Wednesday, June 25, 2014

ช่วยเหลือผู้อื่น


ช่วยเหลือผู้อื่น

        มีอย่วันหนึ่ง ขณะที่ฌานาจารย์ฉานเมิ่งนั่งอ่านคัมภีร์อยู่ในห้องเจ้าอาวาส ได้ยินเสียงงัดแงะที่ริมกำแพง ท่านเดาว่าเป็นขโมยแน่ จึงกำชับพระอุปัฏฐากว่า " ช่วยเอาเงินไปให้คนที่กำลังงัดแงะหน่อย

        พระอุปัฏฐากก็เดินไปที่ห้องข้างเคียง ตะโกนเสียงดังว่า " นี่ !  อย่าทำกำแพงเสียหายเลย มาเอาเงินที่นี่ แล้วรีบไสหัวไป ! " ขโมยตกใจวิ่งหนีทันที

        พอฌานาจารย์ฉานเมิ่งรู้เข้า ก็ตำหนิพระอุปัฏฐากว่า " เจ้าตะโกนเสียงดังทำไม รู้ไหมว่าเท่ากับขู่ให้มันหนีเตลิดเปิดเปิง มันยังไม่ได้เงินอากาศก็หนาวออกอย่างนี้ มันอาจจะยังไม่ได้กินข้าวมื้อเย็นด้วยซ้ำ เจ้ารีบตามไป เอาเงินให้มันหน่อย ! "

        พระอุปัฏฐากได้ยินอาจารย์พูดเช่นนั้น เกิดสงสารขโมยผู็นั้นขึ้นมาอีกคน จึงรีบออกตามหาขโมยผู้นั้นซึ่งไม่รู้ว่าหลบไปอยู่ที่ใดเสียแล้ว

Tuesday, June 24, 2014

โลกทัศน์ที่สร้างสรรค์


โลกทัศน์ที่สร้างสรรค์

        ความจริงในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดีไปหมด และไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปหมด " เมื่อใจเกิดวิธีต่างๆ ย่อมเกิด ใจดับ วิธีต่างๆ ย่อมดับสิ้น " สุขนิยม ทุนนิยม ย่อมมีเหตุจากภายนอก แต่ส่วนใหญ่มักเกิดจากตัวเองเป็นเหตุ

         มีพระราชาองค์หนึ่ง ตอนออกไปล่าสัตว์ โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุข้อพระหัตถ์หักไปข้อหนึ่ง ถามข้าราชบริพารว่าควรจะทำอย่างไร ข้าราชบริพารตอบด้วยสุขนิยมว่า " นี่เป็นเรื่องดี " พระราชาได้ยินดังนั้น ทรงกริ้วมาก หาว่าขุนนางผู้นั้นสุขบนกองทุกข์ของผู้อื่นจึงจับขุนนางผู้นั้นเข้าคุก หนึ่งปีผ่านไป พระราชาเสด็จไปล่าสัตว์อีก ถูกคนป่าจับตัวไปจับมัดไว้บนแท่น เตรียมทำพิธีบูชายัญ พ่อมดเกิดเห็นว่าระองค์มีข้อพระหัตถ์หายไปข้อหนึ่ง ถือว่าเป็นเครื่องเซ่นที่ไม่สมบูรณ์ จึงปล่อยตัวพระราชาไป เปลี่ยนเอาตัวขุนนางไปเซ่นแทน พระราชาโชคดีรอดชีวิตมาได้ จึงคิดถึงขุนนางผู้มองโลกในแง่ดีที่จำคุกอยู่ว่าเคยกราบทูลว่าที่พระองค์ข้อมือหักถือเป็นเรื่องดี พระราชาจึงสั่งปล่อยตัวขุนนางผู้นั้น และขอโทษที่เขาต้องจำคุกโดยไม่มีความผิด ขุนนางผู้นี้ยังคงกล่าวอย่างมองโลกในแง่ดีว่า " การถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีก็เป็นเรื่องดี ถ้าข้าพระองค์ไม่ติดคุก แล้วต้องติดตามพระองค์ไปล่าสัตว์ ลองคิดดูสิว่าคนที่ต้องถูกจับไปบูชายัญแทนฝ่าบาทคือใคร ? "

        ดังนั้น เรื่องดีไม่แน่ว่าจะดีหมด เรื่องร้ายก็ไม่แน่ว่าจะร้ายหมด พระพุทธศาสนาสอนว่า " อนิจจังไม่เที่ยง " ทุกเรื่องสามารถเปลี่ยนเป็นดีได้ และก็เปลี่ยนเป็นร้ายได้เช่นกัน คนที่มองโลกในแง่ร้าย มักจะเป็นทุกข์เพราะคิดอยู่เสมอว่าตนเองเหลือเงินอยู่ล้านเดียว ส่วนคนที่มองโลกในแง่ดี กลับคิดอยู่เสมอว่าคนเองโชคดีที่ยังมีเงินอยู่หนึ่งหมื่น

Monday, June 23, 2014

ไม่คำนึงว่าเป็นญาติหรือศัตรู


ไม่คำนึงว่าเป็นญาติหรือศัตรู

        กษัตริย์ผิงกงแห่งรัฐจิ้นตรัสถามฉีหวงหยางว่า " ที่อำเภอหนานหยางขาดนายอำเภอ ท่านเห็นควรจัดให้ใครปรับหน้าที่ ? "

        ฉีหวงหยางทูลอย่างไม่ลังเลใจว่า " ควรให้เซี่ยหูไปรับหน้าที่เขาเป็นคนที่เหมาะสม "

        กษัตริย์ผิงกงทรงประหลาดพระทัยตรัสถามว่า " เชี่ยหูเป็นศัตรูคู่แค้นของท่านมิใช่หรือ ? "

        ฉีหวงหยางทูลว่า " พระองค์ถามว่าใครเหมาะสมจะไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอ ไม่ได้ทรงถามว่าใครเป็นศัตรูของข้าพระองค์พะย่ะค่ะ "

        ด้วยเหตุนี้กษัตริย์ผิงกงแห่งรัฐจิ้นจึงจัดให้เซี่ยหูไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอ ผลก็คือเขาทำการปกครองได้ดี ราษฎรพากันชมเชย

        ต่อมาไม่นาน กษัตริย์ผิงกงก็ตรัสถามฉีหวงหยางอีกว่า " เวลานี้ราชสำนักขาดตุลาการ ท่านเห็นว่าใครเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนี้ "

        ฉีหวงหยางทูลว่า " ฉีหวู่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้พะย่ะค่ะ "

        กษัตริย์ผิงกงจึงตรัสถามด้วยความประหลาดพระทัยว่า " ฉีหวู่เป็นลูกชายของท่านมิใช่หรือ ? ท่านเสนอลูกชายขึ้นรับตำแหน่งไม่กลัวคนนินทาลับหลังหรือ ? "

        ฉีหวงหยางทูลตอบว่า " พระองค์ทรงถามว่าใครสมควรจะรับตำแหน่งตุลาการ มิได้ถามว่าฉีหวู่เป็นบุตรของข้าพระองค์หรือมิใช่ "

        เมื่อฉีหวู่ดำรงตำแหน่งตุลาการแล้วก็ดำเนินตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทำการขจัดความชั่วร้ายต่างๆ จนเป็นที่ยกย่องสรรเสริญกันทั่วไป

        เมื่อขงจื้อได้ฟังเรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก็กล่าวชมว่า " ดีมากฉีหวงหยางเสนอคนโดยไม่คำนึงว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ช่างเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัวจริงๆ ? "

บันทึกใน " หลี่ซื่อชุนชิว "

Wednesday, June 18, 2014

หินที่หายไป


หินที่หายไป

         ความสัมพันธ์ดีๆ ที่หายไป และไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้


By ปรัชญา " ซามูไร "

Monday, June 16, 2014

ไม่เข้าใจจิตแบบฌาน


ไม่เข้าใจจิตแบบฌาน

        ครั้งหนึ่ง ฌานาจารย์หลินจี้ตามหลวงจีนในวัดออกไปใช้แรงงานประจวบกับฌานาจารย์หวงเนี่ยเดินผ่านมา หลินจี้จึงยืนท้าวจอบนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว หวงเนี่ยก็ถามว่า " เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่ ? "

        หลินจี้ตอบว่า " อาตมายังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย จะเหนื่อยได้อย่างไร ? "

       หวงเนี่ยได้ยินดังนั้น ก็หวดไม้พลองใส่หลินจี้ หลินจี้ใช้มือกันไว้แล้วผลักหวงเนี่ยล้มลงกับพื้น จากนั้น โน้มตัวไปข้างหน้าจะประคองหวงเนี่ยลุกขึ้น

