Thursday, October 02, 2014

หุบเขาลุงโง่


หุบเขาลุงโง่

         ครั้งหนึ่ง ขณะที่กษัตริย์หวนกงแห่งรัฐฉี ( เป็นกษัตริย์ของรัฐฉีสมัยชุนชิวขึ้นเสวยราชย์เมื่อ 685-643 ปีก่อน ค.ศ. ) ทรงเสด็จออกล่าสัตว์ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกวางตัวหนึ่งหนีออกจากวงล้อมวิ่งเตลิดเข้าไปในเขตเขา กษัตริย์หวนกงจึงทรงกระตุ้นม้าให้วิ่งตามเข้าไปยังหุบเขาที่สลับซับซ้อน แต่ก็หากวางตัวนั้นไม่เจอ กษัตริย์หวนกงจึงทรงควบม้ากลับ แต่แล้วก็หาทางกลับไม่ได้ ขณะที่พระองค์กำลังร้อนพระทัยอยู่นั้น ก็ทอดพระเนตรเห็นชายชรากลับไม่ได้ ขณะที่พระองค์กำลังร้อนพระทัยอยู่นั้น ก็ทอดพระเนตรเห็นชายชราผมสีขาวโพลนผู้หนึ่งแบกฟืนเดินมา

         " นี่ พ่อเฒ่า " กษัตริย์หวนกงตรัสถาม " หุบเขานี้ชื่อหุบเขาอะไร "

         ชายชราตอบว่า " ชื่อหุบเขาลุงโง่ "

         " เหตุ เหตุใดจึงชื่อว่าหุบเขาลุงโง่ล่ะ ? "

         " เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ที่นี่ตลอดมาตั้งแต่เด็กจนแก่ เขาจึงได้ชื่อของข้าพเจ้ามาเรียกหุบเขาแห่งนี้ "

         กษัตริย์หวนกงรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก พระองค์ทรงทอดพระเนตรชายชราผู้นั้นตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ตรัสว่า " ดูท่าทางท่านก็เป็นคนเฉลียวฉลาด ทำไมจึงได้ชื่อว่าลุงโง่ล่ะ ? "

         ชายชราตอบว่า " สาเหตุของมันเป็นเช่นนี้ คือแม่โคที่ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้ออกลูกมาตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกวัวตัวนี้จนโตแล้วก็นำไปขายในตลาดและซื้อลูกม้าตัวหนึ่งเอามาเลี้ยง ไม่นานเด็กหนุ่มอันธพาลในหมู่บ้านก็เข้ามาที่บ้านข้าพเจ้าพูดว่า " บ้านแกเลี้ยงแม่วัว ทำไมจึงออกลูกเป็นม้า แกคงไปขโมยม้าของคนอื่นมาแน่ๆ " พูดแล้วมันก็จูงเอาลูกม้าของข้าพเจ้าไปดื้อๆ เมื่อเพื่อนบ้านทราบเรื่องนี้เข้า ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้าพเจ้าเป็นคนโง่และได้ตั้งชื่อให้ว่า " ลุงโง่ "

         " อ้อ เรื่องเป็นมาเช่นนี้เอง " กษัตริย์หวนกงตรัสพร้อมกับทรงพระสรวล " เรื่องนี้กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องโง่จริงๆ เพราะไม่มีใครหรอกที่จะปล่อยให้คนอื่นมาจูงเอาม้าของตนไปอย่าง่ายๆ "

         ชายชราไม่พูดอะไร บอกทางที่จะไปให้แก่กษัตริย์หวนกงแล้วก็แบกหินเดินต่อไป

          เมื่อกษัตริย์หวนกงเสด็จกลับมาแล้ว วันรุ่งขึ้นพระองค์ก็นำเรื่องที่ทรงรู้สึกว่าน่าขบขันนี้เล่าให้ก่วนจ้ง ( นักการเมืองมีชื่อในสมัยนั้น ) ฟัง ก่วนจ้งฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีและรีบคุกเข่าลง กษัตริย์หวนกงจึงตรัสถามถึงสาเหตุ ก่วนจ้งทูลด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจว่า

          " ชายชราผู้นั้นหาใช่คนโง่ไม่ พวกเราทำหน้าที่ปกครองนี่แหละเป็นคนโง่ ! ถ้าหากเบื้องบนมีผู้ประเสริฐ กฎหมายก็เคร่งครัดแล้วจะเกิดเรื่องแย่งเอาลูกม้าของคนอื่นไปง่ายๆ ได้อย่างไร ถ้าเกิดขึ้นชายชราก็ย่อมจะไม่ยอมเด็ดขาด แต่เวลานี้ชายชรารู้ดีว่าขุนนางข้าราชการล้วนชอบกินสินบน บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป ไปฟ้องร้องก็ไม่เกิดประโชน์ ฉะนั้น ปล่อยให้เด็กหนุ่มอันธพาลจูงเอาม้าไปย่อมเป็นการดีกว่า ขอพระองค์ได้โปรดพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและการปกครองเถิดพะยะค่ะ


บันทึกใน " ซ่อยวน "


มุมมองปรัชญา

         คนทั้งหลายรวมทั้งกษัตริย์หวนกงด้วยล้วนเข้าใจว่าชายชราผู้นั้นเป็นคนโง่ แต่ก่วนจงกลับผ่านปรากฏการณ์ผิวเผินนี้ไปเข้าใจสภาพที่ไม่เป็นธรรมของสังคม จิตใจที่เข้าใจความรู้สึกของประชาราษฎร์และกล้าตำหนิตนเองแบบนี้เป็นสิ่งที่ควรยกย่อง

         ในสังคมที่เบื้องบนไร้ผู้ประเสริฐ บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปนั้นประชาชนเดือดเนื้อร้อนใจ จะหันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้ มีปากจะไปร้องทุกข์ได้ที่ไหน ด้วยเหตุนี้ คำกราบทูลของก่วนจ้งที่ว่าคนโง่นั้นหาใช่ชายชราที่ถูกแย่งลูกม้าไปไม่ แต่เป็นผู้ปกครองของรัฐฉีเอง จึงเป็นคำพูดที่ตรงเป้าหมายอย่างแม่นยำ

         อย่างไรก็ดี มิใช่จะเป็นรัฐฉีในสมัยโบราณของจีนเท่านั้นที่มี " ลุงโง่ " อยู่ทุกวันนี้ " ลุงโง่ " สมัยใหม่ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไปเกลื่อนกลาด




By ปรัชญาชีวิตใน สุภาษิตจีน

No comments:

Post a Comment