"


มุมมองปรัชญา

         คนจำพวกหนึ่งมักจะพูดอยู่เสมอ คล้ายกับว่ามีอำนาจอิทธิฤทธิ์อะไรอยู่อย่างหนึ่งที่สร้างโลกหรือกำหนดทุกทสิ่งทุกอย่างในโลก คล้ายกับว่า สร้างแมวขึ้นมาเพื่อจับหนู สร้างหนูขึ้นมาเพื่อให้แมวกิน ความเป็นไปของคนเราขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้คนเรางอมืองอเท้าหมดอาลัยตายอยาก ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม สุดแท้แต่ใครจะเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ

          แท้ที่จริงแล้ว ความเป็นไปของโลกและคนเรา หาได้เกิดจากอำนาจอิทธิฤทธิ์อย่างใดไม่ มันเกิดจากกฎของธรรมชาติและของสังคมมนุษย์ ที่คนเรามองไม่ออกหรือถูกปิดบังโดยเจตนาร้ายซึ่งถ้าคนเราไปทำความเข้าใจกับมัน รู้จักมันให้ถ่องแท้แล้ว ก็จะไม่ตกเป็นข้าทาสหรือเชลยของมัน และจะไม่ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของผู้ซึ่งประสงค์ที่จะมอมเมาคนส่วนใหญ่เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายอันชั่วร้ายบางประการของพวกเขาได้อย่างเด็ดขาด





Thursday, May 12, 2016

เยี่ยมคนป่วย


เยี่ยมคนป่วย

           ในโลกนี้อะไรทุกข์ที่สุด ตอบว่า การเจ็บป่วยทุกข์ที่สุด เวลาเจ็บป่วย แม้ว่าจะอยู่มรคฤหัสน์บ้านหลังใหญ่ก็ไม่มีความสุข เงินทองต่อให้มีมากเพียงใดก็มีวันใช้หมด มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองก็ไม่สามารถทดแทนความทุกข์ของเราได้ อาหารเลิศหรูราคาแพงแต่ไม่อยากกินเลยสักนิด ดังคำที่ว่า กลัวอะไรไม่เท่ากลัวโรคภัยเบียดเบียน ช่างพูดไม่ผิดเลยสักนิดเดียว



           ยามที่คนเราเจ็บป่วย ถ้าเป็นคนมีชื่อเสียงหน่อย คนมาเยี่ยมไข้มีไม่ขาดสาย ต้องลำบากตากตรำกับการต้อนรับแขก กลับทำให้ป่วยหนักกว่าเก่า ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเวลาเจ็บป่วยบางครั้งลูกเต้าก็ยังหลบเลี่ยง ดังคำที่ว่า " ยามเจ็บไข้ไร้ลูกดูแล " ลูกหลานยังไม่อยากเหลียวแล นับประสาอะไรกับญาติมิตร ความเหงาความหดหู่ยามเจ็บป่วยจึงยากที่จะขับไล่ให้หายไป



           พุทธศาสนาสอนให้คนรู้จักไปเยี่ยมไข้ ในบุญกุศลทั้งแปดนั้น การเยี่ยมไข้เป็นบุญอันดับหนึ่ง โดยทั่วไป ห้องผู้ป่วยเด็กมักมีแม่เข้าออก แต่ในห้องผู้ป่วยคนชรามักจะเงียบเหงาวังเวง พระพุทธองค์ทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ด้วยการเช็ดตัว เอายาใส่แผล ซักสบงจีวรให้พระภิกษุที่อาพาธด้วยพระองค์เอง



          เดี๋ยวนี้แม้ว่าจะมีการไปเยี่ยมไข้ แต่ก็มีวิธีการเยี่ยมที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก เช่น ชวนผู้ป่วยสนทนาเป็นเวลานานๆ จนผู้ป่วยไม่ได้พักผ่อน หรือสอบถามอาการผู้ป่วยละเอียดถี่ยิบ หรือไปเยี่ยมในเวลาที่ไม่เหมาะสม หรือผู้ป่วยที่เพิ่งผ่านการผ่าตัด ด้วยความหวังดีของคนมาเยี่ยม จึงเล่าเรื่องตลกขบขันให้ผู้ป่วยฟัง หวังว่าจะช่วยผ่อนคลายความทุกข์ แต่คนไข้หัวเราะหนัก แผลผ่าตัดฉีกขาดเพราะได้รับการกระทบกระเทือน อาการจึงหนักเข้าไปอีก ผู้เยี่ยมไข้บางคน ท่าทางขึงขังจริงจัง บางคนพูดจาไม่ถูกกาละเทศะ ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจผู้ป่วย กลับทำให้เป็นทุกข์ วิตกกังวลกับการเจ็บไข้ของตนเองหนักเข้าไปอีก บางคนชักชวนคนไข้ไม่ให้เชื่อหมอ แต่คนไข้เชื่อสูตรยาลับเฉพาะของตนเอง ตั้งตนเป็นหมอเถื่อน ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ



          การเยี่ยมไข้ที่ถูกควรมีท่าทีอ่อนโยน ใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่เที่ยวให้สูตรยาลับเฉพาะ อย่าตั้งคำถามไล่ต้อนคนไข้ว่ามีคนมาเยี่ยมบ้างหรือไม่ เพราะทุกคนถามคำถามเดียว แต่คนป่วยต้องคอยตอบไม่รู้กี่ครั้ง



          ส่วนวิธีการที่จะช่วยผู้ป่วยได้ผ่อนคลายจากความเหงานั้น เราอาจมอบหนังสือเบาสมองสักเล่มให้อ่านก็อาจช่วยให้ผู้ป่วยคลายเหงาได้ ที่ดีที่สุดคืออย่ามอบของที่ไม่เหมาะสม เช่น มอบของหวานให้ผู้ป่วยเบาหวาน หรือมอบดอกไม้ให้ผู้ป่วยภูมิแพ้ หรือมอบนมสดให้ผู้ป่วยโรคกระเพาะ เป็นต้น เพราะแต่ละโรคแสลงอาหารต่างกัน การจะมอบสิ่งของจึงต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน



          มีประธานท่านหนึ่งล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล ทุกครั้งที่พนักงานบริษัทไปเยี่ยมไข้ เพราะอยากเอาใจท่าน จึงพยายามรายงานถึงความคืบหน้าของผลประกอบการ ได้ผลกำไรเท่าไรเป็นต้น จนท่านประธานต้องพูดด้วยความเบื่อหน่ายว่า " ตอนนี้ผมไม่สนใจว่ามีออร์เดอร์เท่าไหร่ มีบัญชีเข้าเท่าใด ตอนนี้ผมขออย่างเดียวขอให้ผมฉี่ออก "



           ทางพระท่านสอนว่า " ในบุญกิริยาทั้งแปดนั้น การเยี่ยมไข้เป็นอันดับหนึ่ง " หวังว่าทุกคนจะยินดีในการไปเยี่ยมไข้ ให้ผู้ป่วยได้รับความปีติจากพุทธรรมบ้าง ได้รับการเอาใจใส่จากญาติสนิทมิตรสหาย ให้ร่างกายได้รับการผ่อนคลาย






เซนส่องทาง

Wednesday, May 11, 2016

ยกเลิกลัทธิหักคะแนน ยังคงเป็นที่ ๑ ของโลก

        พูดไปแล้วแปลก คนเราให้ความสำคัญกับตัวเลขมาก ถ้ามีวิธีตีค่าโดยยึดหลักว่า " ๑๐๐ คะแนน " คือ " คะแนนเต็ม " ก็จะเห็นว่า " ต้องได้ ๑๐๐ คะแนน จึงจะดีที่สุด " ผลจึงเกิด " ลัทธิหักคะแนน " ซึ่งเป็นวิธีคิดที่แสนประหลาด กล่าวคือ ถ้าทำไม่ดีจะถูกหักคะแนน

         วิธีหักคะแนนกับวิธีเพิ่มคะแนนตรงข้ามกัน แต่ไม่มีวิธีเพิ่มคะแนนอย่างวิธีให้คะแนนในกีฬายิมนาสติกของโอลิมปิก ก็ใช้วิธีหกคะแนนแบบเต็มรูป ในโลกของกีฬายิมนาสติกนั้น มีวิธีให้คะแนนเพียงอย่างเดียว ไม่มีวิธีอื่น กล่าวคือ ต้องถือความสมบูรณ์ไร้ข้อบกพร่องเป็น ๑๐๐ คะแนน จากนั้นดูว่าเราสามารถทำถึงระดับไหน เห็นได้ชัดว่า การตีค่าและให้คะแนนล้วนแต่เน้นด้านเดียว

          การตัดสินนักกีฬาพราสวรรค์เหล่านั้น อาจจำต้องใช้วิธีหักคะแนนก็ได้ แต่การทำให้วิธีดังกล่าวเป็นความรู้หรือวิธีการทั่วไป หรือนำมาใช้ในลักษณะทั่วไป ก็คือความผิดพลาดสากรรจ์

         ท่ามกลางบรรยากาศดังกล่าว มีนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งปฏิเสธลัทธิ ๑๐๐ คะแนน หันมาใช้ลัทธิ ๗๐ คะแนน เขาก็คือ โยชิดะ ทาดาโอะ กรรมการผู้จัดการของ YKK ( กลุ่มอุตสาหกรรมโยชิดะ )

         "ส่งคนไปควบคุม ก็จะไม่ผิดพลาด ยิ่งเข้มงวด ยิ่งไม่ล้มเหลว แต่ว่าก่อนทำได้ถึงจุดสูงสุด ศักยภาพอาจลดลงถึงระดับ ๕๑ % ในทางตรงกันข้ามท่าทีการทำงานที่ไม่เข้มงวดมากนัก บางครั้งอาจจะล้มเหลวก็จริง แต่ศักยภาพอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับ ๗๐% แล้วแบบใหนดีกว่า ?"

