Tuesday, February 26, 2013

ข้ามน้ำด้วยอ้อต้นเดียว

ข้ามน้ำด้วยอ้อต้นเดียว

         บุรพจารย์ตั้กม้อ หรือท่านพระโพธิธรรมมหาครูบา เดิมเป็นราชโอรสองค์ที่ ๓ แห่งแคว้นคันธารราษฏร์ ภายหลังท่านได้รับถ่ายทอดบาตรจีวร สังฆาฏิ ธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้าจากพระสังฆราชปรัชญาตาระเถระ ( พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๒๗ ของอินเดีย ) ซึ่งทำนายว่า หลังจากดับขันธ์ไปแล้ว ๖๗ ปี บ้านเมืองจะเกิดภัยสงครามครั้งใหญ่ ให้พระโพธิธรรมไปเผยแพร่พระธรรม ( สุญญตา ) ของพระพุทธเจ้าในประเทศจีน

          เมื่อพระโพธิธรรมอายุ ๑๒๐ พรรษา ได้ลงเรือโต้คลื่นสมุทร ๓ ปี มาถึงประเทศจีน สมัยจักรพรรดิ์เหลียงอู่ตี้ ( ประมาณ พ.ศ. ๑๐๖๗ ) วางรากฐานให้กับพระพุทธศาสนานิกายฌานในประเทศจีน ส่งผลสะเทือนต่อศิลปวัฒนธรรมและประเพณีชาวจีนอย่างใหญ่หลวง

          ปัจจุบัน เรามักพบเห็นภาพท่านพระโพธิธรรมหนวดเคราผมเผ้าพลิ้วไสวยืนลอยบนต้นอ้อเล็กๆ ข้ามแม่น้ำในบ้านเรือนชาวจีน ซึ่งคนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์ของท่าน อันที่จริงนี่เป็นทัศนคติที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

Monday, February 25, 2013

รู้ไหม

รู้ไหม

         ครั้งหนึ่ง...

         หลีจื้อไปฝึกยิงธนูกับกวนหยิน วันหนึ่งขณะที่หลีจื้อยิงถูกเป้า กวนหยินถามขึ้นว่า

         " เวลาท่านยิงถูกเป้า ท่านรู้ไหมว่าทำไมมันจึงถูก "

         หลีจื้อตอบว่า

         " ไม่รู้ "

         " ถ้าเช่นนั้น ก็ยังใช้ไม่ได้ " 

         กวนหยินกล่าว

         หลีจื้อ ฝึกยิงอยู่ถึงสามปี จนเกิดความชำนาญ

         วันหนึ่งกวนหยินถามขึ้นอีกว่า

Sunday, February 24, 2013

มุทะลุมักเสียการ สุขุมจักนำโชค




คนมุทะลุมักง่าย
จักทำสิ่งใดก็ไม่สำเร็จ
คนสุขุมเยือกเย็น
โชคจักค้ำจุนหนุนเนื่อง


นิทัศน์อุทาหรณ์
อู๋กังกับนกแก้วน้อย

         มีนิทานโบราณอยู่เรื่องหนึ่ง

         มีชายคนหนึ่งชื่ออู๋กัง เป็นคนชาวเมืองซีเหอในสมัยราชวงศ์ฮั่น เขาคิดแต่อยากจะเป็นเทวดา แต่มีอยู่คราวหนึ่งเขาไม่ระมัดระวังตัว เกิดทำความผิดขึ้น อาจารย์ของเขาจึงลงโทษใหไปตัดต้นกุ้ยบนดวงจันทร์และได้ตกลงกันว่า เมื่อใดที่เขาโค่นต้นกุ้ยลงได้ ก็กลับมาบำเพ็ญธรรมเพื่อให้สำเร็จเป็นเทวดาต่อไป

         อู๋กังนำกล่องอาหารไปยังใต้ต้นกุ้ยบนดวงจันทร์

         " โธ่เอ๋ย ต้นกุ้ยนี่เล็กนิดเดียว อาศัยกำลังของอู๋กัง ข้าฯ ฟัน ๒ -๓ ทีก็ล้มแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะได้กลับไปบำเพ็ญธรรมเพื่อเป็นเทวดาต่อไป "

        ว่าแล้ว อู๋กังก็จับขวานขึ้นฟันต้นกุ้ย เมื่อต้นกุ้ยใกล้จะล้ม มีนกแก้วตัวหนึ่งบินมาจากที่ใดก็ไม่รู้ เห็นกล่องอาหารของอู๋กังที่วางอยู่ข้างๆ ก็ตรงเข้าไปกินอย่างเอร็ดอร่อย

Saturday, February 23, 2013

Anatta and the Five Aggregates

Anatta and the Five Aggregates

         The person ( puggala ), when analyzed is found to consist of five aggregates. These five aggregates neither singly nor collectively constitute any permanent self, nor is there to be found a self apart from them. The five aggregates are those of material group called corporeality [ rupa ], and nonmaterial group that consists of feeling consciousness [ vinnana]. The following is a brief description of these five aggregates ;

          1. The aggregate of corporeality comprises the material constitute of the body, which is included the traditional four primary elements [ mahabbhuta - rupa ], namely, solidly, fluidity, heat and motion and also the derivatives of the four primary elements [ upadaya - rupa ], These elements are the parts of our five material sense organs, eye, ear, nose, tongue and body, and their corresponding objects in the external world i.e.; visible form, sound, odor, taste and tangible things and also some physical component of the body. Thus the whole realm of master, both internal and external, is included in the aggregate of corporeality.

          2. The aggregate of feeling is one of the four nonmaterial groups as the effective aspect of mental activities. It has the characteristic of enjoying the " taste " of the object. There are three kinds of feeling ; pleasant, painful and neutral.

