Thursday, February 27, 2014

รู้หนึ่งแจ้งสิบ


รู้หนึ่งแจ้งสิบ

         สมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่นั้น มีพราหมณ์รูปหนึ่งขออนุญาตพบพระพุทธเจ้าเพื่อสนทนาธรรม ท่านทูลถามพระพุทธเจ้าว่า " หม่อมฉันไม่ทูลถามสิ่งที่ไม่ทราบจะทูลอย่างไร และไม่ทูลถามสิ่งที่ฉันไม่อาจทูลได้ ขอทูลถามท่านภควันตะ สิ่งนี้คืออะไร ? "

         พระพุทธเจ้าได้ยินแช่นนั้น จึงนั่งหันหน้าเข้าหา แต่ไม่ตรัสสิ่งใดแม้แต่คำเดียว พราหมณ์ผู้นั้นกลับพูดยกย่องด้วยความจริงใจว่า " พระพุทธผู้ทรงเมตตา เพียงได้สดับปัญหาที่ฉันไม่ทราบ ก็ทรงประทานความกระจ่างแก่ฉัน ทรงช่วยให้ฉันบรรลุธรรม "

          พระอานนท์อยู่ข้างๆ ทูลถามด้วยความประหลาดใจว่า " ติตถิยะ ( นักบวชนอกศาสนา ) ผู้นี้ บรรลุอะไรกันแน่ ? ไฉนจากไปด้วยความปลื้มปีติเช่นนั้น ปัญหาที่เขาถาม พระองค์ท่านก็มิได้ตรัสตอบแม้แต่คำเดียวแตเขากลับทราบ กลับบรรลุธรรมได้อย่างไร ?

Wednesday, February 26, 2014

ถนอมบุญวาสนา


ถนอมบุญวาสนา

         ในโลกนี้... สิ่งที่จะต้องถนอมรักมีมากมาย เงินทองคุณต้องถนอมรัก ญาติสนิทคุณต้องถนอมรัก แม้แต่ประเทศชาติ สังคม หมู่คณะทั้งหมด คุณควรถนอมรักทั้งสิ้น

         คนเรา... ก่อนอื่นต้องถนอมรักตนเอง จากนั้นจึงรักพ่อแม่ รักภรรยาบุตรธิดา รักพี่รักน้อง รักสหาย รักเพื่อนบ้าน ขยายกว้างออกไปถึงคนทุกคนที่เราได้ติดต่อสัมพันธ์ด้วย ไม่ว่าเพื่อนสนิทหรือไม่สนิท ก็ควรต้องถนอมรัก

         คนเรา... ควรมีการถนอมน้ำใจ ถนอมสิ่งของ ถนอมเวลา ถนอมรัก แม้แต่บัณฑิตจีนในสมัยโบราณท่านยัง " ถนอมกระดาษเคารพอัษร " ไปจนถึง " ถนอมน้ำดุจทองคำ " แสดงให้เห็นถึงคุณธรรมอันงดงามของชีวิตในอีกประเภทหนึ่ง

         ในการถนอมรักประเภทต่างๆ นี้ การถนอมบุญวาสนาเป็นบุญกุศลที่สำคัญยิ่ง เจ้าแมวเหมียว หมาน้อย เรามีบุญวาสนากับมัน จึงถนอมมิตรสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ไม้ดัดในสวน เรามีบุญวาสนาได้พบปะกับมันทุกวัน จึงไม่อยากให้มันถูกทำลาย คนอื่นให้บุญวาสนากับเรา เราถนอมรักคุณค่าที่หาได้ยากนี้ และต้องพัฒนาบุญวาสนานี้ให้งดงามยิ่งขึ้น

Tuesday, February 25, 2014

มองความราบรื่นและอุปสรรคไม่ต่างกัน ก็จักลืมทั้งความดีใจและเสียใจ




ลูกเกิดแม่อันตราย
มั่งมีโจรคอยจ้อง
ความยินดีใดที่ไร้ทุกข์ ?
ยากจนก็อาจประหยัด
ป่วยก็สนใจสุขภาพ
ความทุกข์ใดที่ไร้ความยินดี ?
ผู้รู้แจ้งจึงเห็นความราบรื่นกับอุปสรรคเป็นเช่นเดียวกัน
ลืมทั้งความดีใจและเสียใจไปสิ้น