         "ล้มเหลวไม่เป็นไร ที่สำคัญคือ ต้องทำให้สำเร็จในท้ายที่สุด เพราะ YKK หันมาใช้ลัทธิ ๗๐ คะแนน จึงสามารถไต่ขึ้นสู่อันดับหนึ่งของโลก ทำไม YKK เป็นที่หนึ่งของโลกได้ ? เพราะแตกต่างกันที่จุดนี้นี่เอง "

         คุณมัตสุชิตะเคยพูดว่า " ขอเพียงได้ ๖๐ คะแนน ผมก็จะเลื่อนตำแหน่งให้ " ๖๐ คะแนนไม่ต่างจาก ๗๐ คะแนนเท่าไร เป็นเพียงความต่างในแง่ตัวเลข ส่วนวิธีคิดนั้นเหมือนกัน

          นักธุรกิจที่เชี่ยวชาญการช่วงใช้คน ต้องมีใจคอกว้างขวางเสมอ คนทั่วไปล้วนแต่ " ผ่อนปรนตัวเอง เข้มงวดคนอื่น " แต่กรรมการผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จหรือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงกลับตรงกันข้าม พวกเขาล้วนแต่เข้มงวดตัวเองสูง ผ่อนปรนคนอื่นมาก " หมายความว่า ใช้ "ลัทธิมอบคะแนนแทน "

         ให้คะแนนแบบผ่อนปรนมากเท่าไร คนสอบผ่านจะมากเท่านั้น อาจจะมีบางคนตั้งข้อสงสัยว่า วิธีนี้ใช้ได้ผลจริงหรือ แต่วิธีนี้กลับใช้บ่มเพาะบุคลากรได้ดี ปัจจุบัน มีบริษัทจำนวนมากหันมาใช้วิธีนี้

         พูดไปแล้วประหลาด กรรมการผู้จัดการของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะไม่เห็นใครในสายตา พวกเขาให้คะแนนพนักงานต่ำมาก จึงมักบ่นว่า " ไม่มีบุคลากร " ผลปรากฎว่า ตัวอย่างขาดแคลนบุคลากรกลับเพิ่มขึ้น

         คนที่ไวต่อข้อบกพร่องของคนอื่น จะให้คะแนนต่ำมาก ส่วนคนที่มองเห็นข้อดีของคนอื่น จะให้คะแนนสูงมาก

         พูดไปแล้วประหลาด คนที่รู้สึกว่าตนเองโง่ ทุกครั้งที่ให้คะแนน จะให้คะแนนคนอื่นสูงโดยที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง





by อิบูคิ ทาคาชิ, โทขุระ โทราโอะ ( คนฉลาดแสร้งโง่ )

Friday, February 26, 2016

MOMENT BY MOMENT (วันนี้เพื่อวันไหน)

MOMENT BY MOMENT (วันนี้เพื่อวันไหน)

MOMENT BY MOMENT

Winners will endure a loss to day,
To gain more tomorrow;
They then are more likely to succeed

Losers will focus on every little issue,
Fiercely protecting any small gain;
Preventing the accomplishment of the larger success

Liberators make every moment the best,
They find reward in every moment

วันนี้เพื่อวันไหน

ผู้ประสบความสำเร็จยอมเสียน้อยเพื่อประโยชน์ใหญ่
จึงได้เก็บเกี่ยวผลที่ลงไป

ผู้ล้มเหลวเห็นแก่เล็กแก่น้อยจนเสียประโยชน์ใหญ่
จึงพลาดโอกาสที่จะสำเร็จ

ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นพยายามทำทุกเวลาให้ดีที่สุด
จึงได้ผลเป็นรางวัลทุกขณะที่ทำ