อนัตตากับขันธ์ ๕

อนัตตากับขันธ์ ๕

         จากการวิเคราะห์ในทางพุทธศาสนา ไม่ปรากฏว่ามีส่วนที่เป็นอัตตาอยู่เป็นอิสระเดี่ยวๆ หรือแทรกรวมอยู่ภายในขันธ์ ๕ ของคนเราแต่อย่างใด ขันธ์ ๕ ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบมีเพียงส่วนที่เป็นสสารที่เรียกว่า รูป กับส่วนที่เป็น อสสาร ที่เรียกว่า นาม อันประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ ดังนี้

          ๑. รูปขันธ์ คือส่วนที่เป็นตัวร่างกายที่ประกอบขึ้นจากปฐมธาตุทั้งสี่ที่พุทธศาสนาเรียกว่ามหาธาตุรูป คือ ปฐพีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ รวมทั้งรูปลักษณะอื่นๆ อันเป็นผลมาจากมหาธาตุทั้งสี่ดังกล่าวนั้น ซึ่งในทางพุทธศาสนาเรียกว่า อุปาทายรูป ( มีทั้งหมด ๒๔ อย่าง ) ได้แก่ ส่วนที่ประกอบเป็นอวัยวะรับความรู้สึกทั้งห้า ( ปสาทรูป ) และสิ่งที่กระตุ้นต่อความรู้สึก ( วิสัยรูป ) เช่น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พร้อมทั้งส่วนอื่นๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายภายนอกและภายใน เช่น ภาวรูป หทัยรูป ชีวิตรูป อาหารรูป ปริจเฉทรูป วิญญัติรูป วิการรูป และลักขณรูป

          ๒. เวทนา เป็นหนึ่งในสี่ของส่วนที่เป็นนามหรือที่เรียกว่านาม ทำหน้าที่รับ " รส " ของอารมณ์ความรู้สึก ๓ อย่าง คือ สุข ทุกข์ และที่เป็นกลางๆ 

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๑ )

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๑ )
ชีวิตชาวนาไทย

         โดยปกติเราจะได้ยินคำกล่าวว่า " ชาวนาคือกระดูกสันหลังของชาติ และในน้ำมีปลาในนามีข้าว " คำกล่าวเช่นนี้เป็นความจริง ก็เพราะว่าชาวนาปลูกข้าวเลี้ยงประชาชนทั้งประเทศ ข้าวไม่เพียงแต่เป็นอาหารหลักของประเทศเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าวได้กลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญอย่างหนึ่งด้วยดังนั้น ชาวนาจึงเป็นกำลังสำคัญทีสุดของประเทศด้วย

          ชาวนาจึงทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำตลอดทั้งปี เพราะหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวประจำปีแล้วพวกเขาก็จะเริ่มปลูกข้าวนาปรัง หรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ต่ออีก หรือไม่ก็เลี้ยงปศุสัตว๋หรือสัตว์อื่นๆ เช่น ปลา และเป็ด เป็นต้น โดยปกติปลาจะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในนาข้าว ดังนั้น ต้นกล้าและปลาจะเติบโตพร้อมๆ กัน โดยธรรมชาติในที่เดียวกัน เมื่อเสร็จสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ชาวนาก็จะมีทั้งปลาและข้าวไว้บริโภคในฤดูแล้ง ที่กำลังจะมาถึงอีกด้วย ถ้าเราท่องเที่ยวไปตามต่างจังหวัดก็จะพบชาวนากำลังตกปลาบนหลังคาบ้านของเขาตามริมถนน ดังนั้น จึงมีคำทักทายในหมู่คนไทยเมื่อพบปะกันก็จะเริ่มทักทายกันว่า " คุณจะไปไหน " แล้วก็ตามด้วยประโยคคำพูดว่า " คุณกินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง " ที่จริงแล้วข้าวกับปลานี้เป็นอาหารหลักของคนไทยมานานแล้ว 

Friday, February 22, 2013

Thailand " Land of Smile " ( Part 21 )

Thailand " Land of Smile " ( Part 21 )
Life of Thai farmers

         We often hear the saying that farmers are backbone of the country and in the water there are plenty of fish while in the paddy fields there is an abundance of rice. These sayings are right as farmers grow rice to feed the entire nation. Rice is not only the staple food of the country, but now is one of our main export products. Therefore, farmers are the most important work force of the country.

          Farmers work from dawn to dusk the whole year - round as after the annual rice harvest, they will again cultivate the second - rice crop or other cash crops, raising cattle and other animals such as fish, duck etc. Usually fish lives by nature in the paddy fields. So, rice and fish will naturally grow up in the same place. At the end of the annual rice harvest, farmers will have both rice and fish to eat during the coming dry season. If we travel to the countryside, we will see farmers drying fish on the roof of their houses along the roadside. Thus, it has become a common greeting among Thai people when they meet, they will firstly ask each other " Where do you go ? " then the following sentence is " Did you eat rice and fish ? ". In fact, rice and fish have been the main food of Thai people for a very long home.

Thursday, February 21, 2013

เป็นนายตัวเอง

เป็นนายตัวเอง

          มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ฌานาจารย์ฝูซานหลิงอิ้วนั่งสมาธิภาวนาอยู่นั้น ฌานาจารย์หยั่งซาน ลูกศิษย์ของท่านเดินเข้ามา ท่านจึงถามว่า " นี่ ! จะพูดอะไรก็รีบพูด ! อย่ารอจนตายแล้ว คิดจะพูดก็พูดไม่ได้ "

          หยั่งซานตอบว่า " อาตมาไม่ได้บำเพ็ญเพียรแล้ว ไม่ได้ศรัทธาแล้ว ไม่เอาอะไรแล้ว ยังมีอะไรจะพูดหรือไม่พูดอีกเล่า ? "

          ฌานาจารย์หลิงอิ้วถามว่า " ไม่บำเพ็ญเพียรหลังจากบำเพ็ญเพียรแล้วใช่หรือไม่ ? ไม่เชื่อหลังจากเชื่อแล้วใช่หรือไม่ ? "

          ฌานาจารย์หลิงอิ้วถามว่า " พูดเช่นนี้ เป็นพวกหินยานที่ศึกษาฌานสมาบัติเท่านั้น "

          หยั่งซานตอบว่า " หินยานก็หินยาน อันที่จริงอาตมาไม่อยากเห็นแม้แต่พุทธะด้วยซ้ำ "

Wednesday, February 20, 2013

อมตพจน์ ของ ขงจื้อ

อมตพจน์ ของ ขงจื้อ

คนมีใจงาม มักกล่าววาจางาม
แต่คนกล่าววาจางาม
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนงามเสมอไป

มหาบุรุษแท้จริงเป็นคนกล้า
แต่คนกล้ามักไม่ใช่มนุษย์ที่แท้

ผู้รักษาสัจจะ ดีกว่าผู้รู้สัจจะ
ผู้พบความสุขในสัจจะ ดีกว่าผู้รู้สัจจะ

ยามพบคนดี จงพยายามเอาเป็นตัวอย่าง
ยามพบคนชั่ว จงวิจัยความผิดพลาดของเขา

จงอย่ากลัวว่าคนเขาจะไม่รู้ความสามารถของท่าน
แต่จงกังวลให้มาก
ถ้าตัวท่านไม่มีความสามารถเลย

Tuesday, February 19, 2013

ซ่อนความสามารถเก็บสติปัญญา เพื่อแบกภาระหนักฝ่าทางไกล




เหยี่ยวยืนเหมือนหลับ เสือเดินเหมือนป่วย
เป็นมาตรการที่จะล่อจับเหยื่อ
ฉะนั้น
สุภาพชนแม้เฉลียวฉลาดก็ไม่ควรอวด
แม้มีสติปัญญาก็ไม่ควรแสดง
จึงจะมีพละกำลังในการแบกภาระอันใหญ่หลวง


นิทัศน์อุทาหรณ์
บังทองคนอัปลักษณ์

          เหยี่ยวกับเสือล้วนเป็นสัตว์ดุร้ายที่ทุกคนกลัว เหตุใดมันจึงน่ากลัวเล่า ? ก็เพราะเหยี่ยวเมื่อมันเกาะอยู่บนต้นไม้ กิริยาอาการมันเหมือนกำลังหลับอยู่ ส่วนเสือเมื่อก้าวเดินก็เชื่องช้าเซื่องซึมเหมือนกำลังป่วยอยู่ ทำให้คนเราคลายความระมัดระวัง หลงกลต้องถูกเสือคาบเอาไปกินในที่สุด

          เพราะฉะนั้น " ภาษิตรากผัก " จึงบอกแก่เราว่า

          " สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดคือสัตว์ที่เราเห็นว่าผอมโซอ่อนแอที่สุดส่วนคนที่มีความสามารถที่สุด ที่จะได้รับความสำเร็จที่สุดในอนาคต ล้วนแต่เป็นคนที่ดูไปแล้ว ไม่มีความสะดุดตาอะไรเลย "

Sunday, February 17, 2013

ใคร ใหญ่ กัน แน่ ???

ผู้เป็นใหญ่ ในแผ่นดิน

เมื่อจัดลำดับเท่าเทียมกันหมด
ความแตกต่างก็ไม่มี
เมื่อมีสภาพเท่าเทียมกัน เอกภาพก็ไม่มี
เมื่อประชาชนทั้งหมดเท่าเทียมกัน
ความเป็นระเบียบก็ไม่มี

ฟ้าและดินมีอยู่ตราบใด
ตราบนั้น ย่อมต้องมีสูง มีต่ำอยู่

ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเสมือนต้นน้ำ
ถ้าต้นน้ำใสสะอาด กระแสน้ำก็ใสสะอาด
ถ้าต้นน้ำเน่า กระแสน้ำก็เน่า

โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา

โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา

         โคลัมบัสค้นพบแผ่นดินใหม่ กลับมาถึงประเทศสเปน เขาก็กลายเป็นวีรชนของประชาชนไปทันที แต่ว่าพวกผู้ดีหลายๆ คน ยังคงถูกดูหมิ่นถิ่นแคลนโคลัมบัส เนื่องจากเขามีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย ซึ่งพวกผู้ดีเหล่านั้นมักจะนินทาโคลัมบัสลับหลัง

          ครั้งหนึ่ง ในงานราตรีสโมสรที่หรูหรา พวกผู้ดีต่างคุยฟุ้งถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ และอดที่จะวกเข้ามาพูดเรื่องของโคลัมบัสไม่ได้ พวกเขาบางคนถึงกับทำเสียงฮึขึ้นจมูก แล้วพูดว่า

          " ฮึ กะอีแค่ค้นพบแผ่นดินใหม่ มันยากนักหรือไงนะ โคลัมบัสน่ะ มันยากจนจวนเจียนจะอดตายอยู่แล้ว มันถึงได้เสี่ยงชีวิตแล่นเรือออกทะเลไป จุดมุ่งหมายก็เพื่อหาอะไรก็ได้ที่มันเอากลับมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ แต่บังเอิญเจอแผ่นดินใหม่เข้าก็เท่านั้นเอง ถ้าหากพวกเรานั่งเรือออกทะเลไปบ้าง แล่นตรงไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆ พวกเราก็ไปถึงแผ่นดินใหม่ได้เหมือนกัน "

          บ้างก็พูดว่า " แผ่นดินใหม่ผืนนั้นน่ะ พระเจ้าสร้างไว้ตั้งแต่พระองค์สร้างโลกแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น จึงพูดไม่ได้ว่าเป็นการค้นพบ "

Saturday, February 16, 2013

The Buddha's rejection of permanent Ego

The Buddha's rejection of permanent Ego

         After a discussion on the theory of atman and Brahman, we shall turn to consider Buddhist aeguments against the self - theory as follows :

          The conception of permanent ego or atman and transcendental ego are not acceptable to the Buddhist. The Buddha flatly denies that there exists in man an ego entity, which is permanent, blissful and autonomous. His arguments against the self are analytical because they are based on the analysis of the personality of the five aggregates or Khanda 5.

          The Buddha's arguments for the denial of the self based on the analysis of these five aggregates. In Anattalakkhana Sutta, the Buddha begins his argument with an attack on what may be called the autonomous self. The autonomy of the self is propounded by Uppanisadic thinkers, who say that the self is the inner controller of mind and body. The Buddha denies such a controller of the five aggregates. Since there is no mastery over them, one can very well say that they have no owner or controller.

Friday, February 15, 2013

พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอัตตา

พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอัตตา

         ภายหลังจากที่เราได้ศึกษาทฤษฎีว่าด้วย อาตมัน และ พรหมมันในปรัชญาอุปนิษัท ( อันถือว่าเป็นคัมภีร์แห่งศาสนาพราห์มและฮินดู ) มาพอสมควรแล้ว เราลองกลับมาพิจารณาหลักความเชื่อของชาวพุทธที่ปฏิเสธในเรื่องของอัตตา อาตมัน หรือ พรหมมัน ดังต่อไปนี้

          หลักความเชื่อของชาวพุทธค้านกับทฤษฎีว่าด้วยเรื่อง อัตตาถาวร หรือ อาตมัน พรหมมัน พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงในทฤษฎีที่เชื่อว่ามีอัตตาที่เป็น นิจจัง สุขขัง และเป็นอิสระอยู่ภายในตัวมนุษย์ โดยที่พระองค์ทรงอาศัยหลักการพิสูจน์ที่ตั้งอยู่บนฐานความคิดแบบวิเคราะห์ในตัวบุคคลที่ประกอบกันขึ้นเป็นขันธ์ ๕

           การปฏิเสธเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง อัตตา หรือ อาตมัน ของพระพุทธเจ้าตั้งอยู่บนหลักฐานการวิเคราะห์ปัญจขันธ์ ดังที่ปรากฏอยู่ในอนัตตลักขณสูตร ซึ่งพระองค์ทรงมีความเห็นแย้งนักปรัชญาอุปนิษัทที่เชื่อว่ามีอัตตาหรืออาตมันสถิตอยู่เป็นอิสระ คอยควบคุมบังคับบัญชาอยู่ภายในร่างกายและจิตใจของมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงมีความเห็นขัดแย้งว่า ภายในเบญจขันธ์ ไม่มีทั้งผู้ครองและควบคุม

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๐ )

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๒๐ )
ชีวิตเด็กวัด

          ชีวิตเด็กวัดในต่างจังหวัดนั้นน่าสนใจมาก แต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เขาต้องเตรียมบาตและปิ่นโตให้พระ และเมื่อพระท่านพร้อมสำหรับการออกเดินบิณฑบาตในหมู่บ้าน เด็กวัดก็จะต้องถือปิ่นโตให้พระทุกๆ วันเขาจะติดตามพระผู้ซึ่งออกไปบิณฑบาตห่างออกไปจากวัดประมาณ ๒ - ๓ กม. มีหลายครั้งที่เด็กวัดต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เมื่อต้องเผชิญกับฝูงสุนัขดุ

          โดยปกติแล้วการบิณฑบาตนี้จะแบ่งออกเป็นหลายสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดที่มีพระภิกษุและสามเฌรมาก บางสายเด็กวัดคนเดียวก็พอ ในขณะที่บางสายก็ต้องมีเด็กวัดติดตามถึง ๒ คน หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของอาหารที่ชาวบ้านถวาย โดยปกติแล้วชาวพุทธมักจะชอบทำบุญในวันพระ หรือไม่ก็เนื่องในโอกาสสำคัญๆ อย่างเช่น วันขึ้นปีใหม่ เป็นต้น ดังนั้นในโอกาสเช่นนี้อาหารและของไทยธรรมอื่นๆ จะถวายแก่พระและเณรมากเป็นกรณีพิเศษ

           เมื่อกลับมาถึงวัด เด็กวัดก็จะเตรียมอาหารเพื่อถวายพระและเณรทันที ตามพุทธบัญญัติพระภิกษุจะฉันของขบเคี้ยว โดยมิได้มีการประเคนด้วยมือจากอุบาสกหรืออุบาสิกาไม่ได้ ยกเว้นน้ำและของที่มีลักษณะคล้ายเป็นน้ำเท่านั้นที่ไม่ต้องประเคน หลังจากพระภิกษุสงฆ์ฉันอาหารเสร็จแล้ว เด็กวัดก็จะเก็บอาหารบางส่วนไว้ให้พระและเณรได้ฉันในมื้อที่สอง ซึ่งจะต้องฉันก่อนเที่ยงวัน แต่พระภิกษุบางรูปผู้ปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด ก็สมัครใจที่จะฉันอาหารมื้อเช้าเพียงมื้อเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเด็กวัดก็จะรับประทานอาหารที่เหลือไว้ โดยพระและเณรเหล่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะความเชื่อที่ว่าเป็นบาปถ้าหากว่าฆราวาสจะทานสิ่งของใดๆ ก่อนพระหรือเณร หลังจากเที่ยงวันไปแล้ว สิ่งของขบเคี้ยวใดๆ ก็จะไม่รับพุทธานุญาตให้ขบฉันเว้นไว้แต่ของเหลว เช่น น้ำ เครื่องดื่มหรือนมพาสเจอรไรส์ เป็นต้น

Thailand " Land of Smile " ( Part 20 )

Thailand " Land of Smile " ( Part 20 )
Life of a temple boy

        Life for a temple boy in the countryside is very interesting. Early in the morning before daybreak, he must prepare the black - bowl or alms bowl and a food carrier for the monks. Then, when the monks are ready for alms - collecting in the monks who go for alms - collecting 2 - 3 kilometers away from the temple. Many times he has to run for safety when he encounters fierce dogs.

        Usually alms - collecting will be divided into several routes especially in a temple where there are a large number of monks and novices. On some routes, only one boy is enough to assist monks while some routes may need two or more temple boys. This depends on the quantity of food offered by lay people. Usually most Buddhists prefer to make merit on Buddhist holidays ( Wan Phra ) or on auspicious occasion such as New Year Day. Thus, on these occasions food and other necessity items will be offered to monks and novices in large quantity.

        Upon returning to the temple, the temple boys will prepare food for monks and novices immediately. As a religious rule, monks are not allowed to eat food unless it is presented by a lay man ( or Praken in Thai ), except water and the like. After the monks finished their meals, temple boys will keep some food for monks and novices for their second meal which must take place before midday, but some monks who are strict to the Buddhist precepts may choose to eat only one meal. Then temple boys will eat their left - overs as it is considered to be a sin for lay people to eat before monks or novices. After midday, food is not allowed excepts liquids such as water, soft drink or pasteurized milk etc.

Wednesday, February 13, 2013

ไม่นับ

พวก กอบโกย ไม่นับ

         วันหนึ่ง...

         จื๊อกุง ถามขงจื้อว่า

          " คนประเภทใด ควรจะเรียกอย่างถูกต้องว่า นักปราชญ์ "

         ขงจื้อตอบว่า

          " คนที่รู้รักษาเกียรติยศในความประพฤติส่วนตัว และคนที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศด้วยความสง่าภาคภูมิสมเกียรติของประเทศ คนเช่นนี้แหละเรียกนักปราชญ์ "

          " คนประเภทใดอีก "

Tuesday, February 12, 2013

ทำงานอย่างมีโครงการ

ทำงานอย่างมีโครงการ

         มีอยู่ครั้งหนึ่ง นักบำเพ็ญศีล ลู่ซีเซิง ไปเยี่ยมฌานาจารย์หย่างซาน พร้อมกับถามอาจารย์ว่า " อาจารย์ ประตูทั้งสามล้วนเปิดรับ ควรเข้าทางประตูไหน ? "

          อาจารย์ตอบว่า " เข้าทางประตูแห่งศรัทธา "

          ลู่ซีเซิงถามว่า " ที่เหลืออีกสองประตูมีประโยชน์อะไร ? "

          อาจารย์ตอบว่า " จะเข้าทางสองประตูนั้นก็ได้ "

          ลู่ซีเซิงถามว่า " ที่แท้ต้องเข้าประตูไหนกันแน่ ? "

          อาจารย์ตอบว่า " จะเข้าทางประตูแห่งเมตตา หรือเข้าทางประตูแห่งปัญญา ก็ได้ทั้งนั้น "

          ลู่ซีเซิงถามว่า " แล้วที่เหลืออีกประตูหนึ่งเล่า ? "

          อาจารย์ตอบว่า " หนึ่งประตูก็พอแล้ว จะเอาสองประตู สามประตูไปทำอะไร ? "

Monday, February 11, 2013

ทองคำต้องหลอมร้อยครั้ง ลูกธนูอย่ายิงง่ายนัก




ฝึกตนพึงปฏิบัติดั่งหล่อหลอมทองคำ
หากเร่งรัดนัก ผลได้จักไม่ลึกซึ้ง
ทำงานควรประหนึ่งขึ้นหน้าไม้สามหมื่นชั่ง
หากมักง่ายนัก ผลได้จักไม่ใหญ่หลวง

นิทัศน์อุทาหรณ์

ทองแท้กับหน้าไม้พันชั่ง

         เม่งจื้อปรัชญาเมธีของจีน เคยกล่าวไว้ว่า

         " เมื่อฟ้าจะประทานภารกิจอันหนักหน่วงให้แก่ผู้ใด ก็จะต้องทดสอบปณิธานของเขา ให้ร่างกายเขาได้รับความทรมานจากความอดอยาก ให้จิตใจของเขารูสึกว่างเปล่าและอิดโรย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จะต้องรบกวนการประพฤติปฏิบัติของเขาทดสอบว่าเขาสามารถจะทนทานต่อความพ่ายแพ้ได้หรือไม่ ? ที่ฟ้าต้องทำเช่นนั้น ก็เพื่อให้เขามีจิตใจมั่นคง เสริมความสามารถให้กับเขานั่นเอง "

         ทั้งนี้หมายความว่า ไม่ว่าเราประสงค์จะได้รับความสำเร็จอย่างใดก็ดี จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนหล่อหลอมในระยะยาว มิใช่คิดจะให้ได้รับความสำเร็จจากการดำเนินงานเพียงอย่างเดียว

         เพราะฉะนั้น พระเจ้าหยาวจึงทดสอบใช้งานซุ่มนานถึง ๒๘ ปี จึงมอบบัลลังก์แก่เขา

การให้

การให้ ไม่ใช่โยนของเสีย

         โบราณว่า...

         ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ทุกยุคทุกสมัย

         ขงจื้อ หรือที่ฝรั่งเรียกว่า " คอนฟิวเซียส " เป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมาก ได้ท่องเที่ยวไปสั่งสอนผู้ครองนครต่างๆ ให้ถืออยู่ในธรรม ปกครองประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข

         ขงจื้อมีบุตรชายอยู่คนหนึ่งชื่อ เล ขงจื้อหมายมั่นปั้นมือจะให้บุตรชายสืบอดเจตนารมณ์ของตนในการเผยแพร่หลักคำสอนที่จะสร้างสันติสุขแก่ประชาชนชาวจีน

          แต่เลก็อายุสั้นถึงแก่กรรมไปเสียก่อน ขณะที่ขงจื้ออายุได้ ๗๐ ปี แต่ความหวังของขงจื้อไม่ถึงกับเป็นหมันเสียทีเดียว เพราะเลได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ เค ก่อนจะเสียชีวิตไม่นาน ขงจื้อจึงทุ่มเทถ่ายทอดสรรพวิทยาให้หลานรักโดยไม่อำพราง จนเคได้ชชื่อว่าเป็นผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ที่จะสามารถสืบทอเจตนารมณ์ของปู่ตน เมื่อสิ้นขงจื้อ เคก็เริ่มงานรวบรวมคำสอนของปู่เนื่องจากเคเป็นคนยากจนจึงรับจ้างสอนหนังสือเด็ก เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวไปด้วย

Sunday, February 10, 2013

Atman in the Uppanisads

Atman in the Uppanisads

         The identity of Brahman and Atman, of the ultimate reality and the self, forms the fundamental thesis of the entire Uppanisadic philosophy. The key subject of investigations in all the Uppanisads can be expressed by the simple equation ; Brahman = Atman.

          Atman means breath, the breath of life. It actually means the soul or self that covers life. It is the principle of man's life. The soul or self or atman is what remains when everything that is not - self has been eliminated. The self, therefore, the self or soul is the residue, which is left after all physic and mental constiuents of man's personality are analyzed. Hence the self is independent of the body and on the dissolution of the body, the self is not annihilated. The self is regarded as the subject of all experiences. It is the thinker, the feeler of sensation and the doer of deeds.

          Some Uppanisadic thinker thinks that the self can not be know by any means of knowledge. It is unknowable and indescribable. One can not point what out the self is and what it looks like, or the being - other - than - object, which is compatible with the Satrean's " transcendental ego " or with the " otherness " of Platonic notion.

Friday, February 08, 2013

อาตมันในปรัชญาอุปนิษัท

อาตมันในปรัชญาอุปนิษัท

         ทฤษฎีความเชื่อใน พระพรหม หรือ พรหมมัน และ อาตมันเป็นสัจธรรมสูงสุดในปรัชญาอุปนิษัททุกยุคทุกสมัยที่ถือว่าเป็นกุญแจดอกสำคัญในการวิเคราะห์ตามความยึดถือในสมการที่ว่าพรหมมัน คืออาตมัน และ อาตมันก็คือ พรหมมัน

          ตามความหมายเดิม อาตมัน ( สันสกฤต ) หมายถึงลมหายใจหรือลมปราณของชีวิต ในความหมายจริง หมายถึง อัตตา ( บาลี ) หรือ ดวงวิญญาณที่ห่อหุ้มชีวิต วิญญาณหรืออัตตานี้เป็นเสาหลักของชีวิตมนุษย์ทุกรูปนาม เป็นสิ่งที่คงอยู่ตลอดไป แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายที่ไม่ใช่อัตตาจะถูกกำจัดหรือสูญสลายไปแล้วก็ตาม แต่อัตตาจะยังเป็น " ส่วนที่ยังคงเหลืออยู่ " หลังจากที่เราวิเคราะห์แยกเอาส่วนประกอบของกายและจิตในบุคคลออกไปแล้วก็ตาม แต่อัตตาหรือวิญญาณดังกล่าวก็จะยังคงอยู่ไม่สูญสลายไปตามร่างดังนั้น อัตตาจึงเป็นทั้ง ผู้รู้ ผู้คิด ผู้รับอารมณ์ และผู้กระทำกรรม

           มีนักปรัชญาอุปนิษัทสมัยต่อมานำมาแก้ไขปรับปรุงความเชื่อในบางส่วน โดยมีการอธิบายเพิ่มเติมว่า อัตตา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้จากองค์ความรู้ และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถนำมาบรรยายหรืออธิบายลักษณะได้ จึงไม่มีใครที่จะชี้ชัดลงไปได้ว่า อัตตา มีลักษณะอย่างไร เนื่องจาก อัตตา มีคุณลักษณะเฉพาะเกินที่จะนำมาบรรยายดังที่ชาวอุปนิษัทเรียกว่า เนติ เนติ เป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติที่อยู่เหนือความป็นวัตถุ มีลักษณะเช่นเดียวกับคำว่า " ตัวตนที่มองเห็นด้วยญาณ " ในปรัชญาเอกซิสเตนเชียลิสมของสาร์ต และคล้ายกับ " ความไม่มีอะไรเลย " ในปรัชญาจิตนิยมของเพลโต

Thursday, February 07, 2013

แมวตะครุบนกกระจอก

แมวตะครุบนกกระจอก

         นอกหน้าต่างมีป่าพุทราป่าหนึ่ง ลูกนกกระจอกกำลังฝึกบินอยู่ที่นั่น วันหนึ่งแมวเร้นกายหมอบอยู่ในป่า ครั้นสบจังหวะ มันก็กระโดดออกมาตะครุบจับแม่นกกระจอกเอาไว้ ลูกนก ๔ - ๕ ตัวส่งเสียงร้องดังลั่น พวกมันพยายามจะใช้เสียงขับไล่เจ้าแมวเกเร เจ้าแมวโกรธ จะตะครุบจับนกทั้งหมดให้ได้ แต่ผลสุดท้ายกลับสู้ลูกนกกระจอกไม่ไหว ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนกลับเข้าบ้าน แม่นกตายไป ลูกนกพากันร้องไห้เสียงระงม

         แมวตระครุบทีเดียว ก็พรากแม่ของลูกนก ๔ - ๕ ตัวนั้นไป แม้คนจะช่วยไม่ทัน แต่ใครทราบข่าว ก็อดสลดใจมิได้ ทว่า เจ้าแมวเกเรตัวนั้นกลับเลียปากอย่างมันเขี้ยว มันจ้องมองลูกนกกระจอกตาเป็นมัน คิดอย่างเดียวว่าจะต้องจับนกกระจอกกินเสียให้สิ้นเผ่าพันธุ์ อา ช่างน่าเศร้านัก ทำไมันดานของมันถึงได้ป่าเถื่อนเช่นนี้ ?

          สัตว์กับสัตว์เข่นฆ่าทำร้ายกันเอง มนุษย์เห็นแล้วยังรังเกียจ แล้วคนที่มีอำนาจเล่า หากกางเขี้ยวเล็บเข่นฆ่าทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง เพียงเพื่อเลี้ยงตัวเองให้อ้วนพีนั้น ท่านคิดว่ามันน่ารังเกียจน่าชิงชังสักเพียงใด ?

Wednesday, February 06, 2013

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๑๙ )

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๑๙ )
สินค้าส่งออกของไทย

         จากประเทศเกษตรกรรม ทุกวันนี้ประเทศไทยกำลังจะก้าวไปติดอันดับประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ปัจจุบันนี้ภาคการผลิตได้กลายเป็นผู้นำของเศรษฐกิจไทยไปแล้ว และเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์และสภาพอันเหมาะแก่การเจิรญเติบโตนี้เอง ที่ทำให้สินค้าส่งออกของไทยเจริญุเติบโตอย่างน่าประทับใจในช่วงเวลาไม่นานมานี้

          เป็นที่ชัดแล้วว่า ในช่วง ๑๐ - ๒๐ ปี ที่ผ่านมานั้นประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าด้านการเกษตร แต่ปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนจากการเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ทางด้านสินค้าการเกษตร และผลิตภัณฑ์ที่ต้องใช้แรงคนมาเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ด้านสินค้า ที่ต้องอาศัยความชำนาญและเครื่องมือที่ทันสมัยในการผลิตโดยเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีชั้นสูง ความจริงแล้วการเปลี่ยนสถานภาพที่สำเร็จได้นี้นั้น ส่วนหนึ่งก็เนืองมาจากการหลั่งไหลของการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศญี่ปุ่น และมีแนวโน้มว่า คลื่นของนักลงทุนต่างชาติลูกใหม่ๆ จะยังคงหลั่งไหลมายังประเทศไทยอย่างท่วมท้นอยู่ต่อไป

           ปัจจุบันนี้ สินค้าส่งออกของประเทศได้แก่ สิ่งทอและเสื้อผ้า เพชรพลอยและอัญมณี เครืองหนังและรองเท้า คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ แผงวงจรรวม ผลิตภัณฑ์พลาสติกของเล่นเด็กอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์ ดังนั้น ฐานะสินค้าส่งออกของประเทศไทยในตลาดโลกตอนนี้ก็คือ

Thailand " Land of Smile " ( Part 19 )

Thailand " Land of Smile " ( Part 19 )
Thai export products

         From being an argricultural national, today Thailand is moving to join the rank of the newly - industrialized countries ( NICs ). Manufacturing has now become the leading factor in Thai economy. Due to its abundance of natural resources, fertile land and ideal growing conditions, Thailand's exports have enjoyed an impressive growth in recent years.

         Apparently, in the past 10 - 20 years Thailand was an export of traditional products products, now the country has shifted from being a main exporter of agricultural and labour - intensive products to skill - intensive and sophisticated products involving higher technological development. Actually, this successful shift was partly due to the inflow of foreign  investment especially from Japan. There is a trend that new waves of foreign investment will continue to food into Thailand.

         Today, among Thailand's top manufactured export products are : textiles and garments, gems and jewllery , leather goods and footwear, computer and components ; integrated circuits, plastic products, toys, electronics and electrical appliances, and automobiles. The position of Thailand's export products in the world market is now ;

Monday, February 04, 2013

อำนาจของความพยายาม หรือ พรหมลิขิต

อำนาจของความพยายาม หรือ พรหมลิขิต

         กาลครั้งหนึ่ง...

         ความพยายามพูดกับพรหมลิขิตว่า " ท่านมีอานุภาพทัดเทียมกับข้าพเจ้าไหม "

         พรหมลิขิตย้อนถามว่า " ท่านมีอานุภาพอะไรที่จะมาเปรียบเทียบกับข้าพเจ้าได้ "

         ความพยายามตอบว่า " ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นสูงหรือลงต่ำ ร่ำรวยหรือยากจน ล้วนอยู่ในอำนาจของข้าพเจ้าบันดาลทั้งนั้น "

Sunday, February 03, 2013

คุณธรรมความประพฤติสามัญ คือรากฐานแห่งสันติสุข




เล่ห์เหลี่ยมและอุปนิสัยแปลกประหลาด
พฤติการณ์พิกลและความสามารถพิศดาร
เป็นรากเหง้าแห่งความวิบัติในการดำรงตน
มีแต่คุณธรรมความประพฤติอันเป็นปกติธรรมดาสามัญ
จึงจะสามารถขจัดความสับสนปนเป
แยกชั่วดีได้ชัดเจน
นำมาซึ่งความสันติสุข

นิทัศน์อุทาหรณ์
นายอำเภอลากเรือ

         ในสมัยราชวงศ์จิ้น อินหงเฉียวเตรียมตัวจะไปรับตำแหน่งขุนนางที่ยี่จาง ก่อนจะออกเดินทางไป คนในเมืองหลวงฝากจดหมายให้เขาไปช่วยส่ง ๑๐๐ กว่าฉบับ แต่หารู้ไม่ว่า พอเขาเดินทางถึงเมืองสื้อโถวเฉิงยังไม่ทันจะถึงครึ่งทางเท่านั้น ก็โยนจดหมายเหล่านั้นลงไปในแม่น้ำหมด ซ้ำยังบ่นกับตัวเองอีกว่า จะไม่ยอมเป็นคนรับใช้ใครเป็นอันขาด

         การกระทำของเขาดังนี้ คงจะไม่มีใครเห็นเขาว่าทำถูกเป็นแน่ตรงกันข้าม คนทั้งหลายคงจะวิพากษ์วิจารณ์กันว่า พฤติการณ์ของเขาแปลกคนนัก ไร้สัจจะเป็นอย่างยิ่ง

         ในสมัยราชวงศ์ชิง มีนายอำเภออยู่คนหนึ่ง การประพฤติปฏิบัติของเขามิใช่ธรรมดาสามัญเลย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขุนนางใหญ่เดินทางมาถึงอำเภออี๋ชาง เตรียมที่จะไปยังถ้ำสามกวี ตามระเบียบแล้วเป็นหน้าที่ของนายอำเภอผู้นี้ ที่จะต้องจัดการให้ตามความประสงค์

Saturday, February 02, 2013

The Buddhist Theory of Anatta

The Buddhist Theory of Anatta

          Anatta is the antonym of Atta, self , or Soul. Before we consider the theory of Anatta, we should make clear what really the Self or Soul is.

           Virtually, all of the major religious traditions have had and do have a belief in an interior something in man, not a part of his body, called the soul. In many primitive and advanced religious, the soul is an insubstantial entity, which come into the body  at birth, which leaves the body at death to take up residence in heaven, hell, or a new earthy form. It is very interesting that, Buddhism, the only major religious figure denies the existence of soul, but the Buddhist followers have usually found room for the belief !

           The theory of anatta first appeared in the Buddha's second sermon, called Anattalakhana Sutta. It is considered one of the cornerstones of Buddhist teachings.

            Etymologically, the Pali word anatta means not - self, non - ego, no soul or non - substantiality. The term of anatta therefore refers to a not - self or non - ego theory, which rejects atta or self - theory. Prior to and during the time of the Buddha, there were many theories advocating the existence of the self in some form or another. In contrast, the Buddha preached his new doctrine of not - self. A brief account of these opposing theories provides a necessary background for understanding the Buddhist doctrine of anatta as follows :

Friday, February 01, 2013

ทฤษฎีเกี่ยวกับอนัตตาในพุทธศาสนา

ทฤษฎีเกี่ยวกับอนัตตาในพุทธศาสนา

          คำว่า อนัตตา มีความหมายตรงข้ามกับคำว่า อัตตา ตัวตนหรือดวงวิญาณ ( ในความหมายของทางศาสนาที่นับถือและเชือว่ามีพระเจ้า ) ก่อนที่เราจะทำความเข้าใจกับทฤษฎีอนัตตา ควรทำความรู้จักกับคำว่า Soul หรือ ดวงวิญญาณ เสียก่อนดังนี้

          โดยความเป็นจริงแล้ว ศาสนาสำคัญที่มีคนนับถืออยู่เป็นจำนวนมากในขณะนี้ ต่างก็มีความเชื่อในเรื่องของ " ดวงวิญญาณ " ว่าเป็นอมตะแทรกอยู่ภายในตัวมนุษย์ แต่มิใช่เป็นส่วนของร่างกายศาสนาเทวนิยมของชนชาติเซมิติก ( ยิว คริสต์ อิสลาม ) เรียกสิ่งนี้ว่า Soul หรือ ดวงวิญญาณ ( แต่มิได้หมายถึง วิญญาณ ในพุทธศาสนา ) ในศาสนาเทวนิยมของชาวอินโดอารยัน เรียกสิ่งนี้ว่า อัตตา - Atta ( บาลี ) หรือ อาตมัน - Atman ( สันสกฤต )

           ทั้งในศาสนาดั้งเดิมและศาสนาเทนิยมที่ผู้คนนับถือกันอยู่ในขณะนี้ เชื่อว่า ดวงวิญญาณ เป็น อสสาร ที่สิงอยู่ในร่างกายคนเราตั้งแต่แรกเกิดแต่อาจจะลอยออกจากร่างไปได้ชั่วขณะในระหว่างที่จิตดื่มด่ำอยู่กับอารมณ์ที่เป็นปีติสุข จิตที่อยู่ระหว่างการเข้าฌานหรือกำลังหลับสนิท แต่ดวงวิญาณจะลอยออกจากร่างคนตายเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ใน สวรรค์ นรก หรือ กลับมาสิงสถิตย์อยู่ในสัตว์โลกอีก แล้วแต่ผลของการกระทำ เกือบทุกศาสนามีความเชื่อเกี่ยวกับดวงวิญญาณในลักษณะเช่นนี้ จะมียกเว้นก็แต่ในพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธในเรื่อง ดวงวิญญาณ อัตตา หรือ อาตมันดังจะกล่าวต่อไป อย่างไรก็ดี พระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลายรวมทั้งพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ยังเชื่อ " ดวงวิญญาณ " ในลักษณะที่กล่าวมาแล้วอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๑๘ )

เมืองไทย " เมืองยิ้ม " ( ตอนที่ ๑๘ )
บทบาทของคอมพิวเตอร์

          นับวันคอมพิวเตอร์ก็จะเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์มากยิ่งขึ้น ด้วยการอุบัติขึ้นของคอมพิวเตอร์ ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะยิ่งง่ายขึ้น เนื่องจากการทำงานอันดีเลิศของมัน คอมพิวเตอร์จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ที่ช่วยตอบสนองความต้องการของมนุษย์ ดังนั้นมันจึงถูกติดตั้งไว้เกือบจะทุกที่นับจากสถานที่ทำงานที่ทันสมัยที่สุดในตึกระฟ้า จนกระทั่งร้านเล็กๆ บนมุมถนน ด้วยเหตุนี้มันจึงกลายเป็นส่วนสำคัญในการประกอบการทำงานแต่ละวันของเราไปแล้ว เดี๋ยวนี้หลักสูตรวิชาคอมพิวเตอร์จึงเป็นที่นิยมกันมากในหมู่นักศึกษาไทย ผู้ซึ่งต้องการได้ทำงานดีๆ หลังจากเรียนจบแล้ว

           แน่นอนที่สุด คอมพิวเตอร์ช่วยประหยัดเวลาและพลังงานตัวอย่างเช่น ในอดีตขบวนการผลิตต้องอาศัยแรงคนเป็นจำนวนมาก เพื่อทำงานซ้ำๆ ซากๆ แต่ตอนนี้ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว คนคนเดียวสามารถควบคุมขบวนการผลิตในโรงงานได้เกือบทั้งหมด ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่จะมีความสามารถเป็นเลิศเทียบเท่าคอมพิวเตอร์ เพราะว่ามันสามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้ได้เกือบทุกชนิด นับจากงานง่ายๆ จนถึงกรระบวนการทำงานที่ยากสลับซับซ้อนมาก เช่นการผ่าตัดภายใน เป็นต้น

Thailand " Land of Smile " ( Part 18 )

Thailand " Land of Smile " ( Part 18 )
Roles of computer

         Day by day the computer comes to play a greater role in human life. With the emergence of the computer, everything seems to be easier. Due to its superb functions, a computer becomes the best tool to satisfy human needs. Thus, they have been installed almost everywhere from the most sophisticated office in a highrise building to the small shop on a street corner. Since it has become a part and parcel of our daily work, computer courses now are very popular among Thai students who want to get a good job after graduation. 

          Indeed, a computer helps save time and energy. For example, in the past the production process required a great number of workers to perform repetitive the entire production plant. Its functioning has proved to be accurate and excellent. No man on earth can match its superiority as it can be adapted to suit any requirement from a simple job to the most delicate task such as internal medical operation etc.