นิทัศน์อุทาหรณ์

ขึ้นๆ ลงๆ 

        เมื่อท่านตกฟากเปล่งเสียงร้องอุแว้ออกมาเป็นครั้งแรก ท่านคงจะไม่รู้ว่า ในระหว่างการคลอดท่านั้น มารดาท่านไว้วนเวียนอยู่ริมขอบเหวแห่งอันตรายอย่างไร มหาเศรษฐีมีเงินท่วมหัว ก็เป็นกังวลอยู่แต่ว่าจะถูกโจรปล้นหมดตัว

        การกำเนิดของชีวิตและการมีเงินมหาศาล ดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่มันก็ดีด้านที่น่าวิตกอีกด้านหนึ่ง จึงเห็นได้ว่า ในความยินดีปรีดาก็แฝงเร้นไว้ซึ่งความวิตกอยู่ด้วย

        คนบางคนยากจนต้องโอดครวญเพราะความทุกข์ ครั้นเมื่อเขาพอจะเงยหน้าอ้าปากได้ก็รู้ว่า การประหยัดมัธยัสถ์ทำให้เขามั่งมี คนบางคนป่วยหนักไปครั้งหนึ่ง เมื่อหายป่วยแล้วก็รู้จักรักษาสุขภาพถนอมร่างกาย นับแต่นั้นมาก็แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น

Monday, February 24, 2014

สามคนกลายเป็นเสือ


สามคนกลายเป็นเสือ

         ในสงครามระหว่างรัฐ ( จั้นกวอ ) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีรัฐประเทศเล็กๆ อยู่หลายรัฐ ซึ่งแต่ละรัฐมักก่อสงครามรบพุ่งกันเสมอ จึงถือได้ว่ายุคนั้นเป็นยุคแห่งการสงคราม

          ในยุคนั้นมีรัฐ ๒ รัฐที่มีเขตแดนติดกันคือ รัฐเว่ยและรัฐเจ้า และเพื่อเป็นคำมั่นของการเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อต้องการหยุดสู้รบ ทั้ง ๒ รัฐจึงได้ตกลงที่จะแลกเปลี่ยนคนซึ่งกันและกันเพื่อเป็นหลักประกัน ดังนั้นอ๋องรัฐเว่ยจึงส่งบุตรชายคนเดียวของตนไปเป็นตัวประกันในเมืองหลวงรัฐเจ้า ทั้งยังส่งขุนนางชั่นสูงนาม ผางชง เดินทางไปยังรัฐเจ้าด้วยเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้องค์รัชทายาทแห่งรัฐเว่ย

          ผางชง เป็นขุนนางที่มีความรู้ความสามารถอย่างยิ่ง ในวังหลวงจึงมีขุนนางอื่นที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเขามากมายเนื่องจากความริษยา ดังนั้นเขาจึงเกรงว่าหากตนเองเดินทางออกจากวังหลวงแล้วจะมีผู้ไม่หวังดีมาเพ็ดทูลให้ร้ายตน ดังนั้นก่อนออกเดินทาง เขายึงกล่าวกับอ๋องรัฐเว่ยว่า

Saturday, February 22, 2014

เหล้าเปรี้ยวกับหมาดุ


เหล้าเปรี้ยวกับหมาดุ

         ที่รัฐซ่งมีร้านขายสุราร้านหนึ่งขายเหล้ารสดีที่เก็บไว้นานปี โดยเฉพาะเจ้าของร้านก็อัธยาศัยดีและไม่เอาเปรียบลูกค้า ที่หน้าร้านของเขาก็ชักธงเครื่องหมายร้านขายเหล้าไว้เด่นชัด คนอยู่ไกลหลายลี้มองมาก็เห็น พอมีคนเข้ามาในร้าน เจ้าของร้านก็จะต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม มารยาทที่อ่อนโยน

         จากสภาพดังกล่าวนี้เขาควรจะขายเหล้าได้ดีแต่ความจริงกลับตรงกันข้าม บางวันกลับไม่มีคนเข้ามาในร้านของเขาเลย ด้วยเหตุนี้ไหเหล้าที่เปิดแล้วเมื่อขายไม่ได้นานวันเข้าเหล้าก็มีรสเปรี้ยว

         เจ้าของร้านคิดแล้วคิดอีกก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ในที่สุดเขาก็ไปถามชายชราที่อยู่ไม่ไกลจากร้านของเขา ชายชราผู้นั้นฟังแล้วนิ่งคิดนิดหนึ่งถามเขาว่า

          " หมาเฝ้าร้านของท่านดุไหม "

          เจ้าของร้านมีสีหน้าแสดงความประหลาดในคำถาม แต่ก็ตอบว่า

          " ดุมาก แต่มันเกี่ยวข้องอะไรกับการขายเหล้าด้วยล่ะ ? "