By ไชย ณ พล

การรักกับการทำลาย


การรักกับการทำลาย


          ครั้งหนึ่งกษัตริย์กงหวางแห่งรัฐฉู่ทรงนำทัพสู้รบกับกองทัพรัฐจิ้นที่เอียนหลิงในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังรบติดพันกันอย่างดุเดือดนั้น กษัตริย์กงหวางก็ถูกลูกเกาทัณฑ์ที่พระเนตร จึงรับสั่งให้ถอยทัพกลับเข้าค่าย เมื่อกลับถึงค่าย นายพลซือหม่าจื้อฝ่ายก็ตะโกนว่าคอแห้งต้องการดื่มน้ำหยางกู่ซึ่งเป็นคนรับใช้ที่ติดตามรับใช้นายมานานปีเป็นคนรักนายและรู้ดีว่านายของเขาเป็นคนชอบดื่มเหล้า ด้วยเหตุนี้แทนที่เขาจะนำน้ำมาให้เขากลับยกไหเหล้ามาให้นายของเขาดื่มแก้กระหาย นายพลซือหม่าจื้อฝ่านนั้นเป็นคนคอเหล้า พอดื่มแล้วจะต้องดื่มจนเมาหัวราน้ำทุกที ครั้งนี้ก็เหมือนกันเขาดื่มเข้าไปจนเมาขนาดหนัก

          เมื่อกษัตริย์กงหวางทรงทำบาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็เตรียมจะเสด็จออกศึกอีกจึงตรัสสั่งให้คนไปตามนายพลซือหม่าจื้อฝ่าน ตอนนี้นายพลนอนอยู่บนเตียง เมาจนลุกไม่ขึ้น เขาจึงให้คนมาตามกลับไปกราบทูลว่าเขาเจ็บที่หัวใจออกรบไม่ได้ เมื่อกษัตริย์กงหวางได้ฟังเช่นนั้นก็เสด็จมาดูอาการของเขาด้วยพระองค์เอง พอพระองค์เสด็จมาถึงก็ได้กลิ่นเหล้าคลุ้งไปหมดจึงทรงกริ้วมาก ตรัสว่า

          "การรบวันนี้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส การบัญชาทหารจึงต้องอาศัยเจ้า ใครจะคิดบ้างว่าเจ้ามาเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องการจะให้รัฐของเราพินาศหรือ ? การสู้รบครั้งนี้จะทำต่อไปย่อมไม่ได้แล้ว 

          และแล้ว กษัตริย์กงหวางแห่งรัฐฉู่ก็รับสั่งให้นำตัวนายพลซือหม่าจื้อฝ่านไปประหารชีวิตเสียตามอาญาศึก


บันทึกใน "ไหวหนานจื่อ"

มุมมองปรัชญา

          การที่ซือหม่าจื้อฝ่านทำให้เสียโอกาสในการทำศึกและฝ่าฝืนระเบียบของกองทัพนั้น หยางกู่คนรับใช้ของเขาจะต้องรับผิดชอบเป็นสำคัญ เพราะเขารู้ว่าการรบกำลังติดพันกันและอยู่ในสภาพคับขัน แต่กลับคิดที่จะให้นายตัวเองดื่มเหล้าให้สบายใจ ไม่ได้คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น เจตจำนงทางอัตวิสัยของเขาคือรักนายของตน แต่ผลทางภววิสัยกลับกลายเป็นการทำลายนายของตน จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ผลทางภววิสัยของการได้หรือเสียนัั้น หาได้กำหนดโดยเจตจำนงทางอัตวิสัยของคนเราไม่ ถ้าหากไม่รู้จักกุมเวลา สภาพ และเงื่อนไขที่เป็นรูปธรรมแล้ว สิ่งที่ควรจะเป็นผลดีก็กลายเป็นเกิดผลร้ายได้






Thursday, February 25, 2016

นายท้ายเรือ


นายท้ายเรือ

          เรือลำน้อยที่แล่นอยู่กลางมหาสมุทร ต้องอาศัยนายท้ายเรือกุมทิศทางให้มั่น จึงจะแล่นกลับถึงฝั่งอย่างปลอดภัย เครื่องบินที่บินอยู่บนท้อฟ้า ก็ต้องอาศัยกัปตันบังคับทิศทางให้ดีจึงจะนำเครื่องร่อนลงได้อย่างปลอดภัย นักผจญภัย นักเดินทาง ล้วนต้องอาศัยเข็มทิศนำทางจับทางให้ถูกต้อง จึงจะถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

          โลกมนุษย์เปรียบเสมือนมหาสมุทร รอบตัวมีแต่ความเวิ้งว้าง ซึ่งคุณต้องคัดท้ายเรือให้ดีจึงจะไม่หลงทิศหลงทาง คนบางคนอาศัยวิชาความรู้เป็นหางเสือในการดำเนินชีวิต แต่บางคนอาศัยประสบการณ์เป็นหางเสือนำตนเองไปสู่อนาคต คนบางคนอาศัยบุญพาวาสนาส่งให้ไปสู่เป้าหมายชีวิตที่ถูกต้อง คนบางคนอาศัยความเชื่อมั่นและพลังแฝง นำพาตนเองไปสู่อนาคตตามอุดมการณ์ที่วาดหวังไว้ได้เช่นกัน