       หวงเนี่ยพูดว่า " ไม่ต้องหรอก อาตมายังไม่ล้ม ต้องให้ท่านช่วยประคองด้วยหรือ ? "

Friday, June 13, 2014

เกมเลขคณิต


เกมเลขคณิต

        ตัวเลขพูดได้ ตัวเลขคือมายา ปัจจุบันคือยุคสมัยของตัวเลข จากตัวเลขรายได้ของประชากร ทำให้รู้ว่าเศรษฐกิจ กำลังความสามารถ และอนาคตของประเทศชาติมีความเป็นไปในทิศทางใด หรือแม้แต่การแสดงออกของข้าราชการ การเมือง ผลของการบริหารประเทศ ล้วนสามารถประเมินดูได้จากตัวเลข

        ตัวเลขสามารถทำให้ผลของนามธรรมปรากฎออกมาเป็นรูปธรรมให้เห็นสมัยนี้มีการเรียนการสอนวิชาสถิติ ทำให้เห็นว่าตัวเลขมีความสำคัญเพียงใด

         คุณจะลงสมัครรับเลือกตั้ง คุณต้องประเมินก่อนว่าคุณมีความเป็นไปได้ที่จะชนะมากน้อยแค่ไหน คุณคิดจะทำธุรกิจการค้า คุณก็ต้องคำนวณดูก่อนว่าคุณมีเงินลงทุนเพียงพอหรือไม่

         คนบางคนชอบเอาสถิติตัวเลขมาเป็นรายงาน มาเป็นข้อชี้แจง กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ข้อมูลที่มา แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนมากที่ไม่ชอบพูดถึงตัวเลข เช่น อายุ น้ำหนักตัว รอบเอว เงินเดือน บัญชีธนาคาร เป็นต้น

ขงจื้อกับศิษย์


ขงจื้อกับศิษย์

         วันหนึ่งจื่อเซี่ยศิษย์คนหนึ่งของขงจื้อถามขงจื้อว่า " หยวนหุยคนนี้เป็นอย่างไร ? " ขงจื้อตอบว่า " หยวนหุยเป็นคนมีเมตตาธรรมดีกว่าข้าพเจ้า "

         จื่อเซี่ยถามต่อไปว่า " จื้อกงเป็นคนอย่างไร ? " ขงจื้อตอบว่า " จื้อกงมีฝีปากเหนือกว่าข้าพเจ้า "

         จื่อเซี่ยถามต่อไปอีกว่า " จื่อลู่เป็นคนอย่างไร ? " ขงจื้อตอบว่า " ความกล้าหาญของจื่อลู่นั้นข้าพเจ้าสู้ไม่ได้ "

         จื่อเซี่ยถามอีกว่า " จื่อจางเป็นคนอย่างไร ? " ขงจื้อตอบว่า " จื่อจางมีความเคร่งครัดมากกว่าข้าพเจ้า "

         จื้อเซี่ยได้ฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ ลุกขึ้นยืนถามว่า " เมื่อพวกเขาต่างเหนือกว่าท่าน แล้วทำไมพวกเขาถึงได้ยินดีศึกษาจากท่านโดยถือท่านเป็นครูเล่า ? "

         ขงจื้อตอบว่า " นั่งลง ฟังข้าพเจ้าอธิาย หยวนหุยนั้นมีเมตตาธรรมดาขาดความพลิกแพลง จื่อกงมีฝีปากดีแต่ถ่อมตัวน้อยไปหน่อย จื่อลู่กล้าหาญมากแต่ไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ส่วนจื่อจางถึงจะเคร่งครัดแต่ก็เข้ากับคนไม่ได้ ทั้งสี่คนนี้ แต่ละคนมีจุดดีและก็มีจุดด้อยของตน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยินดีสมัครเป็นศิษย์ศึกษาจากข้าพเจ้า "

บันทึกใน " เลี่ยจื่อ "

Thursday, June 12, 2014

ไข่ลูกกลม ตัดเป็นเหลี่ยม


ไข่ลูกกลม ตัดเป็นเหลี่ยม

        เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งกับความหมายของคำคำนี้ คนญี่ปุ่นเขาเปรียบกับไข่ลูกกลมๆ ที่เรารู้จักและเห็นกันอยู่ เมื่อเอามาหั่นหรือตัดเป็นชิ้นเล็กๆ นั้นมันสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้หลายรูปทรงอย่างที่เราต้องการ จะให้เป็นเสี้ยวเป็นเหลี่ยม จะกี่เหลี่ยมอย่างไรก็สุดแต่ใจปรารถนา

        เขาเปรียบกับการพูดจาของคนที่ถึงแม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เนื้อหาที่เพิ่มเติม ท่วงทำนองหรือน้ำเสียงในการพูดอาจจะทำให้เกิดความเสียหายหรือผิดใจกันได้ ลองดูง่ายๆ โดยการตั้งคำถามว่า " กินข้าวมาหรือยัง ? " แล้วลองพูดตอบว่า " กินแล้ว " ในน้ำเสียงที่แตกต่างกัน น้ำเสียงที่อ่อนโยน น้ำเสียงที่กระชากดุดัน น้ำเสียงที่ตอบแบบห้วนๆ ถ้าเราเป็นคนฟัง เราจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เพราะเรื่องคำพูดนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ควรจะต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่ง

        และอีกความหมายหนึ่ง เขาพยายามเปรียบเทียบให้เราที่เป็นคนยุคใหม่ต้องระมัดระวังในเรื่องต่างๆ ด้วยว่า ควรทำอะไรให้เหมาะสมกับเวลาและโอกาสจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

Monday, June 09, 2014

จักษุแห่งพุทธะ


จักษุแห่งพุทธะ

         มีอยู่วันหนึ่ง ฌานาจารย์เต้าอู๋ ศิษย์ผู้น้องถามฌานาจารย์หยุนเหยี่ยน ศิษย์ผู้พี่ว่า " พระโพธิสัตว์กวนอิมที่ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ มีพันกร พันจักษุ มิทราบจักษุดวงไหนคือจักษุที่แท้ ?

         หยุนเหยียน ตอบว่า " เปรียบได้กับเจ้านอนหลับไป หมอนหล่นลงจากเตียงสู่พื้น ถึงเจ้าไม่ลืมจักษุ ก็เอื้อมมอืเก็บหมอนขึ้นมาหนุนใหม่ได้ ขอถามว่าขณะนั้นเจ้าใช้จักษุอะไรเก็บหมอนขึ้นมา ? " เต้าอู๋ได้ยินเช่นนั้น ก็พูดคล้ายเข้าใจแจ่มแจ้งว่า " อาตมาเข้าใจแล้ว ทั่วร่างมีจักษุ "

         หยุนเหยียนยิ้มเล็กน้อยพูดว่า " เจ้าเข้าใจเพียงแปดส่วน "

         เต้าอู๋ไม่เข้าใจ ก็ถามไปว่า " ไฉนท่านกล่าวเช่นนี้ ? "

         หยุนเหยียนจึงตอบว่า " ตลอดร่างคือจักษุ " 

เราคือผู้บงการ


เราคือผู้บงการ

        เราคือผู้บงการเรื่องทุกข์สุขดีใจเสียใจด้วยตัวเราเอง ความสำเร็จหรือล้มเหลว เราก็ควรเป็นผู้บงการเอง ชีวิตจะไปทางใด เราคือผู้บงการเอง จะเป็นราชาเป็นยาจก เป็นสัตบุรุษ เป็นนักปราชญ์ เรายิ่งต้องเป็นผู้บงการเอง คนเราควรเป็นเจ้าของชีวิตของตนเอง

        โบราณท่านว่า " ไม่มีใครเกิดมาก็เป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเป็นพระอารยะโดยธรรมชาติ " ทุกอย่างต้องอาศัยความวิริยะของตนเอง ขอเพียงแต่คุณพยายามบากบั่นสู้ไป คุณย่อมได้ในสิ่งที่ควรได้

         ในโลกนี้... มีคนบางคนต้องตกเป็นทุกข์ ด้วยคำพูดไร้สาระของคนอื่นเพียงประโยคเดียว ทำให้ถึงกับกินไม่ได้ บางคนทำตัวห่อเหี่ยวกลัดกลุ้ม นอนไม่หลับ เพราะความไม่พอใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คนประเภทนี้ ชีวิตจะสุขจะทุกข์ถูกผู้อื่นควบคุมบงการไว้หมด ถ้าคุณอยากดีใจก็ชมคุณสักคำสองคำ อยากทุกข์ก็วิจารณ์ว่าร้ายคุณสักหน่อย มีชีวิตอยู่ในกำมือของผู้อื่น ช่างน่าเวทนาเสียจริง

         เล่ากันว่าท่านท้าวสุวรรณในนรก รับบัญชาจากท่านยมบาลให้มาบอกคนบนโลกมนุษย์ว่ายังมีชีวิตเหลืออยู่อีกกี่ปี

         ท้าวสุวรรณนั่งอยู่ริมทางเดิน ในมือถือกระดิ่ง พูดกับนาย ก. ที่ปลดเกษียณเดินทางกลับบ้านเกิดว่า " เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ ๓ เดือน เมื่อครบ ๓ เดือน ข้าจะไปสั่งกระดิ่งที่บ้านเจ้า เมื่อเจ้าได้ยินกระดิ่ง ชีวิตเจ้าก็จะดับทันที " ท้าวสุวรรณสั่นกระดิ่งอีกครั้ง พูดกับนาย ข. พ่อค้าที่เดินทางผ่านมาว่า " เจ้าจีมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ ๓ เดือนเช่นกัน เมื่อครบ ๓ เดือน ข้าจะไปสั่นกระดิ่งที่คฤหาสน์เจ้า แล้วชีวิตเจ้ก็จะดับตามเสียงกระดิ่งของข้า "

Thursday, June 05, 2014

เฉิงจื่อตามหาเสื้อ


เฉิงจื่อตามหาเสื้อ

        ในรัฐซ่งมีชายคนหนึ่งชื่อเฉิงจื่อ วันหนึ่งเสื้อสีดำของเขาหายไป จึงออกเที่ยวตามหาตามตลาด พอเขาเห็นหญิงคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้าสวมเสื้อสีดำ เขาก็รีบวิ่งตามไปและดึงชายเสื้อของผู้หญิงผู้นั้นไว้พร้อมกับพูดว่า

        " เสื้อสีดำของข้าหายไป เสื้อสีดำตัวนี้จะต้องเป็นเสื้อของข้าแน่ๆ ! "

        หญิงผู้นั้นตกตะลึงรีบกล่าวว่า " เสื้อของท่านหายเป็นเรื่องของท่าน แต่เสื้อตัวนี้เป็นของฉันไม่ใช่ของท่าน "

        เฉิงจื่อจับชายเสื้อพลิกขึ้นดู แล้วก็พูดอย่างดีใจด้วยเสียงอันดังว่า 

        ใช่แล้ว เสื้อตัวนี้เป็นของข้า แกยังจะไม่ยอมคืนให้ข้าอีกหรือ เสื้อของข้าที่หายไปนั้นซับในเป็นผ้าแพร แต่เสื้อตัวนี้ซับในเป็นผ้าฝ้าย แกเปลี่ยนซับในจากแพรเป็นผ้าฝ้ายแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ ? "

บันทึกใน " หลี่สื้อชุนชิว "

Wednesday, June 04, 2014

ภูเขาสูงจากฝุ่น


ภูเขาสูงจากฝุ่น

        เรื่องเล็กน้อยที่ซ่อนทับถมไว้ วันหนึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่ได้



By ปรัชญา " ซามูไร "

Tuesday, June 03, 2014

เรียกร้องเอาจากตัวเอง


เรียกร้องเอาจากตัวเอง

         ฌานาจารย์หลินจี้ไปเยี่ยมฌานาจารย์หัวเหยียนที่ซางหยาง กลับเห็นฌานาจารย์หัวเหยียนยืนสัปหงกมือยันไม้เท้าอยู่ ฌานาจารย์หลินจี้จึงเขย่าตัวท่านเบาๆ ปลุกให้ตื่น แล้วถามว่า " หลวงจีนในอารามล้วนตั้งใจศึกษาธรรมะหมั่นบำเพ็ญเพียร ไฉนท่านยืนสัปหงกอยู่ที่นี่ ? "

         ฌานาจารย์หัวเหยียนตอบว่า " ผู้ที่บำเพ็ญเพียรได้ผลอย่างแท้จริงล้วนมีทีท่าและพฤติกรรมผิดแผกจากพระทั่วไป ท่านไม่ควรเอาอาตมาไปเปรียบกับคนส่วนใหญ่ ! "

         หลินจี้รีบถามว่า " ถ้าเช่นนั้น ขณะที่ท่านแนะนำสั่งสอนผู้ปฏิบัติฌานแต่ละคน วีธีสอนจึงแตกต่างกันใช่หรือไม่ ? " ถามจบ ก็ตะโกนสั่งว่า " พระอุปัฏฐากคือผู้ใด ? รีบรินน้ำชาให้อาจารย์หัวเหยียน ผู้บำเพ็ญเพียรได้ผลท่านนี้ จงเร็ว "