ชีวิตคนเราถ้าว่างเกินไป
ความคิดก็จะฟุ้งซ่าน
ถ้าวุ่นเกินไป
อุปนิสัยแท้ก็จะไม่ปรากฎ
วิญญูชนจึงพึงใส่ใจในกายและใจตน
ทั้งไม่ควรทอดทิ้งหาความรื่นรมย์จากธรรมชาติ
นิทัศน์อุทาหรณ์
คุณชายของเศรษฐีจาง
ชุมชนอย่างเช่นเมืองชี่ ก็เหมือนกับเมืองอื่นๆ ถนนหนทางมีรถราสัญจรไปมาคับคั่ง ผู้คนเบียดเสียดกันจนเหงื่อไหลไคลย้อย พวกเขาไม่มีเวลาที่จะมาชมดอกไม้ริมถนน ทั้งไม่มีเวลาจะมาชมเมฆสวยบนท้องฟ้า ต่างเร่งรีบไปทำธุระของตนเอง
แต่เมืองชี่ก็เหมือนกับเมืองอื่นๆ มีคนว่างไม่มีอะไรจะทำเหมือนกันดังเช่นคุณชายของเศรษฐีจาง คุณชายจางถูกรักถูกตามใจเสียจนเคยตัว อ้าปากก็มีอาหารรสเลิศเข้า ยื่นมือก็ได้เงินได้ทองได้เพชรนิลจินดา แต่ไหนแต่ไรมาเขาดูเหมือนจะไม่ขาดอะไรเลยในชีวิต
ทว่าเมื่อพิจรณาอย่างถีถ้วนแล้วเขามีส่วนที่ขาดอยู่ไม่น้อยที่สำคัญคือ เขาขาดจิตใจซึ่งเมตตากรุณา และการแสวงหาความก้าวหน้าอย่างสุดความสามารถ
เขาขาดความเมตตากรุณา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่เคยคิดที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ยากจน ซึ่งเขามีความรู้สึกว่า มันเป็นการหาเรื่องใส่ตัว เขาไม่อยากจะเรียนหนังสือ หรือฝึกอะไรให้เป็นสักอย่างหนึ่ง เขาขี้เกียจแม้กระทั่งจะออกไปชมทิวทัศน์สวยงามนอกเมือง
แต่ละวัน เขาจ้องมองอยู่แต่กับกำแพงและเสาบ้าน รำพึงรำพันอยู่แต่ว่า " ถ้าฟ้าเกิดถล่มลงมา มันจะค้ำไหวไหม ? อย่าให้มันล้มมาทับเราได้ก็จะดี ! "
คำรำพึงรำพันของคุณชายจาง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ได้แพร่ออกไปยังนอกบ้าน คนทั้งหลายถือเป็นเรื่องขำขันสนทนากันหลังอาหาร หัวเราะกันจนท้องคัดท้องแข็งว่า " เราทำงานแทบตายกลัวเวลาจะไม่พอ แต่ลูกชายเศรษฐีจางกลับห่วงว่าฟ้าจะถล่ม "
นิทานเรื่อง " คนเมืองชี่ห่วงฟ้าถล่ม " จึงได้แพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง กลายเป็นเรื่องตลกที่เล่าลือกันมาจวบจนปัจุบัน
แต่มีผู้คงแก่เรียนเฒ่าท่านหนึ่งกลับไม่เห็นเป็นว่าเรื่องตลก เขาพูดกับลูกศิษย์ของตนว่า
" มันควรจะเป็นเรื่องน่าดีใจ เพราะคนเมืองชี่เป็นห่วงแต่ฟ้าจะถล่ม แต่ถ้าเขาว่างไม่มีอะไรทำเกิดคิดอยากจะฆ่าคนวางเพลิงเพื่อความสนุกแล้วละก็จะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง "
พวกลูกศิษย์รีบจดคำพูดของอาจารย์ไว้อย่างไม่ยอมให้ตกหล่นอาจารย์เฒ่าจึงพูดต่อไปว่า
" ชีวิตของคนเราที่น่ากลัวที่สุดก็คือว่างเกินไป ว่างเกินไปอาจจะเกิดความคิดชั่วๆ ทำเรื่องเลวๆ ขึ้นมาได้ ที่น่ากลัวทีสุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ วุ่นเกินไป คนที่วุ่นเกินมักจะไม่รู้ว่าตนเองวุ่นเรื่องอะไร พวกเจ้าแม้จะต้องสนใจในการศึกษาเล่าเรียนฝึกอบรมตัวเองก็ตามที แต่ก็ไม่ควรลืมที่จะหาความสุขจากการตากลมชมจันทร์ในธรรมชาติบ้าง... "
By หงอิ้งหมิง สมัยราชวงศ์หมิง ( สายธารแห่งปัญญา )
No comments:
Post a Comment