           เด็กเล็กที่ชื่นชอบการเรียนรู้เทคนิควิทยาการ สนใจด้านการค้าการลงทุนเขาต้องเป็นนายท้ายเรือของตัวเอง ยึดกุมหางเสือให้แล่นไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ คนที่โลดแล่นอยู่ในคลื่นมนุษย์ ในวงการธุรกิจการค้า ข้าราชการ ถ้าต้องการผลสำเร็จประเภทใดเขาจำเป็นต้องกุมหางเสือด้วยตัวเอง จึงจะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายได้ในที่สุด

          คนบางคนขณะอายุยังน้อยก็ยังรู้จักคิดแล้วว่าจะแล่นไปในมหาสมุทรแห่งความรู้ได้อย่างไร แต่เขาไม่ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา ทั้งนี้เป็นเพราะเขาประเมินความสามารถของตนเองผิดพลาด คนบางคนคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในด้านชีวิตคู่ ได้พบคู่ครองที่สวยถูกใจ แต่จนแล้วจนรอดสูงก็เอื้อมไม่ถึง ต่ำก็คว้าไม่ได้ ในที่สุดเขาจึงหลงทิศ หาทางออกจากเส้นทางแห่งความรักไม่ได้

           คนบางคนตกอยู่ในวังวนแห่งความรัก ขาดการยึดกุมหางเสือที่ดี จึงหลงอยู่ในเส้นทางแห่งความรัก คนบางคนตั้งใจมั่นที่จะสร้างประโยชน์สุขแก่สังคมประเทศชาติ แต่กลับหลงอยู่ในชื่อเสียงลาภยศ คนบางคนเป็นผู้นำครอบครัวนำคนในครอบครัวลงนาวาลำน้อยแล่นไปข้างหน้า อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หรือประเทศชาติ ล้วนต้องอาศัยนายท้ายเรือที่ชาญฉลาดในการช่วยชาวประชากำหนดตำแหน่งแห่งที่ จึงจะไม่หลงทิศหลงทาง คนบางคนกุมหางเสือไม่เป็นแต่เขาสามารถติดตามคนดีมีคุณธรรม ยอมรับการนำของเขา สุดท้ายก็สามารถประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้ คนบางคนไม่สามารถแสวงหานายท้ายเรือที่มีความสามารถที่พอจะเชื่อถือไว้วางใจได้ แต่เขาก็สามารถเดินไปบนเส้นทางชีวิตของตนเองได้เช่นกัน แต่ก็มีคนบางคน ตนเองไม่มีความสามารถและก็ไม่เชื่อถือผู้อื่น ขี้ระแวง ลังเลสงสัย ต่อให้มีทิศทางก็ไม่สามารถแล่นไปข้างหน้าได้ ที่สุดก็ล้มเหลว เที่ยวกล่าวหาว่าชะตาชีวิตตนเองไม่ดี

          ดังนั้น ชีวิตของคนคนหนึ่ง ถ้าคิดจะเป็นนายท้ายเรือก็ต้องรู้จักจังหวะโอกาส มีเหตุปัจจัยพร้อม มีความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ข้างหน้า ได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆ ฝ่าย แล้วเขายังจะมีอะไรจะต้องกลัวอีกในยามที่แล่นไปข้างหน้า ?




By เซนส่องทาง 

Tuesday, February 23, 2016

HEART AND HEAD (สมอง และ ใจ )

HEART AND HEAD (สมอง และ ใจ )
HEART AND HEAD

Winner work using their head,
They calculate for gain over loss,
Usually their profit is great

Losers work responding only to their emotions
They  float along uncertain currents,
Rising and falling all the time until facing destruction

Liberators work by using their head and their heart,
Managing the correct balance for the benefit of all,
They gain both profit and affection

สมอง และ ใจ

ผู้ประสบความสำเร็จทำงานด้วยสมองโดยมาก
ประมาณและประเมินสิ่งที่ทำเสมอ
จึงได้ผลดี

ผู้ล้มเหลวทำงานด้วยอารมณ์
จึงถูกซัดไปตามกระแสอละสิ่งเร้า
ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ จนหมดแรง หรือสิ้นกำลังใจ

ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นทำงานด้วยสมองกอปรใจ
นอกจากเก่งแล้ว ยังเอื้ออาทรต่อประโยชน์สุขทุกฝ่าย
จึงได้ทั้งเงิน ทั้งใจคน