         ชายชราลูบหนวดกล่าวตอบว่า " คนกลัวหมาดุที่ท่านเลี้ยง เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้เหล้าจะดี แต่ใครเล่าจะกล้าเข้ามาในร้าน "


บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

กินให้... พออิ่ม


กินให้... พออิ่ม

         เป็นหลักการอีกหลักการหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในสุภาษิตญี่ปุ่น ซึ่งคนญี่ปุ่นต่างรู้ดีว่าการกินมากๆ หรือเรียกแบบชาวบ้านว่า " กินแบบตะกละตะกราม " หรือกินจนพุงแตกนั้นทำให้เราไม่สบายตัว ไม่สบายท้อง

          จะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่เอามาอ้างว่าเป็นเพราะอาหารนั้นแสนอร่อย หรือเพราะความอยากกินนั้น ล้วนแต่ไม่ก่อให้เกิดเป็นผลดีต่อร่างกาย

         ถ้าหากเราหันมามองเปรียเทียบในเรื่องการทำธุรกิจการค้านั้น น่าจะหมายถึงการทำการค้าอะไรก็ตามที่ทำด้วยความพอดี พอกับกำลังของตนเองไม่ทำแบบโลภโมโทสันเกินควร หรือการค้าที่แสวงถึงผลกำไรจนเกินควร เกินงาม ที่อาศัยความผูกขาด ความได้เปรียบและช่วงชิงตลาดจนน่ารังเกียจ

          " การกินให้พออิ่ม " ในความหมายในเรื่องของการใช้ชีวิตก็เปรียบเหมือนการดำเนินชีวิตในทางสายกลาง ไม่ตึงเกินไปหรือไม่หย่อนยานจนเกินไป มีชีวิตที่เพียงพอ รู้จักอดทนและอดออม ช่วยเหลือผู้อื่นตามความสามารถของตนไม่เกินกำลังจะช่วยเหลือได้

         หากเราทำได้ก็จะช่วยให้เราเข้าใจชีวิตของเรามากขึ้น




By ปรัชญา " ซามูไร "

เชื่อหรือไม่ ตามใจ


เชื่อหรือไม่ ตามใจ

         พระเซ็น นาริโอะ ชินซาโตรุ เป็นชาวยามาโตะในนครหลวงของญี่ปุ่น ออกบวชตั้งแต่อายุ ๑๗ ศึกษาเซ็นจากอาจารย์ ไทเกน มูเนซาเนะ ในวัดอากาโน่ โฮออนจิ จนสำเร็จ เมื่อท่านอายุได้ ๔๐ ก็ตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเล ตั้งใจไปศึกษาเซ็นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในประเทศจีน

         ขณะที่เรือเพิ่งออกจากฝั่งได้ไม่นาน ก็เกิดลมพายุอย่างฉับพลัน ผู้โดยสารทั้งหมดต่างอกสั่นขวัญหาย ตกอยู่ในสภาพโกลาหล ทำอะไรไม่ถูก ยกเว้นพระเซ็นนาริโอะยังคงนั่งนิ่ง สวดมนต์วิงวอนให้พระโพธิสัตว์กวนอิมคุ้มครอง

        เสียงสวดมนต์ที่เรียบเย็นแต่อบอุ่นของท่านนี้ ทำให้ผู้โดยสารทั้งหมดค่อยๆ สงบลง กระทั่งมีบ้างบางคนนั่งลงสวดมนต์ตามท่าน

        เมื่อเรือเข้าเทียบฝั่งที่เกาะคาโกะชิมาโดยสวัสดิภาพ ผู้โดยสารที่รอดตายทั้งหมดต่างยกย่องพระเซ็น นาริโอะ ว่า อิกุซาโตรุ ( พระเป็น ) 

Friday, February 21, 2014

The Epilogue


The Epilogue

          It can truly be said that religions are the product of fear, and this fear is in turn based on ignorance as someone said :... the symbols of the divine show up in our world initially at the trash stratum. That is why, during the Buddha's time, belief in God was quite prevalent. In act, the ideas about God and his attributes differ from one religions tradition to another, giving rise to conflicts as to whose God is the one and true God. Of course, each of them claims their God to be the real one, but that has hardly solved the problem. Actually, gods and goddesses, were created by man, and worshipped by man as the old Indian Thought during the Buddha's time had claimed Brahma to be the Creator, the head of all these deities and the Supreme Godhead who created the universe and everything in it.

