Tuesday, June 24, 2014

โลกทัศน์ที่สร้างสรรค์


โลกทัศน์ที่สร้างสรรค์

        ความจริงในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดีไปหมด และไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปหมด " เมื่อใจเกิดวิธีต่างๆ ย่อมเกิด ใจดับ วิธีต่างๆ ย่อมดับสิ้น " สุขนิยม ทุนนิยม ย่อมมีเหตุจากภายนอก แต่ส่วนใหญ่มักเกิดจากตัวเองเป็นเหตุ

         มีพระราชาองค์หนึ่ง ตอนออกไปล่าสัตว์ โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุข้อพระหัตถ์หักไปข้อหนึ่ง ถามข้าราชบริพารว่าควรจะทำอย่างไร ข้าราชบริพารตอบด้วยสุขนิยมว่า " นี่เป็นเรื่องดี " พระราชาได้ยินดังนั้น ทรงกริ้วมาก หาว่าขุนนางผู้นั้นสุขบนกองทุกข์ของผู้อื่นจึงจับขุนนางผู้นั้นเข้าคุก หนึ่งปีผ่านไป พระราชาเสด็จไปล่าสัตว์อีก ถูกคนป่าจับตัวไปจับมัดไว้บนแท่น เตรียมทำพิธีบูชายัญ พ่อมดเกิดเห็นว่าระองค์มีข้อพระหัตถ์หายไปข้อหนึ่ง ถือว่าเป็นเครื่องเซ่นที่ไม่สมบูรณ์ จึงปล่อยตัวพระราชาไป เปลี่ยนเอาตัวขุนนางไปเซ่นแทน พระราชาโชคดีรอดชีวิตมาได้ จึงคิดถึงขุนนางผู้มองโลกในแง่ดีที่จำคุกอยู่ว่าเคยกราบทูลว่าที่พระองค์ข้อมือหักถือเป็นเรื่องดี พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวขุนนางผู้นั้น และขอโทษที่เขาต้องจำคุกโดยไม่มีความผิด ขุนนางผู้นี้ยังคงกล่าวอย่างมองโลกในแง่ดีว่า " การถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีก็เป็นเรื่องดี ถ้าข้าพระองค์ไม่ติดคุก แล้วต้องติดตามพระองค์ไปล่าสัตว์ ลองคิดดูสิว่าคนที่ต้องถูกจับไปบูชายัญแทนฝ่าบาทคือใคร ? "

        ดังนั้น เรื่องดีไม่แน่ว่าจะดีหมด เรื่องร้ายก็ไม่แน่ว่าจะร้ายหมด พระพุทธศาสนาสอนว่า " อนิจจังไม่เที่ยง " ทุกเรื่องสามารถเปลี่ยนเป็นดีได้ และก็เปลี่ยนเป็นร้ายได้เช่นกัน คนที่มองโลกในแง่ร้าย มักจะเป็นทุกข์เพราะคิดอยู่เสมอว่าตนเองเหลือเงินอยู่ล้านเดียว ส่วนคนที่มองโลกในแง่ดี กลับคิดอยู่เสมอว่าคนเองโชคดีที่ยังมีเงินอยู่หนึ่งหมื่น



       กวีเอกซูตงโป ถูกเนรเทศไปอยู่เกาะไหหลำ เมื่อคิดถึงชีวิตที่เงียบเหงาบนเกาะเทียบกับชีวิตที่รุ่งโรจน์ในราชสำนัก ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่แล้วซูตงโปก็กลับคิดอีกทีว่า ในโลกนี้ ผู้ที่มีชีวิตโดดเดี่ยวบนเกาะไม่ได้มีตนเพียงคนเดียว

       ขณะที่ใช้ชีวิตบนเกาะ ทุกครั้งที่ได้กินอาหารทะเลท้องถิ่นเขาจึงคิดเสมอว่า ตนเองโชคดีที่ได้มาเกาะไหหลำ แถมยังคิดต่อไปว่า นี่ถ้ามีขุนนางผู้ใหญ่ได้มาที่นี่ก่อนตน ตนจะมีโอกาสได้ชิมลิ้มลองอาหารเลิศรสเช่นี้หรือ ? ดังนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้ามองในแง่ดี ก็จะรู้สึกว่าชีวิตช่างน่าสุขารมณ์ไม่มีใดปาน

        พระภิกษุที่ออกบวชในพระพุทธศาสนา ครองจีวรผืนเดียวรองเท้าฟางอีกคู่หนึ่ง เที่ยวเดินทางจาริกไปทุกหนแห่ง พวกเขาสามารถเดินร่วมทางไปกับขอทาน และก็นั่งร่วมโต๊ะกับพระราชาได้ ดูไปเหมือนตัวคนเดียวเดี่ยวโดด แต่ท่านมีธรรมธาตุเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสัตว์ในโลก ท่านจึงโดดเดี่ยว

         ดังนั้น ชีวิตไม่ได้มีแต่ทุกข์หรือสุขอย่างเดียว ขอเพียงแต่มีจิตใจที่ต่อสู้บากบั่นสร้างสรรค์ ขอให้คิดแต่ในแง่ดี ย่อมเปลี่ยนความทุกข์เป็นสุขได้ เปลี่ยนยากเป็นง่ายได้ เปลี่ยนอันตรายเป็นปลอดภัยได้

        มีกวีท่านหนึ่งกล่าวว่า " หันหน้าไปทางแสงอาทิตย์ คุณก็จะมองไม่เห็นเงามืด "

        โลกทัศน์ที่สร้างสรรค์ คือแสงอาทิตย์ในจิตใจ คำพูดประโยคนี้จริงแท้แน่นอน





By ตื่นอย่างเซน

No comments:

Post a Comment