By ไชย ณ พล

Saturday, February 20, 2016

ทำไมไม่จุดเทียน


ทำไมไม่จุดเทียน

            วันหนึ่ง กษัตริย์ผิงกงแห่งรัฐจิ้น ตรัสถามซือขวงนักดนตรีที่มีชื่อเสียงของรัฐว่า

            " บัดนี้เราก็มีอายุ 70 ปี คิดอยากจะศึกษา แต่ก็รู้สึกว่าสายไปเสียแล้ว "

            ซือข่วงทูลตอบว่า " เหตุไฉนพระองค์จึงไม่ทรงจุดเทียนเล่า ? "

            กษัตริย์ผิงกงได้ฟังเช่นนั้นก็ทรงรู้สึกไม่พอพระทัยตรัสว่า " ตัวท่านเป็นขุนนางเหตุใดจึงบังอาจมาล้อเราเล่น ? "

            ซือข่วงรีบกราบบังคมทูลว่า " ข้าพระองค์หาบังอาจกระทำการเช่นนั้นได้แต่ข้าพระองค์ได้สดับคำที่กล่าวกันทั่วไปว่า ผู้ใดรักเรียนในวัยเยาว์ ย่อมอิ่มเอิบคึกคักเสมือนดวงอาทิตย์ในยามเช้า ผู้ใดรักเรียนในวัยฉกรรจ์ย่อมเปรียบประดุจแสงแดดในตอนเที่ยงวันซึ่งยังคงร้อนแรงอยู่ ผู้ใดรักเรียนในวัยชรา ย่อมเปรียบประดุจอาศัยแสงเทียนเป็นเครื่องส่องทาง แต่การจุดเทียนส่องทางกับการคลำหาทางในที่มืดนั้นอย่างไหนจะดีกว่ากัน ? "

         เมื่อได้ฟังคำอธิบายเช่นนั้น กษัตริย์ผิงกงก็พยักพระพักต์แสดงอาการเห็นด้วย

บันทึกใน " ซ่อหยวน "

มุมมองปรัชญา

             การศึกษาเล่าเรียนก็เพื่อใช้ความรู้ที่เรียนมาเป็นประทีปส่องทางมาเป็นเครื่องชี้นำความคิดของคนเรา ในนิทานเรื่องนี้ซื่อข่วงได้ใช้ " พระอาทิตย์ " " พระอาทิตย์ในตอนเที่ยงวัน " และ " การจุดเทียน " มาอธิบายความสำคัญของการศึกษาและระยะขั้นของการศึกษาในชีวิตของคนเราอย่างรูปธรรม

             คนเราเมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา กำลังวังชาและความจำย่อมเสื่อมลงเป็นธรรมดา เมื่อเปรียบเทียบกับคนหนุ่มๆ สาวๆ แล้วการศึกษาย่อมมีความยากลำบากมากกว่า แต่ถ้ามีความเชื่อมั่น มีความพยายาม ก็สามารถจะเอาชนะความยากลำบากได้การศึกษาย่อมไม่มีวันหมดสิ้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่คนเราก็จะต้องศึกษาเป็นประจำจึงจะทันโลก ทันเหตุการณ์และเกิดประโยชน์






เปิดหนังสือได้ประโยชน์


เปิดหนังสือได้ประโยชน์

            เปิดหนังสือได้ประโยชน์ คำพูดประโยคนี้เป็ฯคำที่คนโบราณใช้สอนลูกหลานให้ตั้งใจเรียนหนังสือ แต่มาวันนี้อาจไม่เป็นเช่นนั้น การเปิดหนังสืออาจไม่ได้ประโยชน์ก็ได้ื บางครั้งอาจเป็นโทษด้วยซ้ำไป เช่นหนังสือโป๊ หนังสือหมอดูทำนายหวย สือสิ่งพิมพ์ที่ไร้สาระต่างๆ วางเรียงรายอยู่ในร้านหนังสือ แผงหนังสือ หนังสือประเภทนี้ เมื่อได้อ่านแล้วจิตวิญญาณไม่ถูกลากพาให้ใฝ่ต่ำลงไปก็นับบุญว่าบุญแล้ว อย่างนี้ไม่ใช่เป็นการเปิดหนังสือได้ประโยชน์อีกแล้ว

