Wednesday, October 29, 2014

ตอกตะปูบนรำข้าว


ตอกตะปูบนรำข้าว

        การทำอะไรที่เปล่าประโยชน์ ไม่มีคุณค่าและไม่ได้ผล เสียเวลาไปโดยใช่เหตุ




By ปรัชญา " ซามูไร "

Tuesday, October 28, 2014

เห็นของจริง


เห็นของจริง

         มีอยู่วันหนึ่ง ฌานาจารย์ฝอเจี้ยนเรียกประชุมพระเณรในวัดทั้งหมด เพื่อสนทนาธรรม ในจำนวนพระเณรทั้งหมดมีพระอยู่รูปหนึ่งชื่อ โส่วสฺวิน ตอบปริศนาธรรมทั้งหมดได้อย่างแจ่มแจ้ง ฌานาจารย์ฝอเจี้ยนเห็นว่า โส่วสฺวินบรรลุธรรมแน่แล้ว

         แต่ฌานาจารย์หยวนอู้ไม่เชื่อ จึงนัดโส่วสฺวินออกไปธุดงค์ด้วยกันขณะผ่านวังน้ำแห่งหนึ่ง หยวนอู้ผลักโส่วสฺวินตกน้ำตอนเผลอ ขณะที่โส่วสฺวินดิ้นรนจะขึ้นจากน้ำ หยวนอู้ถามว่า " ขณะที่ฌานาจารย์ฝ่าหยงบนเขาเนินโถวซานยังไม่พบพระตูชุนมหาครูบา ( พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๔ ของจีน ) เจ้ารู้ไหมว่าท่านมีสภาพอย่างไร ? "

         โส่วสฺวินตอบว่า " วังลึกปลาชุม "

         หยวนอู้ถามอีกว่า " หลังจากพบแล้วมีสภาพอย่างไร ? "

         โส่วสฺวินตอบว่า " ไม้สูงรับลม "

         หยวนอู้ถามอีกว่า " ระหว่างพบกับไม่พบ มีสภาพอย่างไร ? "

         โส่วสฺวินตอบว่า " ยื่นขาในหดขา "

ชั่วขณะกับชั่วชีวิต


ชั่วขณะกับชั่วชีวิต

         ชั่วขณะหรือว่าชั่วชีวิต อย่างไหนสั้นยาวกว่ากัน คนทั่วไปย่อมเห็นว่าชั่วขณะเป็นเวลาที่สั้นมาก ชั่วชีวิตเป็นเวลาที่ยาวมาก ว่ากันตามความจริงแล้ว เพียงชั่วขณะยังมีเวลายาวถึง 3 อสงไขย ดังนั้น ในชั่วขณะนั้นยังมีชีวิตอยู่

         ผู้บำเพ็ญธรรมมีวิริยะความเพียร ไม่หวั่นอุปสรรคความยากลำบากเพราะความลำบากเป็นเพียงชั่วขณะ ความปีติหลังบรรลุธรรมคือชั่วนิรันดร์ปุถุชนทั่วไป แข่งขันชิงดีชิงเด่นเพราะไม่อาจอดกลั้นความโกรธเกลียดชั่วขณะ จึงก่อให้เเกิดความเสียใจอย่างสุดประมาณ

         การพูดจา บางครั้งพูดไปโดยไม่ได้ระมัดระวัง " คำพูดสามารถสร้างความเจริญได้ คำพูดก็สามารถสร้างความฉิบหายได้เช่นกัน " คำพูดคำเดียวสามารถทำให้คนบอบช้ำ คำพูดคำเดียวสามารถทำให้คนที่ตายฟื้นขึ้นมาได้เช่นกัน ดังนั้น จะดีจะเลว จะเกิดจะตาย มักเป็นเพราะคำพูดคำเดียว คำพูดคำเดียวคือชั่วขณะ ผลร้ายก็คือชั่วนิรันดร์ เราทั้งหลายจึงควรระมัดระวังการกล่าวผิดวาจาผิดชั่วขณะ

         วัยรุ่นในยุคปัจจุบัน เลือดร้อนแข็งกร้าวเพราะต้องการแสดงความกล้าชั่วขณะ ท้าประลองความเร็วของรถ การแข่งรถคือความสะใจชั่วขณะ บาดเจ็บพิการคือชั่วชีวิต เพราะความเร็วชั่วขณะทิ้งความเสียใจไว้ชั่วชีวิต อย่างนี้ควรค่าแล้วหรือ ?