         On the contrary, the Buddha considered all deities merely as sentient beings in different planes of existence, subject like man, to the law of change and impermanence. The Buddha did not claim any divine affinity, so Buddhism is a religion of self - help, therefore the foremost duty of a Buddhist is to understand the supreme position of a human being and one's responsibility toward both oneself and fellow sentient beings.

         According to Buddhism, humanity's position is supreme. Human beings are their own masters, endowed with great potential, from mundane material concerns up to the higher spiritual achievements. Freedom and thought should therefore be considered an integral ingredient of the Buddhist attitude, because Buddhism is a religion which put wisdom to the fore rather than faith. Intelligent and honest inquiries are not only welcomed but also encouraged.

         Nevertheless, for many people, Buddhism is nothing more than a system of personal beliefs and ritual worship centered on some popular monks. This way of life under such beliefs, which is not exactly what the Buddha's teaching is.

ปัจฉิมบท


ปัจฉิมบท

         ศาสนาคือผลิตผลของมนุษย์อันเนื่องมาจากความกลัว และเป็นความกลัวที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งอวิชชา ดังที่มีผู้กล่าวว่า " สัญลักษณ์ของการมีเทพเจ้า ครองใจคนมาตั้งแต่แรกที่โลกมนุษย์ " ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงพากันหาที่พึ่งพิง ในที่สุดเกิดความเชื่อในเรื่องพระเจ้าที่มนุษย์นั้นเองเป็นผู้สร้างคุณลักษณะของพระองค์ขึ้นมาเพื่อกราบไหว้บูชา จนในบางครั้งเกิดปัญหาความขัดแย้งทางความคิดขึ้นมาว่าพระเจ้าองค์ใดคือองค์ที่แท้จริง ความจริงแล้วเหล่าเทพบุตรเทพธิดาทั้งหลาย ก็คือสิ่งที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ ดังเช่น ชาวอินเดียในสมัยพุทธกาลเชื่อว่า มีพระพรหมดำรงเป็นองค์ประธานทรงมีอำนาจเหนือองค์เทวะทั้งหลาย พระองค์เป็นผู้สร้างโลกตลอดจนสร้างสรรพสิ่งในสากลพิภพ

         ตรงข้ามกับคำสอนในทางพุทธศานา ท่ามกลางความเชื่อดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้มนุษย์หันกลับมาพึ่งพาตนเองโดยไม่ต้องยึดติดในพระเจ้าองค์ใด พระพุทธองค์ทรงถือว่าเหล่าเทพทั้งมวลก็เป็นเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะมีความแตกต่างกันก็ด้วยภพด้วยภูมิ แต่ทั้งเทพและสรรพสัตว์ย่อมหนีไม่พ้นจากความไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง

         ดังนั้น ผู้ที่เป็นชาวพุทธจึงควรหันมาทำความเข้าใจในหลักคำสอนทางพุทธศาสนา ซึ่งจัดเป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาปัญญาโดยการซักถามหาคำตอบด้วยความบริสุทธิ์ใจมากกว่าที่จะสอนให้เชื่อให้ศรัทธาแต่เพียงอย่างเดียว พุทธศาสนาสอนให้เรามีความรับผิดชอบต่อตนเองและต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันเพราะพุทธศาสานถือว่า ความเมตตาที่พึงมีต่อกัน เป็นสิ่งจำเป็นทีอยู่เหนือสิ่งอื่น พุทธศาสนาเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ในการที่จะบรรลุวัตถุธรรมและคุณธรรมทางด้านจิตวิญญาณได้ด้วยบูรณการทางความคิดที่เป็นอิสระต่อความเชื่อความศรัทธาทั้งหลาย ไม่เพียงแต่พากันนับถือพุทธศาสนาด้วยการติดยึดอยู่ในนตัวบุคคล พากันหลงใหลกราบไหว้บูชาอยู่เฉพาะกับพระบางรูปองค์ตามกระแสนิยม เพราะการยึดมั่นถือมั่นเช่นนั้น มีแต่จะทำให้การดำรงชีวิตผิดและเบี่ยงเบนไปจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์

Friday, February 14, 2014

อย่าเหนื่อยกายเหนื่อใจไร้ประโยชน์ พึงรื่นเริงบันเทิงใจตามสมควร




ชีวิตคนเราถ้าว่างเกินไป
ความคิดก็จะฟุ้งซ่าน
ถ้าวุ่นเกินไป
อุปนิสัยแท้ก็จะไม่ปรากฎ
วิญญูชนจึงพึงใส่ใจในกายและใจตน
ทั้งไม่ควรทอดทิ้งหาความรื่นรมย์จากธรรมชาติ


นิทัศน์อุทาหรณ์

คุณชายของเศรษฐีจาง

         ชุมชนอย่างเช่นเมืองชี่ ก็เหมือนกับเมืองอื่นๆ ถนนหนทางมีรถราสัญจรไปมาคับคั่ง ผู้คนเบียดเสียดกันจนเหงื่อไหลไคลย้อย พวกเขาไม่มีเวลาที่จะมาชมดอกไม้ริมถนน ทั้งไม่มีเวลาจะมาชมเมฆสวยบนท้องฟ้า ต่างเร่งรีบไปทำธุระของตนเอง

         แต่เมืองชี่ก็เหมือนกับเมืองอื่นๆ มีคนว่างไม่มีอะไรจะทำเหมือนกันดังเช่นคุณชายของเศรษฐีจาง คุณชายจางถูกรักถูกตามใจเสียจนเคยตัว อ้าปากก็มีอาหารรสเลิศเข้า ยื่นมือก็ได้เงินได้ทองได้เพชรนิลจินดา แต่ไหนแต่ไรมาเขาดูเหมือนจะไม่ขาดอะไรเลยในชีวิต

         ทว่าเมื่อพิจรณาอย่างถีถ้วนแล้วเขามีส่วนที่ขาดอยู่ไม่น้อยที่สำคัญคือ เขาขาดจิตใจซึ่งเมตตากรุณา และการแสวงหาความก้าวหน้าอย่างสุดความสามารถ

Thursday, February 13, 2014

เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย


เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย

         วันหนึ่ง ขณะชาวนาคนหนึ่งกำลังทำนาอยู่นั้น เขาเห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว และไปชนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ชาวนาอย่างแรงตายคาที่ ชาวนาจึงเก็บกระต่ายตัวนั้นกลับมาทำอาหารกินที่บ้านด้วยความดีอกดีใจ

         นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวนาผู้นี้ก็ไม่คิดจะทำนาอีก ใจของเขาหมกมุ่นครุ่นคิดที่จะได้กระต่ายอย่างที่เคยได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงละทิ้งงานในนาทั้งหมด ทุกๆ วันมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้เพื่อรอคอยกระต่ายที่จะวิ่งมาชนต้นไม้ตายอีก แต่รอแล้วรอเล่าจนในนาของเขามีต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ก็ยังไม่เห็นกระต่ายตัวที่สองวิ่งมาชนต้นไม้ต้นนั้นเลย


บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

ฝากเกี๊ยะให้คนรู้ใจ


ฝากเกี๊ยะให้คนรู้ใจ

        การมอบหมายกิจการหรืองานให้คนที่ไว้ใจได้ไปทำแทนให้ โดยไม่กังวลใจแต่อย่างใด



B y ปรัชญา " ซามูไร "

Wednesday, February 12, 2014

ไม่มีฌาน


ไม่มีฌาน

         ครั้งหนึ่ง ขณะที่ฌานาจารย์เจ้าโจวสนทนาธรรมกับเหวินเหยี่ยนลูกศิษย์ของท่านอยู่นั้น ศิษย์ฆราวาสคนหนึ่งส่งขนมเปี๊ยะมาให้ท่านหนึ่งชิ้น อาจารย์จึงพูดกับเหวินเหยี่ยน ว่า " มีขนมเปี๊ยะแค่ชิ้นเดียว เรามาพนันกันดีกว่า ใครชนะได้กินขนมเปี๊ยะ "

          หยุดชั่วครู่ ท่านจึงพูดต่อไปว่า " เราสมมติว่าตัวเองคืออะไรก็ได้ ถ้าใครสมมติตัวเองได้ยิ่งต่ำ ยิ่งสกปรก คนนั้นก็ชนะ ได้กินขนมเปี๊ยะ "

          อาจารย์เจ้าโจวสมมติก่อน " อาตมาคือลาโง่ "

          เหวินเหยี่ยนต่อ " ฉันคือก้นลาตัวนั้น "

          อาจารย์เจ้าโจวต่อ " อาตมาคืออุจจาระใต้ก้นลา "

          เหวินเหยี่ยนต่อ " ฉันคือหนอนในอุจจาระนั้น " 

          อาจารย์เจ้าโจวไม่รู้จะสมมติต่อไปอย่างไร จึงถามว่า " เจ้าหนอนน้อย ทำอะไรในกองอุจจาระหรือ ? "

Heaven, Hell and the future life


Heaven, Hell and the future life

         Are there really past life and future lives, heaven or hell ? This is not only an undetermined question but also some, an interesting one. Phra Dhammapitaka, wrote in the book " Good, Evil and beyond Kamma that according to the teaching of Buddhism as preserved in the scripture, these things do exist. Although, in the original Pali by the Suttsa, these is little mentioned of previous and future lives, heaven or hell. This indicates that not much importance or relevance is attributed to them in comparison to the conduct of life in the present world. In the pali, rebirth in heaven or hell is included in the fruits of good and evil kamma, as merely mentioned with the final phrase :

          " At death, on the breaking up of the body, he goes to the nether worlds, a woeful state, hell " or " At death, on the breaking of the body, he goes to a pleasant bourn, heaven."

         In stead, Buddhadasa Bhiku, the late reformist monk proposed that Buddhists should see heaven or hell as states of mind. The revered monk pointed out that, through insight meditation, one can realized Nirvana - a state of mind which free from defilement " here and now " at this life time.

Tuesday, February 11, 2014

สวรรค์ นรก ชาติหน้า มีจริงหรือ ?


สวรรค์ นรก ชาติหน้า มีจริงหรือ ?

        สวรรค์ นรก ชาติหน้า มีจริงหรือ ? เป็นคำถามโลกแตกที่มีผู้สงสัยและให้ความสนใจอยู่เสมอ คำตอบนี้เกี่ยวกับปัญหานี้ ท่านพระธรรมปิฎกเขียนไว้ในหนังสือ บุญ บาป กับกฎแห่งกรรมว่า แม้ว่าในบางคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาจะยืนยันว่า นรก สวรรค์ มีอยู่จริง แต่ในพระสูตรที่ปรากฏอยู่ในพระไตปิฎกฉบับดั้งเดิมมีการกล่าวถึง ชาติหน้า สวรรค์ นรก ไว้น้อยมาก ที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องจากพุทธศาสนาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ เพราะถือว่าไม่สอดคล้องกับคุณลักษณะของทางศาสนาที่มุ่งสอนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในชาตินี้เป็นเรื่องสำคัญ ในคัมภีร์ระไตรปิฎกเพียงแต่กล่าวถึง การเกิดใหม่ นรก สวรรค์ และผลของการทำดี ทำชั่ว ไว้ในเรื่องของกฎแห่งกรรมในตอนท้ายของเรื่องว่า

         " เมื่อความตายมาถึง ร่างดับสูญลง เขาจะตกไปสู่นรก อันเป็นภาวะที่น่าสะพรึงกลัว " หรือสอนว่า " เมื่อตายไป ร่างกายดับสิ้นลง จะได้ขึ้นไปอยู่บนแดนสวรรค์ " เป็นต้น

         แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ท่านพุทธทาสภิกขุ พระปฏิรูปความเชื่อทางพุทธศาสนาที่ล่วงลับไปแล้วยืนยันว่า แท้ที่จริงแล้ว สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ มันขึ้นอยู่กับสภาวะทางจิต หากคนเราสามารถชำระจิตให้สงบปราศจากกิเลสตัณหาทั้งหลายด้วยการปฏิบัติสมาธิวิปัสสนา ก็สามารถเข้าถึงนิพพานได้ด้วยตัวเองภายในชาตินี้

Monday, February 10, 2014

หลังฝนภูเขาเขียวสด กลางดึกเสียงระฆังฟังชัด

ดูทิวทัศน์หลังฝน
ภูมิภาพจะรู้สึกสดใสกว่าเดิม
ฟังเสียงระฆังกลางดึก
จะก้องกังวานชัดเจนเป็นพิเศษ

นิทัศน์อุทาหรณ์

ชะล้างฝุ่นละอองในดวงใจให้สะอาด

          หลังจากฝนหยุดตกแล้ว บรรยากาศรอบๆ ตัวจะสดสะอาดสวยงามยิ่งขึ้น ยามดึกไร้สรรพสำเนียง เสียงระฆังดังแว่วมาแต่ไกลกังวานไพเราะเสนาะหู

          ท่านทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด ?

Saturday, February 08, 2014

ร่วมทุกข์ร่วมสุข กินข้าวหม้อเดียวกัน


ร่วมทุกข์ร่วมสุข กินข้าวหม้อเดียวกัน

         ความหมายในสุภาษิตนี้เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของคนที่อยู่ในครอบครัว ผู้ร่วมงาน ในหมู่เพื่อนฝูงที่มีความสนิทสนม และใช้เวลาใช้ชีวิตร่วมกันในห้วงเวลาหนึ่ง หรือที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน ควรจะคำนึงถึงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันไว้ให้ดี

          เป็นการสอนทางอ้อมให้เห็นความสำคัญในเรื่องเดียวกันเพื่อความเป็นหนึ่งเดียว เสมือนไผ่หลายต้นเมื่อมารวมกันก็ยากที่ใครจะมาหักหรือโค่นลงง่ายๆ ได้ เรื่องนี้ในวงการธุรกิจสมัยใหม่ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง เป็นเรื่องของการบริหารคนและการรวมคนให้เป็นพลังขององค์กร

          มีหลายหลายตัวอย่างมากมายในหลายวงการกับการใช้กลยุทธ์ในเรื่องนี้ ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยในสมัยพระเจ้าตากสินที่ก่อนจะทรงเข้าตีเมืองจันทุบรี สมัยช่วงกู้อิสระภาพที่ทรงสั่งให้ทหารทุบหม้อข้าวหม้อดินทิ้งทั้งหมดก่อนจะเข้าไปตีเมือง ซึ่งทรงหมายถึงให้เหล่าทหารนั้นร่วมเป็นร่วมตายเป็นหนึ่งเดียว ถ้าตายก็ต้องตายด้วยกัน อิ่มก็ต้องอิ่มด้วยกัน

Friday, February 07, 2014

ชี้ก้อนหินเป็นทอง


ชี้ก้อนหินเป็นทอง

         มีชายคนหนึ่งยากจนมาก แต่ถึงแม้เขาจะไม่มีเงินซื้อธูปเทียน เขาก็ยังคงกราบไหว้อ้อนวอนเซียนหรือผู้วิเศษที่มีนามว่าหลี่จูอยู่เป็นประจำทุกวัน ผู้วิเศษหลี่จูเห็นความซือสัตว์และศรัทธาของเขาแล้วก็พอใจ จึงชี้ก้อนเมฆเป็นพาหนะเหาะลงมาที่บ้านของเขา เมื่อหลี่จูมองไปรอบๆ บริเวณบ้านเห็นว่าไมีมีทรัพย์สมบัติที่มีค่าอะไรเลย ก็รู้สึกสงสาร จึงเอานิ้วชี้ไปยังโม่ที่อยู่โคนต้นไม้ ทันใดนั้นก็มีแสงวาววับขึ้น แล้วโม่หินนั้นก็กลายเป็นทอง ผู้วิเศษหันหน้ามาทางเขาถามว่า " ทองนี้มอบให้เจ้า จะเอาไหม ? "

         ชายผู้นั้นุกเข่าลงกราบ ตอบว่า " ไม่ ไม่ต้องการ ! " 

         เซียนชื่อหลี่จูได้ฟังพอใจมาก กล่าวว่า " คนที่ไม่โลภในทรัพย์สินเงินทองเช่นนี้ ข้าสมควรที่จะสอนธรรมอันแท้จริงให้ "

          " ไม่ ไม่ขอรับ " ชายผู้นั้นกล่าวตะกุกตะกัก " สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการที่สุดคือนิ้วของท่าน ! "

บันทึกใน " หานเฟยจื่อ "

Thursday, February 06, 2014

อาบน้ำในโคลน


อาบน้ำในโคลน

         นานมาแล้ว เล่าลือกันว่าบนเทือกเขาซงวี่ซานมีศาลเจ้าเตา ( เจ้าเมี่ยว ) แห่งหนึ่งขลังมาก ชาวบ้านจึงทำบัตรพลีเซ่นสรวงแทบทุกวัน เทพเจ้าเตาก็เลยได้เสวยหมูเห็ดเป็ดไก่จากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่น้อย

         ต่อมา มีหลวงจีนพูดจาประหลาดนำลูกศิษย์ผ่านมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ท่านใช้ไม้เท้าเคาะที่เตาแล้วพูดว่า " เตามันก็แค่ปั้นด้วยดินโคลน จะขลังได้อย่างไร ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำบัตรพลีเซ่นสรวง มันคุ้มแล้วล่ะหรือ ? พูดจบ ท่านใช้ไม้เคาะที่เตาหนักๆ สามที เตาลูกนั้นก็แตก

         ครู่หนึ่ง ก็มีทาริกาในชุดเขียวสวมหมวกอกมาคารวะหลวงจีน

         หลวงจีนถามว่า " ผู้มาคือใคร ? " ทาริกาในชุดเขียวตอบว่า " ฉันคือเทพเจ้าเตา รับเซ่นสรวงบัตรพลีมานาน วันนี้ได้อาจารย์แนะนเตือนสติจึงหลุดพ้นได้กลับสวรรค์ ฉันมาขอบคุณท่านเป็นการเฉพาะ "

The undetermined problem of Rebirth


The undetermined problem of Rebirth

        The problem about former life, future life or reincarnation is still a controversial question among Thai Buddhist who cling to their self belief often ask that - " Will we be reborn after we die ? "

         Even if someone asked this question directly to Lord Buddha, you would not get a straight " yes " or " no " answer. The Blessed One considered such a question as nonsense and regarded as a non predicted question because it is not related to attain the ultimate truth. It is not compiled with the law of causality, in which explained in the dependent origination.

         Buddhadasa Bhikku, the late venerable monk explained that, generally the Buddha's answer would depend on the level of individual comprehension of Dhamma. The Buddha never directly said whether or not reincarnation exists. Instead, the Blessed One would ask the questioner if believing in rebirth would be beneficial to them and then let them merely decide the answer for themselves.

Tuesday, February 04, 2014

อัพยากตปัญหาเกี่ยวกับการเกิดใหม่


อัพยากตปัญหาเกี่ยวกับการเกิดใหม่

          ปัญหาเกี่ยวกับ ชาติก่อน ชาติหน้า การกลับชาติมาเกิดยังเป็นคำถามเจ้าปัญหาที่มักจะได้ยินได้ฟังจากพุทธศาสนิกชนไม่น้อยที่ต้องการคำตอบตามสิ่งที่ตนยึดตนเชื่อว่า " ตายแล้วจะได้กลับมาเกิดใหม่หรือไม่ "

          คำถามเช่นนี้ หากจะมีใครทูลถามพระพุทธเจ้า คงจะไม่ได้รับคำตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ เพราะพระพุทธเจ้าองค์ทรงให้ความสำคัญเฉพาะคำถามที่นำไปสู่ความรู้แจ้งในสัจธรรม คำถามดังกล่าวจึงนับว่าไร้สาระ เป็น อัพยากตปัญหา ในมุมมองทางพุทธศาสนาที่ไม่สอดคล้องกับทฤษฎีแห่งปัจจัยที่อธิบายไว้ในวงจรปฏิจจสมุปบาท

          ท่านพุทธทาสภิกขุ ซึ่งล่วงลับดับขันธ์ไปแล้วอธิบายไว้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเลือกตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้จากการพิจารณาระดับความรู้ความเข้าใจในพุทธธรรมของผู้ต้องการคำตอบแต่ละคนแต่โดยความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เคยตอบคำถามนี้โดยตรง ว่าชาติก่อน ชาติหน้ามีจริงหรือไม่ แต่พระองค์จะทรงปล่อยให้เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อของผู้ถามเอง หากความเชื่อนั้นก่อให้เกิดประโยชน์ในการที่จะละความชั่วเร่งประกอบความดีในชีวิตปัจจุบัน

Sunday, February 02, 2014

ใบไม้ร่วงแอบบ่มเพาะหน่ออ่อน พลังชีวิตซ่อนอยู่ในความร่วงโรย




ต้นไม้ใบหญ้าเพิ่งจะร่วงโรย
หน่ออ่อนก็ปรากฏที่รากเหง้า
อากาศแม้จะหนาวเยือก
ก็ยังคืนความอบอุ่นในสายลม
ท่ามกลางความร่วงโรย
พลังชีวิตมักจะดำรงอยู่เป็นสำคัญ
ชีวิตจิตใจของฟ้าดินก็จะเห็นได้จากนี้

นิทัศน์อุทาหรณ์

แผ่นดินแห่งชีวิต

         ทางเล็กๆ ที่อยู่หน้าบ้านหวงซื่อเหนียง พอถึงฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ใบหญ้าก็เจิญงอกงามเต็มทั้งสองข้างทาง เห็นแต่ดอกไม้บานเกลื่อนไปหมด เหล่าผีเสื้อพากันมาจับระบำรำฟ้อน นกขมิ้นเหลืองอ่อนร้องเพลงไพเราะอย่างร่าเริง

         อยู่มาวันหนึ่ง ฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลง ดอกไม้ร่วงโรยไปสิ้น เหลือแต่กลีบเหี่ยวๆ ปลิวว่อนไปตามลม ชวนให้ใจคอสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง