Tuesday, December 24, 2013

ลมปาก

ลมปาก

          มีพระธุดงค์รูปหนึ่งชื่อ เหวินเต้า เลื่อมใสในกิตติศัพท์ของฌานาจารย์ฮุ่ยซฺวินมานาน จึงบุกป่าฝ่าดงลุยน้ำข้ามเขาไม่กลัวทางไกลพันลี้มาถึงหน้าถ้ำที่พำนักของฌานาจารย์ฮุ่ยซฺวิน คุกเข่าลงกล่าวว่า " อาตมาเลื่อมใสกิตติศัพท์ของฌานาจารย์มานาน เดินทางมาครั้งนี้หวังได้ปรนนิบัติรับใช้ท่าน ขอโปรดเมตตาชี้ทางสว่างด้วยเถิด ! "

          ฌานาจารย์ตอบว่า " อาตมาอาศัยอยู่ในถ้ำ ไม่ได้ทำอะไรเลยทว่าทุกสิ่งล้วนอยู่ในใจอาตมา ท่านต้องการติดตามปรนนิบัติอาตมา แต่อาตมาเกรงว่าท่านจะใช้ชีวิตอย่างอาตมาไม่ได้ "

           เมื่อไม่อาจปฏิเสธคำวิงวอนซ้ำสามได้ ฌานาจารย์จึงจำยอมให้เหวินเต้าพักอาศัย เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่เหวินเต้าเพิ่งตื่นขึ้นมา ฌานาจารย์ทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว อีกทั้งได้ต้มข้าวเละๆ ไว้ เนื่องจากไม่เคยมีผู้ใดมาเยี่ยมเยือน เลยไม่ได้หาชามข้าวเผื่อใคร ฌานาจารย์จึงออกไปข้างนอก ฉวยได้หัวกะโหลกคนตายใบหนึ่ง ก็นำมาใส่ข้าวเละๆ ให้เหวินเต้าฉัน


Monday, December 23, 2013

มังกรพยัคฆ์สู้กัน


มังกรพยัคฆ์สู้กัน

          วันหนึ่ง ในอารามหลงหู่ซื่อ ( อารามมังกรพยัคฆ์ ) มีพระเณรอายุน้อยชุมนุมกันที่ข้างวิหารมากมาย เพื่อช่วยกันร่างภาพผนังมังกรพยัคฆ์สู้กัน

          ในภาพ มังกรขดตัวในปุยเมฆทีท่าคล้ายจะพุ่งตัวลงมา ส่วนพยัคฆ์ยึดเนินภูทีท่าคล้ายจะกระโดดขึ้นไป ถึงผ่านการแก้ไขต่อเติมนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หลวงจีนเหล่านั้นยังรู้สึกว่า ท่วงทีไม่สมจริง

           ประจวบเหมาะกับฌานาจารย์อู๋เต๋อเดินผ่านมา พระเฌรเหล่านั้นจึงเชิญชวนอาจารย์ช่วยวิพากษ์วิจารณ์ให้คำแนะนำ

           ฌานาจารย์พินิจพิจารณาโดยละเอียดแล้ว จึงพูดว่า " วาดได้ไม่เลว ! แต่ถ่ายทอดลักษณะเฉพาะของมังกรและพยัคฆ์ได้ดีไม่เท่าที่ควรมังกรจะหดรั้งหัวก่อนพุ่งตัวบุกโจมตี พยัคฆ์จะหมอบลงก่อนกระโจนขณะที่มังกรรั้งหัว หากส่วนคอยิ่งโหนกนูน จะพุ่งลงได้ยิ่งเร็ว ขณะที่พยัคฆ์หมอบลง ถ้าหัวยิ่งต่ำ จะกระโจนได้ยิ่งสูง "

Saturday, December 21, 2013

Practical objective of the Law of Kamma


Practical objective of the Law of Kamma

          As kamma directly concerns what we do and how to do it, belief in the doctrine of kamma can be of great help in the way we conduct ourselves and interact with othero, as well as in our spiritual endeavor. The teachings enable us to establish a clear moral understanding based on reason and the principle of cause and effect. With confidence in the law of kamma, one develops a more realistic and rational attitude toward life and its experiences and is inspired to rely on one's ability to fulfil one's own aspirations rather than resort to prayer for extraneous assistance and support.

          The law of kamma helps us to b more convinced of our own potential and responsibilities, both personal and social. It encourages us to do what is good and to cultivate responsibility toward oneself by giving up bad habits and actions and responsibility toward others by showing them kindness and compassion. Kamma demonstrates that each and every one of us is endowed with potential for greater development. It is within our reach to create a better world, full of love and joy, or to destroy it with hatred and war. We have the choice before us. Understanding kamma helps us to make the right choice.

          Kamma truly puts us in control of our life. We can deal with our aspirations and plans and direct future course of action for our own good as well as for the good for others. This means that we are our own masters and therefore under obligation to act with utmost care and responsibility.

Friday, December 20, 2013

เป้าหมายในการปฏิบัติตามกฎแห่งกรรม


เป้าหมายในการปฏิบัติตามกฎแห่งกรรม

          กรรมเป็นเรื่องของการกระทำ ว่าเราควรจะทำอะไร และ ควรจะทำอย่างไร ความเข้าใจในเรื่องของกฎแห่งกรรมจะช่วยเป็นหลักในการดำเนินชีวิตให้กับตนเองและสังคม พร้อมกันนั้น กฎแหง่กรรมดำเนินชีวิตให้กับตนเองและแก่สังคม พร้อมกันนั้น กฎแห่งกรรมยังสอนให้เราเข้าใจเหตุผลและหลักการอันเนื่องมาจากเหตุปัจจัย เป็นเครื่องฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความมุ่งมานะ เพื่อทำความดีงาม มีเหตุผล และมองเห็นโลกชีวิตตามความเป็นจริงสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเองโดยไม่คาดหวังจากการพึ่งพาด้วยการสวดอ้อนวอนขอพรจากปัจจัยภายนอก

          กฎแห่งกรรมช่วยให้เราเชื่อมั่นในศักยภาพและความรับผิดชอบที่มีต่อตนเองและต่อสังคม สอนให้เรามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่สอนให้ทำกรรมดี ละเว้นในการทำความชั่ว มีความเมตตากรุณาเพราะกฎแห่งกรรม สอนให้เราเชื่อและมั่นใจในศักยภาพที่มีติดตัวมากับมนุษย์ทุกคนในหารพัฒนตนเองเพื่อสร้างความดีงามให้กับโลกขจัดความเกลียดชัง ความอาฆาตพยาบาท อันนำไปสู่สงครามแห่งความขัดแย้ง ด้วยความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ทางที่มีไว้ให้เราเลือก เพื่อเป้าหมายดังกล่าวนี้

          กรรม เป็นตัวกำหนดทิศทางในการดำเนินชีวิต เป็นตัวสร้างความมุ่งหวัง เป็นตัวกำหนดแบบแผนชีวิต และเป็นตัวชี้นำการกระทำความดีงามทั้งต่อตนเองและผู้อื่น กฎแห่งกรรมสอนให้เชื่อว่าตัวเราคือนายของเราในการกำหนดความรับผิดชอบต่อการกระทำและต่อหน้าที่ความรับผิดชอบที่ตนเองมี

ยามเราประสานกับผู้อื่นเป็นหนึ่งเดียว เมฆจะหยุดลอยนกจะลงมาเป็นเพื่อน




ยามสบายอารมณ์
ถอดรองเท้าย่ำไปบนพื้นหญ้า
นกป่าลืมตัวโฉบมาอย่ใกล้
ทิวทัศน์ประสานใจ
คลุมเสื้อนั่งนิ่งใต้ดอกไม้ร่วง
เมฆขาวอาลัยไม่ยอมเคลื่อนลอย


นิทัศน์อุทาหรณ์

ซูตงพอเปลือยเท้า

          มีความสุขชนิดหนึ่งซึ่งแสนจะวิเศษ ท่านอาจจะไม่มีประสบการณ์ด้วยตนเอง จะขอเล่าให้ฟัง

          เมื่อเราเกิดความเบิกบานสำราญใจ รู้สึกสนุก ก็จงลองถอดรองเท้าออก แล้วย่ำไปบนพื้นหญ้าเขียวขจีด้วยเท้าเปล่าเปลือยปล่อยให้ฝ่าเท้าอันเปลือยนั้น สัมผัสหญ้าเขียวซึ่งอ่อนละมุนละไม นกน้อยในทุ่งนาไม่กลัวคนที่มีจิตใจการุณย์เช่นนี้ ดูสิ พวกมันพากันบินลงมาจับอยู่บนพื้นดินข้างเท้าเปลือยของท่านแทบทั้งสิ้น

นักการเมือง


นักการเมือง

         บุคคลเหล่านี้ ประเดี๋ยวแตกแยกรบพุ่งฆ่าฟันกัน แต่อีกประเดี๋ยวก็เข้ารวมกลุ่มกันติด แล้วก็แตกออกไปอีก... ต่างคนต่างได้ทำไว้ต่อกันทั้งคุณและโทษ แต่คุณนั้นก็มิได้ก่อให้เกิดกตัญญูและโทษก็มิได้ให้กำเนิดแก่การพยาบาท ทุกคนพร้อมที่จะลืมทั้งคุณและโทษของทุกคนได้เสมอ บุคคลต่างๆ นี้เป็นนักการเมืองโดยแท้

         อนึ่ง อำนาจนั้นเหมือนยาเสพติด ถ้าได้มาแล้วก็ย่อมวางไม่ลงและย่อมจะต้องการอยู่เสมอไม่มีวันพอได้ ฉะนั้นเราจะเห็นว่านักการเมืองโดยทั่วไป บำเพ็ญกรณีเพื่อแสวงหาอำนาจ เมื่อได้มาแล้วก็อยากได้ต่อไปอีกในที่สุดอำนาจนั้นเองก็ทำลายตนลงไป เช่นยาเสพติด ย่อมทำลายผู้เสพฉันใดก็ฉันนั้น




By ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมช

กินหน้าแข้งบิดามารดา


กินหน้าแข้งบิดามารดา

          คนที่ไม่สามารถเอาตัวรอดหรือหาเลี้ยงชีวิตด้วยตัวเองได้ ต้องคอยเบียดเบียนพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา




By ปรัชญา ซามูไร

Wednesday, December 18, 2013

ชาวนาทิ้งหยก


ชาวนาทิ้งหยก

          ในรัฐเว่ย มีชาวนาผู้หนึ่งขณะที่กำลังไถนาอยู่นั้นได้ไถไปถูกก้อนหินก้อนหนึ่งมีขนาดเท่ากับโม่ ชาวนาพิจารณาดูหินสีขาวก้อนนั้นอยู่เป็นเวลานานก็ดูไม่รู้ว่าเป็นหินชนิดไหน เขาจึงเรียกเพื่อนบ้านมาช่วยดู พอเพื่อนบ้านมาเห็นเข้าก็ดีใจ เพราะมันไม่ใช่หินธรรมดา แต่เป็นหยกที่มีค่ามาก เขามองไปรอบๆ แล้วกล่าวกับชาวนาว่า " นี่เป็นก้อนหินประหลาด ถ้าเอาไปไว้ในบ้านก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ควรรีบเอามันฝังลงดินเสีย "

           ชาวนาผู้นั้นฟังแล้วยังสงสัยอยู่ ไม่เชื่อสนิทนัก เขาจึงนำเอาหินก้อนนั้นกลับมาวางไว้ในบ้าน พอตกกลางคืน ก้อนหินที่นำมาส่องแสงเรืองๆ ไปทั้งบ้าน ชาวนาและคนในบ้านเกิดตกใจกลัวจึงรีบไปบอกเพื่อนบ้านคนนั้นอีก เพื่อบ้านแสร้งทำท่าทางน่าตกใจพูดว่า " แย่ละแก ภูตผีปีศาจกำลังจะมาแล้ว รีบเอามันไปทิ้ง
เสียเถอะ "

           ชาวนาจึงรีบกลับมาบ้านยกหินก้อนนั้นไปทิ้งในที่เปลี่ยวไกลออกไปจากบ้านมาก ส่วนเพื่อนบ้านที่คอยสังเกตอยู่แล้วก็สะกดรอยตามไปเอาหินก้อนนั้นพอวันรุ่งขึ้นเขาก็นำไปถวายกษัตริย์ของรัฐเว่ย พอกษัตริย์เว่ยเห็นหยกที่มีค่าก้อนใหญ่เช่นนั้นก็ทรงประหลาดพระทัยนัก รีบรับสั่งให้หาช่างหยกมาดู ช่างหยกเห็นแล้วทูลว่า " นับว่าเป็นบุญบารมีอันสูงส่งของพระองค์จึงได้หยกก้อนนี้มา " 

          กษัตริย์รัฐเว่ยตรัสถามว่า " หยกนี้มีราคาประมาณเท่าไร ? "

          ช่างหยกกราบทูลว่า " ขายเมืองห้าเมืองก็จะดูได้ไม่ถึงอึดใจ " กษัตริย์เว่ยทรงพอพระทัยมากตรัสสั่งให้ปูนบำเหน็จรางวัลเป็นจำนวนมากแก่คนที่นำหยกมาถวายในทันที

บันทึกใน " อิ่นเหวินจื่อ "

Tuesday, December 17, 2013

พักบ้างยามไม่ว่าง


พักบ้างยามไม่ว่าง

          ฌานาจาร่ย์ต้าอานช่วยเหลือฌานาจารย์เหว่ยซานหลงอิ้ว ถางป่าสร้างอาราม ปฏิบัติธรรมแบบฌานตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น จนกระทั่งฌานาจารย์เหว่ยซานนั่งสมาธิดับขันธ์ในฌานสมาบัติไป พระเณรในวัดทั้งหมดจึงขอร้องให้ท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสแทน เมื่อถึงบั้นปลายชีวิต ท่านเดินทางกลับบ้านเกิดที่ฮกเกี้ยน พำนักในอารามอี๋ซานย๋วน นอกจากนั่งสมาธิแล้ว ท่านไม่พูดไม่จาไม่ทำอะไรทั้งสิ้น จึงได้อีกฉายาหนึ่งว่า ฌานาจารย์หลั่นอาน ( ฌานาจารย์เกียจคร้าน )

          มาวันหนึ่ง ลูกศิษย์ท่านรูปหนึ่งทนไม่ได้ ถามท่านว่า " ทั้งวันไม่พูดไม่จา เฉกเช่นก้อนหินและต้นไม้ หรือว่านี่คือจิตแบบฌาน ? " ฌานาจารย์จึงเรียกประชุมพระเณรทั้งหมด แล้วพูดว่า " ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ทุกคนนั่งสมาธิไม่พูดไม่จาแบบอาตมา ไม่เกินสามวันทุกคนจะรู้จักตัวตนของตัวเอง "

          พระเณรทุกรูปจึงนั่งสามาธิไม่พูดไม่จาอย่างฌานาจารย์ วันแรกผ่านไปยังไม่มีอะไร วันที่สอง ต่างบ่นปวดหลังปวดเอวตามๆ กัน จึงร้องขออาจารย์ว่า พวกตนเต็มใจทำงานมากกว่านั่งสมาธิ ฌานาจารย์ต้าอานจึงกล่าวแก่พระเณรทุกรูปว่า " หลวงจีนเฒ่านั่งสมาธิหนึ่งวัน ยังเหนือกว่ายุ่งงานพันปี "