         นักศึกษาขยันเอาการเอางานตั้งใจเล่าเรียน ลำบากเป็นเพียงชั่วขณะผลสำเร็จคือชั่วชีวิต คนที่รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวานยอมลำบากชั่วขณะเพื่อแลกกับสิ่งที่ดีที่สุดชั่วชีวิต

         ชายหญิงรักกัน พิธีวิวาห์คือชั่วขณะ การใช้ชีวิตร่วมกันคือชั่วชีวิต เพื่อครอบครัวที่สมบูรณ์ตลอดชีวิต ต่างฝ่ายจึงไม่ควรลืมคำมั่นสัญญาชั่วขณะ รักษาสัจวาจาชั่วชีวิต

เงางูในถ้วยเหล้า


เงางูในถ้วยเหล้า

         เพื่อนคนหนึ่งของเยี่ยกว่างไปเยี่ยมเขาที่บ้านพอกลับไปแล้วก็ล้มป่วย เยี่ยกว่างรู้ข่าวจึงรีบไปเยี่ยม พอเข้าไปในบ้านก็เห็นเพื่อนของเขานอนซมอยู่บนเตียงผ่ายผอมและหน้าซีด เยี่ยกว่างจึงถามเขาว่าป่วยเป็นโรคอะไร เพื่อนคนนั้นก็ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ยอมตอบเยี่ยกว่างพยายามถามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาจึงตอบว่า

         " วันก่อนข้าพเจ้าไปเยี่ยมท่านที่บ้าน ท่านเป็นคนรินเหล้าให้ข้าพเจ้าดื่ม ข้าพเจ้าเห็นงูสีเขียวมีลายสีแดงตัวหนึ่งอยู่ในถ้วนเหล้า ข้าพเจ้ากลัวมากคิดจะไม่ดื่ม แต่เกรงว่าจะเป็นการไม่นับถือและไม่ให้เกียรติเจ้าของบ้าน ข้าพเจ้าจึงตดสินใจดื่มลงไป พอกลับมาถึงบ้านก็รู้สึกว่างูตัวนั้นเลื้อยอยู่ในท้อง จะอาเจียนก็อาเจียนไม่ออกยิ่งคิดยิ่งคลื่นไส้ จากนั้นก็ล้มป่วย "

         เยี่ยกว่างฟังแล้วก็คิดว่า เรื่องงูในถ้วยเหล้าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่เพื่อนของเขาก็ยืนยันว่าเห็นงูตัวจริงๆ นี่มันเกิดจากอะไร ? 

         พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็เดินไปเดินมาคิดค้นหาสาเหตุอยู่ในห้องรับแขกทันใดนั้นเขาเห็นคันธนูที่ทาสีเขียวมีลวดลายสีแดงแขวนอยู่ที่ผนังบ้าน เขาคิดว่าเรื่องอาจจะเกิดจากธนูคันนี้ก็ได้ เขาจึงเอาเหล้ามารินใส่ถ้วยท่อยู่บนโต๊ะ หันมุมไปมา ในที่สุดก็เห็นเงาของคันธนูอยู่ในถ้วย คล้ายกับมีงูตัวหนึ่งกำลังว่ายอยู่ในนั้น

         เยี่ยกว่างรีบไปหาเพื่อนคนนั้น พยุงเขามาที่บ้านของตน ให้เขานั่งลงตรงถ้วยเหล้า แล้วถามเขาว่าเห็นอะไรในถ้วยเหล้าไหม เพื่อผู้นั้นดูแล้วก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า 

         " งู งู ตัวที่เคยเห็น ! " 

         เยี่ยกว่างจึงชี้ให้เขาดูคันธนูที่แขวนไว้บนผนัง เพื่อนผู้นั้นมองดูคันธนูแล้วมองถ้วยเหล้าก็เข้าใจทันทีว่างูที่เห็นคือเงาของคันธนูที่อยู่บนผนัง ทำให้อาการป่วยของเขาหายเหมือนปลิดทิ้ง

บันทึกใน " จิ้นซู "

Monday, October 27, 2014

คิดข้ามฝั่ง เรือก็มา


คิดข้ามฝั่ง เรือก็มา

        เป็นการเปรียบเทียบถึงการทำงานที่ทันกับเวลา ทันกับความต้องการ หรือความช่วยเหลือที่มาแบบคาดไม่ถึงที่มาทันการณ์

        ในแวดวงธุรกิจการค้านั้นความหมายของบทนี้จะยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อมีการคาดการณ์ล่วงหน้าที่เราเรียกว่า " วิสัยทัศน์ " ที่ทุกองค์กรนั้นต้องมีเพื่อเป็นการนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างไม่หลงทาง

        " เครือซีพี " หรือเครือเจริญโภคภัณฑ์นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรครบวงจร

        การลงทุนในต่างประเทศเป็นอีกลยุทธ์ในการปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสสำหรับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด ( มหาชน ) หรือ " ซีพีเอฟ " โดยขยายการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยการขยายการลงทุนในต่างประเทศนั้นถือเป็นตัวช่วยที่ส่งผลดีกลับมาช่วยเสริมศักยภาพให้กับซีพีเอฟ โดยเฉพาะในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตดีอย่างเช่น รัสเซีย อินเดีย และเวียดนาม ไปจนถึงประเทศใหม่ๆ ที่ซีพีเอฟเข้าไปลงทุน เช่น ลาวหรือฟิลิปินส์

Sunday, October 12, 2014

เขาขอบคุณอาตมาแล้ว


เขาขอบคุณอาตมาแล้ว

         ดึกสงัด ขโมยคนหนึ่งถือมีดย่องเข้าไปในอาราม ข่มขู่ฌานาจารย์ชีหลี่ ว่า " เอาเงินออกมาเสียดีๆ ไม่อย่างนั้น จะฆ่าเสีย "

         ฌานาจารย์ชีหลี่พูดว่า " อย่ามารบกวนอาตมาทำสมาธิภาวนา เงินอยู่ในลิ้นชัก ไปหยิบเอง ! "