            มีอยู่วันหนึ่ง ท่านยมบาลเปิดศาลพิจารณาโทษ ท่านได้กล่าวกับผีนาย ก. ว่า "ตอนที่เจ้าอยู่ในโลกมนุษย์ได้ก่อกรรมทำชั่ว ปล้นชิงวิ่งราว ลงโทษเจ้าให้ตกนรกร้อยปี แล้วค่อยกลับไปเป็นคนใหม่ " จากนั้นพูดกับผีนาย ข. ว่า " เจ้าก็เหมือนกัน สมัยอยู่บนโลกมนุษย์เอาแต่ดื่มกิน ต้มตุ๋นชาวบ้าน ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ลงโทษเจ้าให้ตกนรก 50 ปี แล้วค่อยกลับไปเเกิดเป็นคนใหม่" เมื่อถึงคิวของนักข่าว ท่านยมบาลพูดว่า "เจ้าต้องตกนรกตลอด ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีก " เจ้านักข่าวโอดครวญคัดค้านการตัดสินของท่านยมบาลว่า " เมื่อสักครู่เจ้าสองคนนั้นได้กระทำความชั่วสารพัด แต่มันต้องโทษเพียงไม่กี่ปี ส่วนข้าเป็นเพียงนักข่าวคนหนึ่ง ไม่ได้ทำความผิดไม่เคยฆ่าใคร แต่ทำไมต้องตกนรกไม่ได้กลับไปเกิดอีก" ท่านยมกบาลกล่าวว่า "เพราะว่าบทความที่เจ้าเขียนมันทำร้ายจิตใจคน และจนบัดนี้มันก็ยังเผยแพร่อยู่ในโลกมนุษย์ ทำให้คนยังคงได้รับภัยร้ายนั้นอยู่ ส่วนเจ้าสองคนนั้น สร้างความชั่ว สังหารคน คนรับภัยเพียงครั้งเดียวก็จบ ฉะนั้น ต้องรอจนกว่าหนังสือมหันตภัยของเจ้าจะหมดไปจากโลกมนุษย์ ในอนาคตไม่แน่ว่าเจ้าอาวาสได้กลับไปเกิดใหม่อีก"

            สมัยนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เปิดหนังสือแล้ว แต่ไปเปิดอินเตอร์เน็ตแทน เปิดอินเตอร์เน็ตมีประโยชน์หรือเปล่า ว่ากันตามตรง วิทยาการสมัยนี้ก้าวหน้า ให้ความสะดวกแก่ผู้คนใด้านข้อมูลข่าวสาร การเปิดอินเตอร์เน็ตน่าจะมีประโยชน์ แต่เพราะว่าวิทยาการก้าวหน้ารวดเร็วเกินไป คุณธรรมจริยธรรม วิสัยทัศน์ จิตวิญญาณสร้างขึ้นไม่ทันกัน ดังนั้นสิ่งไร้สาระที่เผยแพร่อยู่ในอินเทอร์เน็ตไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์ แต่กลับให้โทษด้วยซ้ำไป

           เปิดหนังสือได้ประโยชน์ ความจริงเป็นเรื่องดี เช่น ถ้าคุณเปิดหนังสือทบทวนเลขคณิตสามารถเรียนรู้ตรรกศาสตร์ได้ ถ้าคุณเปิดหนังสือวรรณกรรมก็สามารถเรียนรู้ถึงอรรถรสความงามของกวีร้อยแก้วร้อยกรอง ถ้าคุณเปิดหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ ก็จะได้เรียนรู้ถึงเรื่องความสมดุลของอุปสงค์อุปทาน ถ้าคุณเปิดหนังสือสังคม คุณจะได้รับการหล่อหลอมทางจิตวิญญาณ ถ้าคุณเปิดหนังสือภูมิศาสตร์ คุณจะได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินอันกว้างใหญ่ ถ้าคุณเปิดหนังสือการเมืองการปกครอง คุณจะได้เรียนรู้ถึงการให้เกียรติและการออมชอม

           ถ้ามีคนถามว่า ความรู้มากมายเหล่านี้ ฉันไม่เปิดทั้งนั้น แล้วจะส่งผลอย่างไร คำตอบก็คือ " ความไม่รู้ " ฉะนั้น ในเบื้องต้นการเปิดหนังสือเป็นเรื่องดี เพียงแต่ว่าคุณต้องเลือกเปิดอย่างระมัดระวัง ดังคำพูดที่ว่า " ถนนทุกสายมุ่งสู่อนาคต " แต่คุณก็ต้องเลือกถนนที่มันราบเรียบหน่อยจึงจะไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย การเปิดหนังสืออ่านก็เช่นกัน







By เซนส่องทาง

Tuesday, February 16, 2016

HOPE (ความหวัง)

HOPE (ความหวัง)
HOPE

Winner have an optimistic outlook,
They work hard to fulfill the hope for a better future;
And are most likely to achieve their goals

Losers have a hopeless pessimistic outlook,
Always by blame, but do nothing to change their circumstances;
And are never likely to achieve anything

liberators have a realistic outlook,
They recognize the three powers exerted on everything;
Positive, negative and neutral forces,
while standing firmly in a neutral position,
They control negative forces,
And simulate growth of positive forces;
They succeed safely

รักเงินยิ่งชีวิต



รักเงินยิ่งชีวิต

           เล่ากันว่าชาวหย่งโจวทุกคนว่ายน้ำเก่งมาก วันหนึ่งมีชายชาวหย่งโจว 6 คน ลงเรือพายข้ามแม่น้ำเชียงเจียงขณะน้ำกำลังเอ่อท่วม พอเรือไปถึงกลางแม่น้ำก็ถูกคลื่นซัดคว่ำลง คนเหล่านั้นต่างคนต่างก็พยายามว่ายน้ำเข้าหาฝั่ง

           ในจำนวนนั้น มีชายคนหนึ่งพยายามว่ายอย่างเต็มความสามารถ แต่ก็ว่ายไปไม่ได้ไกลเท่าไร พวกเพื่อนๆ เห็นเช่นนั้นก็แปลกใจถามเขาว่า " ปกติแกเป็นคนว่ายน้ำเก่งมาก ทำไมวันนี้ว่ายไม่ทันคนอื่นเล่า ? "

           ชายผู้นั้นตอบด้วยความเหนื่อยหอบว่า " ที่เอวของข้ามีเงินคาดไว้ พันเหรียญ มันหนักจนข้าว่ายน้ำไม่ค่อยไหว "

           แกทำไมไม่แก้มันทิ้งเสียล่ะ จะเอามันไว้ทำไมอีก " เพื่อนของเขาแนะนำ

           ชายผู้นั้นสั่นศรีษะไม่กล่าวตอบ สักครู่พวกเพื่อนๆ ก็สังเกตุเห็นว่าเขาว่ายน้ำไม่ไหวกำลังจะจมน้ำ คนที่ขึ้นฝั่งได้แล้วจึงตะโกนบอกเขาว่า " แกอย่าโง่ต่อไปอีกเลย ! แกหลงเงินจนหน้ามืดตาลายไปแล้ว เวลานี้แกกำลังจะตาย เงินยังจะมีประโยชน์อะไรอีก " ชายผู้นั้นฟังแล้วก็สั่นหัวอีกและแล้วในที่สุดเขาก็หมดแรงจมน้ำตาย

บันทึกใน " หลิ๋วเหอตงจี๋ "

Saturday, January 30, 2016

เรียกร้องตนเอง


เรียกร้องตนเอง

           คนเราชอบเรียกร้องผู้อื่น เช่นว่าคุณต้องถูกต้อง คุณต้องขยัน คุณต้องอย่างนี้ คุณต้องอย่างนั้น แต่เขาไม่รู้จักเรียกร้องตนเอง

          การเรียกร้องคนอื่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คนอื่นไม่ได้มีสิ่งที่เขาต้องการ คนอื่นมีนิสัยส่วนตัวของเขา คนอื่นไม่ใช่เรา

             การเรียกร้องคนอื่น เมื่อถึงที่สุดแล้วก็ไม่ปรากฎผลเป็นรูปธรรม พูดกันตามตรงคือทุกอย่างควรหันกลับมาเรียกร้องตนเองดีกว่า เรียกร้องตนเองเป็นวิธีที่ดีที่สุด

             คุณอยากมีสติปัญญาหลักแหลมคุณก็ต้องเรียนหนังสือ คุณอยากประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานคุณต้องสั่งสมประสบการณ์ สั่งสมคุณธรรม สั่งสมบุญวาสนา ความสำเร็จย่อมมีผลตามมา คุณอยากมีสุขภาพที่ดีคุณก็ต้องออกกำลังกาย ดูแลร่างกาย ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ซึ่งเรื่องเหล่านี้คนอื่นทำแทนไม่ได้

            คุณอยากมีกัลยาณมิตรคุณก็ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ คุณอยากร่ำรวยคุณก็ต้องทำบุญให้ทาน ไม่ว่าคุณอยากได้อะไร เรียกร้องคนอื่นไม่แน่ว่าจะได้ตามที่ปราถนา แต่ถ้าลงมือทำเองย่อมมีความหวังว่าจะสำเร็จ

Belief (ความเชื่อ)

Belief (ความเชื่อ)
Belief

Winner believe that success is the result of smart and hard work.
They achieve their position systematically;
And accomplish more and more.

Losers believe that success is matter of luck,
Hence they tend to gamble a lot;
And lose more and more

Liberators believe that success is the fruit of the correct combination,
So, they enjoy filling out the pieces of the jigsaw
That correctly put together provide success,
Their successes are less stressful and more enjoyable than others'