         ขโมยคนนั้นรีบไปค้นที่ลิ้นชัก เก็บเอาเงินไปหมด ขณะที่จะจากไป ฌานาจารย์ชีหลี่ก็พูดว่า " อย่าเอาไปหมดนะ เหลือไว้หน่อย ให้อาตมาซื้อดอกไม้ไหว้พระวันพรุ่งนี้ "

         ขโมยจึงทิ้งเงินเล็กน้อยไว้ในลิ้นชัก พอหันหลังจะจากไป ฌานาจารย์ชีหลี่ ก็พูดอีกว่า " จะไม่ขอบคุณสักคำเลยหรือ ? "

         ขโมยจึงขอบคุณก่อนสาวเท้าจากไป

          หลังจากนั้น ขโมยผู้นี้ได้ก่อคดีขึ้นอีก กระทั่งถูกมือปราบจับตัวไว้ได้ ขโมยให้การว่าเคยปล้นเงินของฌานาจารย์ชีหลี่ ขณะที่มือปราบเรียกตัวฌานาจารย์ชีหลี่ไปให้การชี้ตัวจำเลย ฌานาจารย์ชีหลี่กลับให้การว่า " เขาไม่ใช่ขโมย เขาไม่ได้ปล้นอาตมา อาตมาให้เงินเขาเอง เขาขอบคุณอาตมาแล้ว "

กำหนดเป้าหมาย


กำหนดเป้าหมาย

        เรือแล่นไปในท้องทะเลอันเวิ้งว้าง แต่เพราะว่าได้กำหนดเป้าหมายชัดเจน จึงไม่ต้องวิตกว่าจะหลงทิศทาง เครื่องบินบินร่อนไปในนภากาศที่ไร้ขอบเขต แต่เพราะว่าได้กำหนดเป้าหมาย เมื่อบินไปตามเส้นทางการบิน มันจึงถึงที่หมายและลงจอดอย่างปลอดภัย บนเส้นทางชีวิตมนุษย์เป้าหมายเราอยู่ที่ใด ?

        คุณดูสิ รถยนต์แล่นไปมาบนท้องถนน คุณไม่ต้องวิตกแทนมัน เพราะมันย่อมมีเป้าหมายของตัวมันเอง ผู้คนที่ต่างเดินสวนทางกันไปมา พวกเขาต่างโลดแล่นไปตามเป้าหมายของตนเอง เป้าหมายคือจุดหมายปลายทางของแต่ละคน แต่ละเหตุการณ์

         ในประเทศจีนโบราณ พ่อแม่ครูอาจารย์จะชี้แนะให้เด็กๆ รู้จักกำหนดเป้าหมาย ตั้งมั่นต่ออนาคต ปัจจุบัน นักเรียนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องเลือกสาขาวิชาอันดับที่หนึ่ง อันดับที่สองในแบบฟอร์ม นี่ก็เป็นการเลือกเป้าหมายของตนเองเช่นกัน

         มีวัยรุ่นบางคนหลงไหลไปตามกระแสสังคม ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมโดยไร้เป้าหมาย ใช้ชีวิตอย่างไร้สาระไปวันๆ แต่ก็มีวัยรุ่นบางคนวางเป้าหมายสูงเกินไป ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เปรียบเหมือนเครื่องจักรในโรงงานที่มีกำลังผลิตสองหมื่นต่อวัน แต่ดันทุรังที่จะให้มันผลิตแสนตันต่อวันเป็นการตั้งเกินเป้าหมาย จึงเท่ากับไม่มีเป้าหมาย หรือเครื่องหว่านไถที่สามารถทำงานได้ 20 ไร่ต่อวัน แต่คุณกลับบังคับให้มันหว่านไถในพื้นที่ร้อยไร่ต่อวัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะสามารถแบกรับงานที่หนักเกินกำลังของมันได้ นี่คือผลของการไม่บรรลุเป้าหมายเพราะเร่งผิดจังหวะ หรือจะเป็นคอมพิวเตอร์ก็เถอะ แม้ว่ามันสามารถเก็บข้อมูลได้มากมาย แต่ถ้าปริมาณมากเกินมาตรฐานการแบกรับของมัน มันก็จะไม่เชื่อฟังคุณได้เหมือนกัน

Saturday, October 11, 2014

โชคดีที่มีหมวกสักหลาด


โชคดีที่มีหมวกสักหลาด

         ชายผู้หนึ่งสวมหมวกสักหลาดเดินทางไปธุระในฤดูร้อน แสงแดดที่ร้อนจัดทำให้เขาเหงื่อไหลโซมเต็มหน้า พอเดินไปเจอต้นไม้เขารีบตรงเข้าไปพักร่ม แล้วถอดหมวกสักหลาดออกมาโบกแทนพัด เพื่อช่วยบรรเทาความร้อน ปากก็พูดว่า

          วันนี้ยังโชคดีที่มีหมวกสักหลาดมาใช้แทนพัดได้ ถ้าไม่มีมัน ข้าคงร้อนตับแตก ! "

บันทึกใน " เซี่ยงจาน " 

ตะพาบน้ำเทียบพระจันทร์


ตะพาบน้ำเทียบพระจันทร์

         คุณค่าของสิ่งของ 2 สิ่ง ที่มิอาจวัดและเปรียบเทียบกันได้เลย หรือแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน





By ปรัชญา " ซามูไร "

บรรลุฌาน


บรรลุฌาน

         ฌานาจารย์ สือโถวซีเซียน เป็นศิษย์ก้นกุฎิของพระเว่ยหลางมหาครูบา ( พระสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ของจีน ) ตั้งแต่อายุ 12 พรรษา หลังจากนั้น 3 ปี พระเว่ยหลางมหาครูบาก็ดับขันธ์ในฌานสมาบัติไป ซีเซียนจึงไปอาศัยวัดของศิษย์ผู้พี่ชื่อฌานาจารย์สิงซือ

         สิงซือพบหน้าซีเซียน ก็ถามว่า " เจ้ามาจากที่ใด ? " ซีเซียนตอบว่า " อาตมามาจากเฉาซี " เฉาซีในมณฑลกวางตุ้งเป็นที่อยู่ของพระเว่ยหลางมหาครูบาก่อนนิพพาน คำตอบของซีเซียนหมายความว่ามาจากสำนักของอาจารย์

          สิงซือถามอีกว่า " เจ้าได้อะไรมาบ้าง ? " ซีเซียนตอบว่า " ตั้งแต่ยังไม่ไปเฉาซี ก็ไม่มีอะไรพร่อง ? " หมายความว่า ก่อนไปเฉาซี พุทธะในตัวอาตมาเต็มบริบูรณ์อยู่แล้ว ไม่มีอะไรพร่องไป

          สิงซือถามต่อไปว่า " ในเมื่อไม่มีอะไรพร่อง ไยเจ้าต้องไปเฉาซี ? "

          ซีเซียนตอบว่า " ถ้าอาตมาไม่ไปเฉาซี จะรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาไม่มีอะไรพร่อง ? " หมายความว่า ถ้าอาตมาไม่ไปเฉาซี อาตมาก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีธรรมชาติแห่งพุทธะสมบูรณ์อยู่แล้ว

เว้นวรรคที่ว่าง


เว้นวรรคที่ว่าง

         ที่บ้านมีที่ดินมากมาย เก็บไว้ให้ลูกหลานในอนาคตได้ปลูกสร้างบ้าง ในบ้านมีเงินทองมากมาย เก็บไว้ให้คนในสังคมได้ใช้บ้าง

         เวลาจิตรกรวาดภาพ เขาจะต้องเว้นวรรคที่ว่างลงบนผืนผ้าใบ ภาพที่วาดออกมาจึงจะสวยงาม เวลาพิมพ์หนังสือ การเว้นช่องไฟ เหลือที่ว่างด้านซ้ายด้านขวาไม่ควรพิมพ์เต็มพื้นที่ ควรเว้นที่ว่างไว้บ้าง เวลาเย็บเสื้อผ้า ควรเก็บเศษผ้าชนิดเดียวกันไว้เพื่อเป็นอะไหล่ซ่อมแซมในวันหลัง

         ในครอบครัวใหญ่ เวลาหุงข้าวมักจะหุงมากอีกนิด เผื่อแขกที่ไม่ได้นัดหมายมาเยือน

          การเว้นวรรคที่ให้ผู้อื่น คนที่ได้รับย่อมดีใจ เวลาพูดจา อย่าพูดยาวนักเว้นวรรคให้คนอื่นได้พูดบ้าง หลักการสร้างบ้านกำหนดให้มีสัดส่วน 40 หรือ 60 เปอร์เซ็นต์ คือต้องเว้นที่ให้แสงสว่าง อากาศ สวนหย่อม เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต

         อวัยวะในร่างกายเรา เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมาก เพราะแต่ละส่วนจะเว้นวรรคที่ว่างไว้เสมอ เช่น ดวงตาสองข้าง คิ้วสองเส้นตั้งอยู่บริเวณหน้าผาก ที่เรียงเป็นสองแนวโดยไม่ทับซ้อนกัน ใบหูทั้งคู่ก็แยกกันอยู่คนละด้านของศรีษะสูงต่ำเสมอกัน คุณดูสิ ทั่วทั้งตัวไม่ว่าจะเป็น แขนขา ใบหน้า ล้วนมีการจัดวางไว้อย่างเหมาะเจาะลงตัว มีการเว้นวรรคที่พอเหมาะ จึงช่วยให้มีบุคลิกที่สวยงาม

Friday, October 10, 2014

ตัดเสื้อต้องวัดตัว


ตัดเสื้อต้องวัดตัว

         ในสมัยกษัตริย์หมิงซื่อจง ( ค.ศ. 1522-1566 ) แห่งราชวงศ์เหม็ง มีช่างตัดเสื้อมีชื่อคนหนึ่งอยู่ในเมืองหลวง เสื้อผ้าที่เขาตัดจะสั้นยาวพอดีดูสวยงามเหมาะสมกับคนใส่ ฉะนั้นเขาจึงมีชื่อมาก

         ครั้งหนึ่ง มีขุนนางผู้หนึ่งเรียกเขาไปหาเพื่อตัดเสื้อชุดสำหรับเข้าเฝ้ากษัตริย์ในพระราชวัง เมื่อชายผู้นั้นวัดตัวเรียบร้อยแล้วก็ถามว่า " ใต้เท้ารับราชการมาเป็นเวลานานเท่าไรแล้วขอรับกะผม ? "

         ขุนนางผู้นั้นฟังแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามเขาว่า " หน้าที่ของแกก็คือวัดตัวตัดเสื้อเท่านั้น จะรู้เรื่องเช่นนี้ไปทำไม ? "

         ช่างตัดเสื้อตอบว่า " ขุนนางหนุ่มที่เพิ่งเข้ารับราชการ เมื่อมีตำแหน่งสูงก็จะเกิดความพึงพอใจเวลาเดินจะยืดอก เมื่อตัดเสื้อก็จะต้องตัดชายเสื้อข้างหลังสั้นข้างหน้ายาว รับราชการไปได้กึ่งอายุเกษียณ จิตใจจะค่อยสงบลงบ้างเล็กน้อย เสื้อที่จะตัดก็ต้องใช้ชายเสื้อข้างหน้าและข้างหลังเท่ากัน เมื่อรับราชการมานานจวนจะครบเกษียณ จิตใจจะรู้สึกไม่สบาย เวลาเดินก้มหน้าตัวไม่ตรงเหมือนก่อน เสื้อที่ตัดก็จะต้องให้ชายเสื้อข้างหน้าสั้นข้างหลังยาว ด้วยเหตุนี้ ถ้ากระผมไม่ถามเวลารับราชการของใต้เท้าให้ชัดแล้ว จะตัดเสื้อให้เข้ารูปและถูกใจได้อย่างไรขอรับกระผม "

บันทึกใน " จี้หยวนจี้ส่อจี้ "

งูย่อมรู้ทางเลื้อย


งูย่อมรู้ทางเลื้อย

          ความหมายของบทนี้ เขาจงใจให้เรารู้ซึ้งถึงความเป็นตัวตนของเราเองว่า เรานั้นมีความถนัดหรือเชี่ยวชาญในเรื่องใดก็ควรจะดำเนินชีวิตไปในทางนั้น และยังเปรียบถึงการคบคนหรือทำธุรกิจการค้าที่ถนัดในทางนั้นย่อมจะรู้ถึงเส้นทางการค้าของกลุ่มตนดีว่าเป้าหมายนั้นคืออะไร เหมือนงูที่รู้ว่าเส้นทางไหนควรจะเลื้อยไปหรือไม่ควรจะเลื้อยไปถ้ามีอันตรายรออยู่เบื้องหน้า

          การรวมกลุ่มของพ่อค้าและนักธุรกิจนั้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากในเรื่องของกลุ่มคนที่มีความชำนาญและรู้เส้นทางของตนเองได้เป็นอย่างดี

          " หอการค้าไทย " นั้นเป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การเงินและเศรษฐกิจโดยมิได้มุ่งหวังกำไร โดยมีการช่วยแก้ไขปัญหาในการดำเนินธุรกิจให้แก่สมาชิกเพื่อเป็นการปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของระเทศชาติโดยส่วนรวม

          ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2476 โดยพ่อค้าไทยกลุ่มหนึ่งที่มีประสบการณ์ ได้มีแนวความคิดที่จะจัดตั้งหอการค้าขึ้นเช่นเดียวกับในต่างประเทศ เพื่อเป็นองค์กรกลางในการอำนวยประโยชน์ให้แก่พ่อค้าและนักธุรกิจไทย โดยทำหน้าที่ประสานงานระหว่างภารัฐบาลและเอกชนอีกทั้งร่วมมือกันส่งเสริมการค้าและปกป้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ แนวความคิดดังกล่าวนั้นได้ถูกเผยแพร่และได้รับการเห็นชอบในหมู่พ่อค้าเป็นจำนวนมาก

ออกมาไม่ได้


ออกมาไม่ได้

         สมัยราชวงศ์ถาง มีบัณฑิตเรืองนามผู้หนึ่งชื่อ หลี่เอ๋า ครั้งหนึ่งเขาไปเยี่ยมฌานาจารย์หนานเฉฺวียน ขอคำแนะนำว่า " ชายคนหนึ่งเลี้ยงลูกห่านในขวดแก้ว ต่อมาลูกห่านค่อยๆ เจริญเติบโตจนออกจากขวดแก้วไม่ได้ คนเลี้ยงห่านอยากจะช่วยชีวิตห่าน แต่ไม่คิดทุบขวดแก้วทิ้ง ขอเรียนถามอาจารย์ว่า จะมีวิธีใดรักษาห่านและขวดแก้วไว้ได้ทั้งสองอย่าง ? "

         ฌานาจารย์ได้ยินเช่นนั้น ก็เรียกอย่างฉับพลันว่า " หลี่เอา " หลี่เอ๋ารับคำทันทีว่า  " ขอรับ " ฌานาจารย์จึงยิ้มเล็กน้อย พูดว่า " ออกมาแล้ว ! "

         หลี่เอ๋าเข้าใจความหมายของฌานาจารย์หนานเฉฺวียนในที่สุด

Tuesday, October 07, 2014

มีใจร่วมกัน


มีใจร่วมกัน

         " มีใจร่วมกัน " คือการสื่อสัมพันธ์ที่มีคุณค่ายิ่ง คนที่มีใจตรงกันเรียกว่าสหาย บางคนเรียกว่าเพื่อนร่วมสำนัก เพื่อนร่วมค่าย เพื่อนร่วมเรียน

         คำว่า ร่วมใจ คือมีความตั้งใจร่วมกัน มีความคิดร่วมกัน มีเป้าหมายร่วมกัน มีมุมมองร่วมกัน คนเราแม้ว่ามีหลายอย่างต่างกัน เช่น ต่างประเทศ ต่างชนชาติ ต่างผิวพรรณ ต่างเพศ ต่างภาษา ต่างระดับ แต่ขอเพียงมีใจร่วมกัน ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ทำไม่สำเร็จ

         ในการบริหารแผ่นดิน แม้ว่าจะต่างพรรคการเมือง แต่อุดมคติเพื่อประเทศชาติต้องร่วมใจกัน ในองค์กรหนึ่ง แม้ว่าผลประโยชน์จะต่างกัน แต่เพื่อแผนพัฒนาองค์กร จึงต้องมีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน นิกายต่างๆ ในศาสนาอาจมีอุดมคติต่างกัน แต่การศรัทธาและการพัฒนาต้องมีใจร่วมกัน พี่น้องร่วมใจแข็งแกร่งดุจเพชร ในเมื่อนับถือศาสนาเดียวกัน อยู่องค์กรเดียวกัน ไยจึงมีข้อคิดเห็นแตกต่างกันมากมายได้อย่างไร ภาษิตว่า " ไม่กลัวเสือมีสามปาก แต่กลัวคนมีใจเป็นสอง " จึงเห็นได้ว่าการมีใจร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง

          พ่อแม่ไม่ร่วมใจ แม่ลูกไม่ร่วมใจ พี่น้องไม่ร่วมใจกัน โบราณท่านว่า " ครอบครัวไม่สามัคคี ข้างบ้านรุมรังแก " ในทางตรงกันข้าม คนที่แม้จะเกิดต่างสกุล แต่ร่วมสาบานเป็นพี่้น้องกัน เช่น เล่าป่ กวนอู เตียวหุย สาบานว่าร่วมกันทำการใหญ่ กระทั่งสร้างก๊กสู่ขึ้นมาได้ เรื่องราวของพวกเขายังคงเป็นที่เล่าขานมาจนถึงงทุกวันนี้ แต่ก็มีบางกลุ่มบางพวกที่แรกเริ่มร่วมใจกันทำการใหญ่ มีความรักใคร่สามัคคีปรองดองกัน นับถือเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่เมื่อการใหญ่ทำสำเร็จ กลับพากันแย่งชิงผลประโยชน์ ยื้อแย่งอำนาจบารมีกัน ต่างระแวงสงสัยกัน อย่างนี้เรียกว่า " มีทุกข์ร่วมต้าน มีสุขไม่ร่วมเสพ " เพราะความไม่ร่วมใจกันจึงต้องพังทลายในที่สุด

Monday, October 06, 2014

หมูขาวเหลียวตง


หมูขาวเหลียวตง

         นานมาแล้ว บริเวณเหลียงตง ( อยู่ด้านตะวันตกของมณฑลเหลียวหนิงในปัจจุบัน ) หมูที่ชาวบ้านเลี้ยงล้วนเป็นหมูดำทั้งสิ้น ต่อมามีแม่หมูของคนเลี้ยงหมูครอบครัวหนึ่งออกลูกหมูที่มีหนังและขนสีขาวตัวหนึ่ง คนทั้งหลายจึงเล่าลือกัน และถือว่าเป็นมงคลจะนำโชคและลาภมาให้ ควรที่จะนำลูกหมูดังกล่าวไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน

         หลังจากตกลงกันแล้ว ชาวบ้านก็ตีฆ้องตีกลองพากันแบกหมูตัวนั้นเดินทางเข้าไปในเมือง เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงบริเวณตะวันออกของแม่น้ำเหลียว ก็เห็นหมูในย่านนั้นเกือบจะพูดได้ว่าแทบทุกตัวเป็นหมูสีขาว พวกเขาจึงได้แต่มองหน้ากัน แล้วก็พากันเดินทางกลับอย่างเงียบๆ ด้วยความกระดากใจ

บันทึกใน " โห้วฮั่นซู "

Friday, October 03, 2014

หมาป่าอยู่ประตูหลัง เสืออยู่ประตูหน้า


หมาป่าอยู่ประตูหลัง เสืออยู่ประตูหน้า

         ความโชคร้ายที่มาเยือนพร้อมๆ กันจนเราทำอะไรไม่ถูกหรือตั้งหลักในชีวิตไม่ทัน




By ปรัชญา " ซามูไร "

อิทธิพลของสภาพแวดล้อม


อิทธิพลของสภาพแวดล้อม

        สมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน มีพราหมณ์กว่า 70 รูปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆ คิชฌบรรพต เนื่องจากกรรมพลในชาติปางก่อนเป็นกุศลในภพต่อๆ มา ส่งผลให้พราหมณ์เหล่านั้นควรได้รับการโปรด พระพุทธเจ้าจึงเสด็จมาสำแดงปาฏิหารย์ จนพราหมณ์เหล่านั้นต่างเลื่อมใสเป็นที่ยิ่ง ทยอยออกบวชยึดองค์พุทธะเป็นสรณะ

         พระพุทธเจ้าทรงพาพระสงฆ์ใหม่เหล่านั้นกลับวิหาร ระหว่างทางพบเห็นใบตองแห้งใบหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระสงฆ์รูปหนึ่งเก็บมันขึ้นมา แล้วตรัสถามว่า " เป็นใบอะไรหรือ ? "

         พระสงฆ์รูปนั้นทูลว่า " เป็นใบตองห่อยาเส้น ยังมีกลิ่นหอมติดอยู่ " 

         พระพุทธเจ้าทรงนำหน้าเดินต่อไป พบเชือกเส้นหนึ่งหล่นอยู่กลางทาง พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระสงฆ์รูปหนึ่งเก็บขึ้นมา แล้วตรัสถามว่า " เป็นเชือกอะไรหรือ ? "

         พระสงฆ์รูปนั้นทูลว่า " เชือกเส้นนี้มีกลิ่นคาว ใช้ร้อยปลามาก่อน " 

Thursday, October 02, 2014

จุดพักระหว่างทาง


จุดพักระหว่างทาง

       ในการสงคราม ต้องมีจุดพักระหว่างทางเพื่อให้กองทัพได้เติมเสบียง ทหารได้พักรับอาหาร จึงจะมีกำลังทำการรบได้ เครื่องบินที่บินระยะทางไกล ยังต้องแวะพักระหว่างทางเพื่อเติมเชื้อเพลิง จึงจะบินไปถึงจุดหมายปลายทางได้ หนทางชีวิตอันยาวไกล ถ้าอยากเดินไปอย่างราบรื่น จำเป็นต้องมีอุดการณ์ สติปัญญา ต้องรู้จักผูกมิตรกับผู้อื่น เป็นกัลยาณมิตรกับผู้อื่น นี่คือจุดพักระหว่างทางของชีวิต รถยนต์แล่นไปบนถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ต้องมีจุดแวะพักเติมน้ำมัน จึงจะวิ่งต่อไปในระยะไกลได้ จุดแวะพักนี้คือจุดพักระหว่างทาง

       ต้นไม้ใหญ่สามารถเป็นร่มเงาให้ผู้เดินทางได้มาพักเหนื่อย สะพานเป็นที่เชื่อมโยงนำผู้เดินทางจากฟากหนึ่งไปสู่ฟากหนึ่ง นี่ก็เป็นจุดแวะระหว่างทางของเส้นทางชีวิตเช่นกัน

       หนุ่มสาวรักกัน แต่ไม่แต่งงานกัน คบกันไประยะหนึ่งเกิดเปลี่ยนใจต่างคนต่างไป นีก็เป็นจุดแวะระหว่างทางของอารมณ์ความรัก ไปลงทุนทำธุรกิจที่ต่างประเทศ แต่ไม่คิดย้ายถิ่นย้ายสำมะโนครัวไป นี่คือจุดแวะระหว่างทางของธรุกิจ

หุบเขาลุงโง่


หุบเขาลุงโง่

         ครั้งหนึ่ง ขณะที่กษัตริย์หวนกงแห่งรัฐฉี ( เป็นกษัตริย์ของรัฐฉีสมัยชุนชิวขึ้นเสวยราชย์เมื่อ 685-643 ปีก่อน ค.ศ. ) ทรงเสด็จออกล่าสัตว์ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกวางตัวหนึ่งหนีออกจากวงล้อมวิ่งเตลิดเข้าไปในเขตเขา กษัตริย์หวนกงจึงทรงกระตุ้นม้าให้วิ่งตามเข้าไปยังหุบเขาที่สลับซับซ้อน แต่ก็หากวางตัวนั้นไม่เจอ กษัตริย์หวนกงจึงทรงควบม้ากลับ แต่แล้วก็หาทางกลับไม่ได้ ขณะที่พระองค์กำลังร้อนพระทัยอยู่นั้น ก็ทอดพระเนตรเห็นชายชรากลับไม่ได้ ขณะที่พระองค์กำลังร้อนพระทัยอยู่นั้น ก็ทอดพระเนตรเห็นชายชราผมสีขาวโพลนผู้หนึ่งแบกฟืนเดินมา

         " นี่ พ่อเฒ่า " กษัตริย์หวนกงตรัสถาม " หุบเขานี้ชื่อหุบเขาอะไร "

         ชายชราตอบว่า " ชื่อหุบเขาลุงโง่ "

         " เหตุ เหตุใดจึงชื่อว่าหุบเขาลุงโง่ล่ะ ? "

         " เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ที่นี่ตลอดมาตั้งแต่เด็กจนแก่ เขาจึงได้ชื่อของข้าพเจ้ามาเรียกหุบเขาแห่งนี้ "

         กษัตริย์หวนกงรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก พระองค์ทรงทอดพระเนตรชายชราผู้นั้นตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ตรัสว่า " ดูท่าทางท่านก็เป็นคนเฉลียวฉลาด ทำไมจึงได้ชื่อว่าลุงโง่ล่ะ ? "

         ชายชราตอบว่า " สาเหตุของมันเป็นเช่นนี้ คือแม่โคที่ข้าพเจ้าเลี้ยงไว้ออกลูกมาตัวหนึ่ง ข้าพเจ้าเลี้ยงลูกวัวตัวนี้จนโตแล้วก็นำไปขายในตลาดและซื้อลูกม้าตัวหนึ่งเอามาเลี้ยง ไม่นานเด็กหนุ่มอันธพาลในหมู่บ้านก็เข้ามาที่บ้านข้าพเจ้าพูดว่า " บ้านแกเลี้ยงแม่วัว ทำไมจึงออกลูกเป็นม้า แกคงไปขโมยม้าของคนอื่นมาแน่ๆ " พูดแล้วมันก็จูงเอาลูกม้าของข้าพเจ้าไปดื้อๆ เมื่อเพื่อนบ้านทราบเรื่องนี้เข้า ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้าพเจ้าเป็นคนโง่และได้ตั้งชื่อให้ว่า " ลุงโง่ "

         " อ้อ เรื่องเป็นมาเช่นนี้เอง " กษัตริย์หวนกงตรัสพร้อมกับทรงพระสรวล " เรื่องนี้กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องโง่จริงๆ เพราะไม่มีใครหรอกที่จะปล่อยให้คนอื่นมาจูงเอาม้าของตนไปอย่าง่ายๆ "

         ชายชราไม่พูดอะไร บอกทางที่จะไปให้แก่กษัตริย์หวนกงแล้วก็แบกหินเดินต่อไป

          เมื่อกษัตริย์หวนกงเสด็จกลับมาแล้ว วันรุ่งขึ้นพระองค์ก็นำเรื่องที่ทรงรู้สึกว่าน่าขบขันนี้เล่าให้ก่วนจ้ง ( นักการเมืองมีชื่อในสมัยนั้น ) ฟัง ก่วนจ้งฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีและรีบคุกเข่าลง กษัตริย์หวนกงจึงตรัสถามถึงสาเหตุ ก่วนจ้งทูลด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจว่า

          " ชายชราผู้นั้นหาใช่คนโง่ไม่ พวกเราทำหน้าที่ปกครองนี่แหละเป็นคนโง่ ! ถ้าหากเบื้องบนมีผู้ประเสริฐ กฎหมายก็เคร่งครัดแล้วจะเกิดเรื่องแย่งเอาลูกม้าของคนอื่นไปง่ายๆ ได้อย่างไร ถ้าเกิดขึ้นชายชราก็ย่อมจะไม่ยอมเด็ดขาด แต่เวลานี้ชายชรารู้ดีว่าขุนนางข้าราชการล้วนชอบกินสินบน บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป ไปฟ้องร้องก็ไม่เกิดประโชน์ ฉะนั้น ปล่อยให้เด็กหนุ่มอันธพาลจูงเอาม้าไปย่อมเป็นการดีกว่า ขอพระองค์ได้โปรดพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและการปกครองเถิดพะยะค่ะ


บันทึกใน " ซ่อยวน "

Wednesday, October 01, 2014

ฆ่าวัวเพื่อตัดเขา


ฆ่าวัวเพื่อตัดเขา

         ในบทนี้เป็นการสอนในเรื่องในที่ว่า การที่เราเป็นคนที่มองไม่ออกว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องไหนเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคำนึงถึง สำหรับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้างครั้งต้องปล่อยให้มันผ่านเลยไปบ้าง เพราะมัวแต่มานั่งแก้ไขเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้จนทำให้เรื่องใหญ่ที่ทำอยู่พังทลายลงไปได้

         เขาเปรียบเหมือนกับการที่ต้องฆ่าวัวทั้งตัวเพียงเพื่อจะตัดเขาของมันทั้งๆ ที่ประโยชน์ของวัวนั้นมีมากมายมหาศาลกว่าเขาที่อยู่บนหัวของมัน

         ในทางธุรกิจการค้า มันอาจจะเป็นข้อบกพร่องในเรื่องที่สามารถจะมองข้ามไปได้ เพื่อที่จะทำให้โครงการที่ทำอยู่ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดีในกลยุทธ์ของซุนวูนั้นอาจจะเปรียบได้กับคำที่ว่า " ยอมเสียส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนใหญ่ไว้ "

         ตัวอย่างที่ยกมาให้พิจารณาในเรื่องนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการแก้ปัญหาก่อนที่ทุกอย่างจะยากจนแก้ได้ไม่ทันการณ์

         " รีเอ็นจิเนียริ่ง ไม่ใช่สูตรสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องคาถาวิเศษ ซึ่งเป่าลงไปแล้วองค์กรนั้นจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่ไม่ดีเป็นดี จริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดคือเรื่องของ Management of Change พอลงมือทำแล้วจึงรู้ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นมันวุ่นวายเหนื่อยยากและเจ็บปวดขนาดไหน ภาพคนที่ทำการเปลี่ยนแปลงคือผู้ร้ายไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาว "